ฆ่าท่านดีหรือไม่ ?
Net's Novels
ผู้เขียน อุนสุยอัน ผู้แปล Mr. คัปปะ ที่มา เวบพันทิป
----------------------------------------------------------
ฆ่าท่านดีหรือไม่ ?
ตอนที่ 1 ดาบและความฝันที่ไม่สิ้นสุด สตรีนางนั้นชักมีดสั้นออกมาก้าวเข้าหาเขาทีละก้าวทีละก้าว ไม่ทราบเพราะเหตุใดเขาจึงไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ไม่สามารถขัดขืน ไม่สามารถหลีกหนี ไม่สามารถโต้ตอบไม่สามารถขยับแม้แต่ปลายนิ้ว เขามองเห็นสตรีนางนั้นเดินเข้ามาแต่กลับไม่สามารถจะทำเช่นใดได้ เขารู้สึกร้อนใจดั่งมดที่อยู่บนน้ำแข็งปลาที่อยู่บนฝั่ง สตรีนางนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขอเพียงนางลงมือ ก็สามารถฆ่าเขาได้ทว่าเขากลับไม่ทราบว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นใดแม้แต่น้อย เขารู้สึกถึงได้เพียงสภาพรอบกายรู้สึกถึงความรัก ทั้งยังรู้สึกถึงความอุ่นของมีดสั้นเล่มนั้นยามสตรีนางนั้นยกมีดสั้นขึ้น แขนเสื้อเผยเห็นข้อแขนอันขาวผ่องสตรีนางนั้นมาเพื่อฆ่าเขา สตรีนางนั้นจะฆ่าเขา เขาต้องตายแน่นอนเขารู้สึกถึงคมมีดที่เสียบเข้าไปในกล้ามเนื้อของเขา ทว่าเขากลับไม่ทราบว่าสตรีนางนั้นเป็นใครและเหตุใดนางจึงต้องฆ่าเขา เขาพลันสะดุ้งตื่นขึ้น เรื่องแรกที่ทำคือสำรวจดูว่าดาบยังอยู่ข้างกายหรือไม่ ยังคงอยู่ดาบข้างเอวและดาบบนหลังยังคงอยู่ ดาบอยู่ ชีวิตก็ย่อมคงอยู่เช่นกัน สิบแปดครั้งแล้วที่เขาฝันเรื่องเดิมซ้ำๆกัน ความฝันเเดิม บรรยากาศเดิม คนคนเดิมความรู้สึกที่เหมือนเดิม ทั้งยังสะดุ้งตื่นเหมือนเดิม เขาสะดุ้งตื่นพร้อมเหงื่อเต็มแผ่นหลัง สตรีนางนั้นเป็นผู้ใด เหตุใดจึงต้องฆ่าเขา นางคือ เซี่ยเป้าฮวาใช่หรือไม่ แม้จะตื่นจากความฝันแล้วทว่าในความรู้สึกของเขา คล้ายยังคงอยู่ในความฝันตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งกลับยิ่งรู้สึกเข้าใกล้ความฝันมากยิ่งขึ้นความฝันที่เหมือนเดิม ชีวิตหลังจากตื่นขึ้นกลับมีแต่ความอ้างว้าง ฟางขวงฮวานชมชอบนอนฝันชีวิตเขารักความครึกครื้น ชมชอบคบหาสหาย กระทำเรื่องที่ยากที่สุดจีบสตรีที่จีบยากที่สุด ฆ่าศัตรูที่ฆ่ายากที่สุด ในยามตื่นหรือในยามฝัน ล้วนเรียกหาสหาย กอดคอร้องเพลง ด้วยความสนุกสนาน ทว่าไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใดเขาก็เริ่มฝันเช่นนี้ สตรีนางหนึ่ง มีดสั้นเล่มหนึ่ง จะฆ่าเขา โดยเขาไม่อาจขยับตัวในความฝัน เขาเพียงรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับไม่รู้สึกแค้นใจแม้แต่น้อย มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด คงตั้งแต่เริ่มหลบหนีกระมัง ทว่าเหตุใดจึงต้องหลบหนีด้วยเล่า เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ระบายลมหายใจออกมา ล้วนเป็นเพราะเรื่องนั้น การกระทำในเรื่องที่ไม่สมควรจะทำ หากยามนั้นเขาไม่ลงมือ ไม่ยุ่งเกี่ยววันนี้เขาคงไม่ต้องหลบหนีมายังสถานที่รกร้างแห่งนี้ ต้องทนทุกข์ทรมานโดดเดี่ยวอ้างว้างแยกย้ายจากเหล่าพี่น้องในพรรคพวกเสียวหม่าอี้(มดน้อย)ของเขาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมดื่มสุรา ร่วมร้องเพลงเหล่านั้น ตอนนี้เล่าพรรคมดน้อยของเขาแตกฉานซ่านเซ็น บ้างตาย บ้างหลบหนี บ้างทรยศ บ้างหลบซ่อน เหลือเพียงเซวียเจี้ยนและจูเถี่ยเอ๋อร์เท่านั้นที่ยังคงติดตามเขา ขอเพียงจับดาบเข้าสู่ยุทธภพก็ได้เริ่มความฝันที่ไม่อาจสิ้นสุดจวบจนสิ้นชีวิตจึงสามารถฟื้นตื่นจากฝันนี้ เขายังคงรู้สึกสะลึมสะลือไม่อยากจะลุกขึ้น ภายหลังเขาได้ยินเสียงแคะเล็บ คงเป็นเซวียเจี้ยน “ตื่นแล้วหรือ” เป็นเซวียเจี้ยนจริงๆเขายืนอยู่หน้าระเบียง เงียบงันไร้สุ้มเสียงดุจความมืดเขาแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืดมิด “ควรถึงรอบข้านอนบ้างแล้วกระมัง” “เฮ้อ เสียทีข้าบุกตะลุยมาชั่วชีวิตทว่าตอนนี้...” ถึงฟางขวงฮวานจะอดนอนหรือเหนื่อยล้าเพียงใดก็ต้องลุกขึ้น “ข้ากลับต้องมายังสถานที่แห่งนี้” หลายวันมานี้พวกเขาไม่เคยได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม แม้ยามพักผ่อน ก็ต้องมีสองคนที่ต้องคอยตื่นคอยระวังภัย เซวียเจี้ยนค่อยๆ หมุนกายเดินเข้ามาในห้อง ฝีเท้าที่เปรียบได้กับความมืดความมืดที่เพียงรู้สึกได้ แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามันรุกคืบเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดฟางขวงฮวานทราบดีว่าเพลงกระบี่ของสหายผู้นี้ ก็คล้ายกับความมืดที่ไม่อาจป้องกัน ความมืดที่รุกคืบเข้าแทนความสว่างผู้ใดสามารถยับยั้งได้ วิกาลในฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเย็นเป็นพิเศษฟางขวงฮวานเองก็รู้สึกหนาวเล็กน้อยบางทีเป็นเพราะเพิ่งตื่นจากฝันร้ายเมื่อครู่กระมังร่างกายจึงยังไม่ฟื้นคืนเป็นปกติ สุนัขเห่าหอนที่เบื้องนอกยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเงียบสงัด “เถี่ยเอ๋อร์เล่า” “อยู่ชั้นล่าง” “เขากำลังพักผ่อนกระมัง” “ยังคงระวังหน่อยดีกว่า” ช่วงวันเวลาที่ถูกคนอื่นล่าสังหารต้องหลบซ่อนตัวเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ฟางขวงฮวานลงไปยังชั้นล่างเห็นจูเถี่ยเอ๋อร์กำลังสนทนากับเถ้าแก่เนี้ย ตั้งแต่พวกเขาเดินทางมายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้คนที่คุ้นเคยกับพวกเขามากที่สุดก็คือเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ นางดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ทว่าอย่างไรฟางขวงฮวานก็ยังรู้สึกเถ้าแก่เนี้ยมักชอบซ่อนตัวในที่มืด ทว่าก็ยังคงดูงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดทว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมคล้ายจะกลัวภรรยามากต่อหน้าเถ้าแก่เนี้ยไม่กล้ากล่าวโต้เถียงแม้แต่คำเดียว หากไม่ใช่เพราะเขากำลังอารมณ์ไม่ดีตอนนี้คงหยิบจอกสุรา ไปสนทนากับเถ้าแก่เนี้ยบ้างแล้ว ระหว่างการเดินทางจะต้องมีสหายไว้สนทนาไม่เช่นนั้นการเดินทางอันยาวไกล คงต้องเงียบเหงาอ้างว้างเป็นแน่ คนนั้นตายเร็วได้แต่ไม่อาจแก่ชราเร็วเกินไป ยิ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างหลบหนีการไล่ล่า ฟางขวงฮวานพลันคิดถึงเรื่องที่ริมแม่น้ำนั้นจึงคิดไปคุยกับเถ้าแก่เนี้ย จูเถี่ยเอ๋อร์เห็นเขาเดินลงมาจึงถามขึ้นว่า “ท่านตื่นนอนก็ดีแล้ว ทานข้าวเถิด” ฟางขวงฮวานหัวร่อพลางกล่าว “เซวียเจี้ยนกำลังพักผ่อนอยู่” “ช่างเขาเถิด เขาจะนอนก็นอนไป ข้าหิวแล้ว” จูเถี่ยเอ๋อร์พลันกล่าวต่อไปว่า “มื้อนี้เป็นเถ้าแก่เนี้ยลงมือเข้าครัวปรุงให้แก่พวกเราเป็นพิเศษ” ฟางขวงฮวานมองไปยังเถ้าแก่เนี้ยเถ้าแก่เนี้ยอยู่หลังโต๊ะเก็บเงิน คล้ายดั่งดอกไม้ที่อยู่ท่ามกลางความมืดทว่าสายตาของฟางขวงฮวานก็ยังถูกดึงดูดไว้ ไม่อาจตัดใจได้ “รบกวนท่านแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยจึงกล่าว “ช่วงนี้ที่นี่ก็ไม่มีแขกเหรื่ออื่นใดพวกท่านพักมาหลายวันแล้ว แต่ประหลาดยิ่งนักเหมือนรู้สึกว่าพวกท่านไม่เคยได้พักผ่อนวันนี้เถ้าแก่จึงให้ปรุงอาหารให้แก่พวกท่านรับทาน” ยามฟางขวงฮวานและจูเถี่ยเอ๋อร์ได้ยินวาจาประโยคนี้ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เฮ้อคนเร่ร่อนเช่นพวกเขาหากมีบ้านคงประเสริฐยิ่งนัก ทว่าคนเร่ร่อนที่มีศัตรูคู่แค้นถึงมีบ้านก็กลับไม่ได้
Create Date : 19 กันยายน 2555 |
|
12 comments |
Last Update : 19 กันยายน 2555 13:47:10 น. |
Counter : 6390 Pageviews. |
|
|
|
ในชนบทอันห่างไกล อาหารที่แม้แต่พ่อครัวจากวังหลวงมาชิมเองก็ยังต้องยกนิ้วชื่นชมเช่นนี้ ทำให้จูเถี่ยเอ๋อร์และฟางขวงฮวานรับทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนเซวียเจี้ยนพอได้กลิ่นอาหารก็ตื่นขึ้น จากนั้นจึงเดินลงไปยังชั้นล่าง
มันยังคงดูเคร่งขรึม คล้ายกับภูเขาที่กำลังเคลื่อนตัวก็ปาน
อาหารทุกจาน มันล้วนใช้เข็มเงินทดสอบ ทว่าสุรากลับถูกยกเว้น
เพราะจูเถี่ยเอ๋อร์เป็นปีศาจสุรา หากแม้นในเหยือกสุรามีเกลือแม้แต่เม็ดเดียว มันก็สามารถจำแนกออกได้
ตอนนี้มันกำลังดื่มสุราชามใหญ่ ไม่ว่าจะยกจอกสุราหรือไม่ มันยังคงครึกครื้นเช่นเดิม
ฟางขวงฮวานทราบดี ล้วนเป็นเพราะมีจูเถี่ยเอ๋อร์และเซวียเจี้ยนอยู่ พวกเขาที่ถูกคนของเจ็ดพรรคแปดสมาคมเก้าสหพันธ์ตามล่ามานานกว่าครึ่งปี จึงยังสามารถรอดชีวิตมาดื่มกินอยู่ที่แห่งนี้ได้
ในใจของจูเถี่ยเอ๋อร์และเซวียเจี้ยนก็ล้วนทราบดี
ส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกมันยังหนีรอดมาถึงตอนนี้ได้ ก็เพราะฟางขวงฮวานมักสัมผัสกลิ่นศัตรูได้ก่อนที่ศัตรูจะติดตามมาถึง
สัญชาตญาณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินแพ้ชนะ
เถ้าแก่กลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
เขารู้สึกว่าแขกเหรื่อหลายคนนี้ไม่เชื่อถือเขา
สำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นการดูแคลนอย่างหนึ่ง
เถ้าแก่เนี้ยกลับไม่สนใจ
นางเดินจากห้องครัวมายังห้องอาหาร ท่าทางวุ่นวายยิ่ง
อาจเป็นเพราะแสงฟืนไฟจากห้องครัวที่ส่องออกมา ทำให้ใบหน้าของนางดูเย้ายวน แฝงความน่าค้นหา
“เป็นอย่างไรแล้ว กลัวถูกพิษหรือ” เถ้าแก่เนี้ยหัวร่อแล้วกล่าวต่อ
“สำหรับข้าแล้วถึงคิดสังหารพวกท่าน ข้าก็ไม่ยอมแพร่พิษใส่อาหารที่ข้าปรุงด้วยตนเองเป็นแน่”
ฟางขวงฮวานจึงกล่าว
"ท่านวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ยังคงมาร่วมรับทานด้วยกันเถอะ”
เถ้าแก่เนี้ยมองเถ้าแก่แล้วกล่าว
“ข้าหรือ”
เถ้าแก่กำลังฟังเถ้าแก่เนี้ยอยู่
เซวียเจี้ยนกล่าวขึ้น
“รับทานด้วยกันเถอะ”
แล้วพลันกล่าว “เซี่ยเป้าฮวา”
“ทาน ทาน”
เถ้าแก่เนี้ยหัวร่อพลางนั่งลง ทั้งยังกล่าวเรียกลูกน้องอีกสองคน
“พวกเจ้าก็มาทานด้วยกันเถอะ”
แล้วจึงหัวร่อพลางกล่าวกับเซวียเจี้ยนว่า
“ฮวาอะไร ท่านผู้นี้ หากไม่คิดเอ่ยปากก็ไม่กล่าวทั้งวัน พอเอ่ยปากกลับกล่าวเหลวไหลไปเรื่อย”
นางหัวร่อแล้วกล่าวต่อ
“ที่นี้มีไหนเลยมีฮวา(ดอกไม้)อันใดกัน”
ยามที่เซวียนเจี้ยนกล่าวเรียก “เซี่ยเป้าฮวา” นั้น ร่างของฟางขวงฮวานกับจูเถี่ยเอ๋อร์ล้วนสะท้านเบาๆ ขึ้นคราหนึ่ง ทว่าทั้งสองล้วนทราบอยู่ในใจว่าเซวียเจี้ยนเพียงต้องการทดสอบสตรีเบื้องหน้านี้เท่านั้น
เซวียเจี้ยนช่างงมงายเกินไปแล้ว
เพียงแต่เซี่ยเป้าฮวาผู้นี้ เป็นหนึ่งในศัตรูที่พวกมันทั้งสามกริ่งเกรงจริงๆ
เซี่ยเป้าฮวาเป็นสตรีนางหนึ่ง
สตรีที่มีชื่อสะท้านแผ่นดิน
พวกมันไม่รู้จักสตรีนางนี้ ทั้งไม่เคยล่วงเกินนาง
ทว่าฟางขวงฮวานล่วงเกินจางอ้าวหรือที่ผู้คนเรียกกันว่านายท่านแซ่จาง (จางเหยีย)
ท่านจางอ้าวผู้นี้ก็คือประมุขสหพันธ์เสือดาว (เป้าเหมิง) ในกลุ่มเจ็ดพรรคแปดสมาคมเก้าสหพันธ์ ในร่มธงคนผู้นี้มียอดฝีมืออยู่สามคน หนึ่งคือหย่วนเมิ่งตี๋ หนึ่งคือเซี่ยเป้าฮวา หนึ่งคือท่านกระบี่หัก(ต้วนเจี้ยนเซียนเซิง) นามต้วนต้วน คนทั้งสามนี้ สองคนแรกเป็นศิษย์ของเขา คนที่สามเป็นศิษย์น้อง
ศิษย์ที่โดดเด่นของจางอ้าวนั้นมีมากมาย ทว่าคนทั้งสามนี้นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เข้มแข็งที่สุด เนื่องจากไม่ว่าคนทั้งสามนี้เข้าร่วมพรรคขบวนการใดก็ตาม กำลังและอิทธิพลของพรรคนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นมากทันที
หลายวันมานี้ ฟางขวงฮวานและพี่น้องพรรคมดน้อยของเขาไปตอแยจางอ้าวเข้า ทำให้สหพันธ์เสือดาวทุ่มเทกำลังยอดฝีมือออกมาไล่ล่า รวมทั้งพันธมิตรเช่นพรรคอีกว้าน(พรรคเลิศอาภรณ์)ก็ให้ความช่วยเหลือ ใช้วิธีบุกสายฟ้าแลบ เข้าทลายรังมด กลุ่มมดน้อยของฟางขวงฮวานไม่อาจต่อต้าน จึงล่มสลายไปแทบหมดสิ้น
ทว่าการโต้ตอบของกลุ่มมดน้อย ก็ทำให้สหพันธ์เสือดาวเสียหายไม่น้อย พรรคเลิศอาภรณ์ต้องเดือดร้อนถึงรองประมุขแซ่เจิ้งลงมือเอง จึงสามารถทำลายพวกตั๊กแตนที่กล้าต้านล้อรถพวกนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม สหพันธ์เสือดาวกับพรรคเลิศอาภรณ์ก็ยังไม่อาจสยบฟางขวงฮวานได้หมดสิ้น รวมทั้งคนสนิททั้งสี่ เซวียเจี้ยน จูเถี่ยเอ๋อร์ กู้หวงเฟย และกวอถงถง
ในขณะเดียวกัน สหพันธ์เสือดาวก็ส่งเซี่ยเป้าฮวา หย่วนเมิ่งตี๋และต้วนต้วนออกมา
ครึ่งปีมานี้คนของพรรคเลิศอาภรณ์ก็ไม่อาจกำจัดฟางขวงฮวานไปได้ ดังนั้นจากพิราบสื่อสารของกวอถงถงที่ส่งมาแจ้งข่าว จางอ้าวมีโทสะกับเรื่องนี้ยิ่ง จึงได้ออกประกาศิตสังหารให้ เซี่ยเป้าฮวาฆ่าพวกเขาให้จงได้
ตั้งแต่รู้ข่าวนี้ พวกฟางขวงฮวานทั้งสามก็ไม่อาจพักผ่อนพร้อมกัน ต้องแบ่งเวรสองคนเฝ้าระวัง คนหนึ่งพักผ่อนจึงจะได้
พวกเขาล้วนครุ่นคิดอยู่เงียบๆว่า ตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน จะมีชีวิตได้อีกกี่ชั่วยาม
มีชีวิตอยู่ได้หนึ่งวันก็นับเป็นหนึ่งวัน อยู่ได้อีกชั่วยามก็นับเป็นชั่วยาม
คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ตายใต้เงื้อมมือของเซี่ยเป้าฮวา อย่างน้อยก็ยังนับเป็นเรื่องที่มีเกียรติ
น่าเสียดายที่เซี่ยเป้าฮวาเป็นสตรี
บุรุษเช่นฟางขวงฮวาน จูเถี่ยเอ๋อร์และเซวียเจี้ยนที่ฟันฝ่ายุทธจักร ผ่านคลื่นลมมาโชกโชน ย่อมไม่อาจยอมตายใต้เงื้อมมือของสตรี
ไม่ว่านางจะเป็นสตรีเช่นใดก็ตาม
พวกเขาหลบหนีมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเรียกว่า เจียงจวิน(ขุนพล)
พวกเขาได้มาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้นานถึงสิบหกวันแล้ว ในท้องทุ่งแห่งนี้ พวกเขาสามารถพบความสงบขณะหลบหนีได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่เนี้ยที่สะคราญโฉมผู้นี้ ดีต่อพวกเขายิ่ง ดีจนคล้ายกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ปาน
ทว่าจูเถี่ยเอ๋อร์ เซวียเจี้ยนและฟางขวงฮวานกลับไม่เคยรู้สึกวางใจ
ดังนั้นเซวียเจี้ยนจึงลองทดสอบเถ้าแก่เนี้ย
ทว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ทราบว่าเขากล่าวอันใด
พวกเขาจึงลอบระบายลมหายใจ
ไม่ทราบว่านางกล่าวอันใด อย่างไรก็ดีกว่าการรู้จักชื่อสตรีนางนี้
เถ้าแก่เนี้ยมองเห็นพวกเขาวางตะเกียบลง จึงกล่าวถามขึ้น
“หือ เป็นอย่างไรแล้ว”
ในยามนี้ พวกเขาก็ยังไม่อาจเห็นหน้าเถ้าแก่เนี้ยชัดเจน บางครั้งนางยกมือขึ้นเสยผม ข้อแขนยิ่งดูงดงาม โดยเฉพาะใบหน้าด้านซ้ายที่พลิกผ่านไปนั้นยิ่งทำให้คนสะท้านใจ