Trademark ถือว่ามีช่วงระยะเวลาของวงที่ OK ได้อยู่ในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 1997 2002 กับสตูดิโอ 2 อัลบั้ม และ 1 อัลบั้มรวมฮิต ซึ่งในบ้านเกิด ก็ดังในระดับที่กำลังดี ไม่มากไม่มายกับอัลบั้มแรก Another Time Another Place แต่ก็มีเพลงฮิตตลาดแตกสุดๆ เอาเลยทีเดียว คือเพลง I'll Be the One ที่คนฟังเพลงสากลเมืองไทยยุค 90 ต้องเค๊ย ต้องเคยได้ยินเป็นแน่แท้ และพอมาอัลบั้มที่ 2 อย่าง Only Love ในบ้านก็เกิดก็ในระดับหนึ่ง แต่มาแถบเอเซียนี่สิ กินขาดทุกชาร์ตเพลงจริงๆ เพราะเพลงเอก เพลงหนึ่ง เพลงเดียวของอัลบั้มนี้ที่ชื่อเดียวกับอัลบั้มได้เข้ากระชับพื้นที่คนฟังเพลงสากลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในเมืองไทยแลนด์ only บ้านเรา ที่เปิดตั้งแต่เช้า-สาย-เที่ยง-บ่าย-เย็น-ดึก เอาเลยทีเดียว แม้ Single ที่ 2 อย่าง Amaze ก็เงียบเป็นเป่าสากเพราะไม่สามารถที่จะดับความแรงของ Only Love ลงไปได้และดังยาวนานเป็นปีเลยทีเดียว
หลังจากที่อัลบั้มที่ 2 ดังสุดๆ ในเมืองไทยแค่เพลงเดียว หลังจากนั้น 2 ปี ก็ถึงจุดจบของวงที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำอะไรที่ตัวเองชอบกันตามทาง จึงได้มีอัลบั้มรวมฮิตติดหูกับเพลงทั้ง Pop ทั้ง Rock และ Dance แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือ Ballad หวานเว่อร์ หวานมาก และหวานจับจิตออกมา กับอัลบั้ม Miss You Finally... The Very Best of Trademark ซึ่งแน่นอน เมืองไทยเอาเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เห็นจะดัง เงียบสนิท จอดไม่ต้องแจว และก็ได้ปิดฉากลงไปกับการเป็นวงที่ต้องขอมอบตำแหน่ง Two Hit Wonder ให้แบบไม่มีเงื่อนไขทันที
ไหนๆ วัยก็ล่วงเลยผ่านกันมาแล้ว รวมถึงตัว จขบ. เอง ก็มาย้อนหลังเป็นวัยรุ่นกันซักหน่อยดีกว่ากับเพลงที่โค-ตะ-ระอมตะนิรันดร์กาลพอๆ กับหยาด นภาลัย ที่ดังมากในเมืองไทยกับเพลงนี้เลย Only Love
กับความอมตะนิรันดร์กาลของท่วงทำนองที่ใครได้ยินก็ต้องติดหูและฟังจนจบอย่าง Pop Rock Ballad ที่เปิดตัวด้วยเสียงเปียโนไล่เรียงเคล้าคลอพะนอรูหู พอมาช่วงกลางๆ เพลงที่เข้าสู่ความเป็น Pop Rock แบบ Adult Contemporary ก็ซาบซึ้งกินใจให้อินตามในทันทีว่าเพลงนี้ต้องการที่จะสื่ออะไร แม้ไม่เข้าใจฟังไม่ออกก็ยังอยากรู้และขอฟังต่อแล้วค่อยไปซื้อหนังสือเนื้อเพลงมานั่งเปิดดิกแปลเอาทีหลัง (ซึ่งในปัจจุบันคงไม่มีหนังสือประเภทนี้แล้วเพราะ Google ช่วยท่านได้) ซึ่งอารมณ์เพลงที่เฮียทั้ง 3 เขาสื่อก็ออกแนวหวานเศร้าได้กำลังดี ขอร้องอ้อนวอนกำลังงาม ไม่มากมายแต่เข้าถึงยิ่งนักจริงๆ กับเนื้อหาที่สื่อว่า