เชียงใหม่ #2 (จบ) ...ฤๅว่าจะตามรอย Lost In Thailand ?
สวัสดีค่ะ แล้วเคโกะก็ดอง blog ไว้แบบไม่ตั้งใจอีกละ T.T สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่สบายค่ะ ไข้ขึ้นสูงเลยทีเดียว คือแบบความรู้สึกส่วนตัวอะนะมันบอกว่าสูงมาก แต่พอวัดด้วยปรอทแล้วคุณพยาบาลบอกว่า "ไข้ต่ำ ๆ เท่านั้นค่ะ"
แล้วสุดสัปดาห์นี้ก็ยังต้องถ่อร่างไปค่ายรับน้องของที่ออฟฟิศอีกด้วย (ไม่น่าจะมีรีวิวอะค่ะ เพราะคิดว่าจะไม่เอากล้องไป คงมีแต่มือถืออ่ะค่ะ) ทั้ง ๆ ที่สภาพร่างกายก็ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลย
ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ฝนฟ้าไม่เป็นใจเอาซะเลยในช่วงนี้อ่ะค่ะ ^^"
หลังจากที่ blog ที่แล้วพาไปเที่ยวเชียงใหม่ แล้วก็ค้างเติ่งไว้เช่นนั้นเนิ่นนาน ... (กลับไปอ่านย้อนหลังทวนความจำก่อนก็ได้นะ ไม่ว่ากัน )
พอเราออกมาจากพิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์แล้วก็ต่อไปยังที่ปางช้างแม่สาค่ะ เมื่อเช็คเวลาแสดงของเหล่าช้าง ๆ แล้ว พบว่าเรามาเร็วเกินไป ก็เลยตัดสินใจว่าเข้าไปเดินเล่น และหาที่ทานข้าวกันก่อน แล้วค่อยรอชมการแสดงช้างเป็นลำดับถัดไปค่ะ
ตั๋วค่าเข้านั้นรวมการแสดงไว้ด้วยแล้วสนนราคา ... จำไม่ได้ แป่ว .. ซะงั้นอ่ะ .. คือเคโกะเก็บหางตั๋วมานะคะแต่ในหางตั๋วไม่มีราคาบอกไว้อ่ะ T.T ซึ่งราคานี้ก็คือเป็นแค่บัตรผ่านประตูและชมการแสดงเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าจะนั่งช้างด้วยก็จะมีตั๋วแยกต่างหาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชั่วโมงละ 800 บาทหรือไงเนี่ยล่ะค่ะ (ผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ)
แก้ตัวด้วยข้อมูลเวลาการแสดงช้างแทนละกันนะคะ แหะ ๆ
การแสดงช้างมีทุกวัน วันละ 3 รอบ คือ 8:00, 9:40 และ 13:30 ค่ะ
ซึ่งสำหรับที่นี่แล้ว พอเราย่างเท้าเข้ามา (เอาจริง ๆ ก็นับตั้งแต่ซื้อตั๋วเลยเหอะ) ก็จะได้ยินเสียงโช้งเช้ง ๆ เป็นภาษาจีนตลอดเวลาเลยล่ะค่ะ (เค้าตามรอยหนังมาจริง ๆ สินะใช่มั้ยอ่ะ T.T)
มีเรื่องแอบกระซิบบอกกันเป็นข้อมูลด้วยค่ะ คือ หากมีเวลาและข้อมูลที่มากพอ ก็แนะนำว่าให้หาร้านอาหารด้านนอกนั่งทานกันสบาย ๆ และอร่อยกันถ้วนหน้าดีกว่าค่ะ ร้านอาหารในนี้นั้นรสชาติกลาง ๆ ออกไปทางไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก ที่เลวร้ายมากคือเพื่อนคนนึงสั่งเกี๊ยวน้ำไปค่ะ พอมาถึงปุ๊บ คุณสามีทักขึ้นว่าหน้าตามันคุ้นมาก เหมือนเกี๊ยวน้ำซีพีเลย (ซื้อมาทานที่บ้านหลายครั้ง เลยคุ้นหน้าตาเป็นอย่างดีค่ะ)
พอเรียกพนักงานมาคิดสตางค์ เพื่อนก็เลยถามพนักงานไปว่า "อันนี้เกี๊ยวน้ำซีพีใช่เปล่าครับ" ... พนักงานก็พยักหน้ารับว่าใช่
ราคาที่เค้าคิดนั้น แพงกว่าราคาที่แปะป้ายในร้านซีพีเยอะโขอยู่ค่ะ - -"
เอาล่ะ มาดูการแสดงช้างดีกว่าค่ะ ^^
เริ่มแรกนำขบวนช้างเข้ามาทักทายแขกผู้ชมค่ะ
ท่าขึ้นขี่ช้างของควาญช้างเค้าล่ะ เท่ห์มาก เหยียบงวงช้างขึ้นไปเนี่ยอ่ะนะ โอ้ววว...
น้อง (ควรจะเป็นพี่มะ เพราะตัวใหญ่กว่าเรา 555) ช้างกำลังปาลูกดอกค่ะ
ส่วนช้างเชือกนี้ก็สวมหมวกให้ควาญช้างได้เป๊ะ ๆ
ช้างเตะฟุตบอลค่ะ ดู ๆ แล้วน่ารักดีอะ
ส่วนที่เป็นไฮไลท์ เคโกะคิดว่าน่าจะเป็นช้างวาดภาพค่ะ เค้าหัดกันมาดี๊ดีเนอะ วาดได้สวยเชียวค่ะ
ส่วนอันนี้ช้างจะก้าวข้ามควาญช้างที่นอนอยู่ตรงหน้าค่ะ ช้างไม่ได้เหยียบ (ทับ) นะเออ ..
ช้างชู้ตลูกบาสได้ด้วยค่ะ พอช้างจับลูกบาสแล้วดูลูกบาสมันเล็กเหมือนลูกกอล์ฟไปเลยง่ะ >.<"
เสร็จสรรพเราก็ออกจากที่นั่นค่ะ มุ่งหน้าต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ชาวเขา ซึ่งจัดแสดงอยู่บริเวณสวนร.9 (ไม่ใช่แถวศรีนครินทร์นะคะ - -") แต่ว่าเราเสียเวลากับการหลงทางไปเยอะ (หงุดหงิดมาก หากันไม่เจอค่ะ เพราะมีคนไป drop หมุดไว้ผิดที่ แล้วเราก็ตามหมุดนั้นมา ซึ่งเอาเข้าจริงกลายเป็นตลาดเทศบาลไรซักอย่างเฉยเลย) แล้วพอไปถึงก็ปิดซะแล้ว เราก็เลยม้วนเสื่อ กลับโรงแรมพักผ่อนกันค่ะ
เนื่องจากมื้อเย็นมื้อนี้เป็นมื้อที่แสนสบายมาก เราไม่ต้องปวดหัวมานั่งจิ้มกูเกิ้ลอีกแล้วว่าจะไปชิมร้านไหนดี เพราะเคโกะมีเจ้าถิ่นพาไปค่ะ ^^v
ร้านนี้เป็นร้านอาหารคำเมือง ซึ่งเคโกะก็รีเคสท์ไปเอง (ผ่านมติเห็นชอบจากเพื่อนร่วมทางแล้ว) แล้วพี่เจ้าถิ่นก็ใจดี กรุณาไปเสิร์ชหาร้านที่น่าจะโอเคมาให้ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกค่ะ recommend เลย ^^
ร้านต๋องเต็มโต๊ะนะคะ อยู่นิมมานฯไหนจำไม่ได้แล้ว แต่เคโกะเสิร์ชกูเกิ้ลแล้วพบว่าข้อมูลเยอะมากเลย (ทำไมชั้นหาไม่เจอตั้งแต่วันแรกที่มาฟะ -"- )
สำหรับร้านนี้เคโกะอยากจะเรียกว่า "ต๋องโต๊ะเต็ม" มากกว่านะคะ โต๊ะแน่นมากอะ ไปถึงแล้วก็ยังต้องรอคิวอีกพักค่ะกว่าจะได้โต๊ะ แล้วเรามีกันทั้งหมด 7 คน (เคโกะและเพื่อน ๆ ร่วมทาง 4 คน พี่และครอบครัวเค้าทั้งหมด 3 คนค่ะ)
มาดูหน้าตารวม ๆ กันก่อนเนอะ
แล้วก็รวมมิตรขันโตก (เค้าเรียกงี้เปล่าอ่าาาา 555)
กินกันอิ่มหนำสำราญแล้วก็คิดเงินค่ะ เบ็ดเสร็จแล้วราคาย่อมเยากว่าร้านที่ไปกินมาคืนก่อนหน้าแทบจะครึ่ง ๆ เลยค่ะ แถมรสชาติยังดีกว่าด้วยอะ แอบเสียใจที่เจอช้าไป
ขอบคุณพี่ต้อง พี่โอ๋และน้องออกัสมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ^^
เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้สมกับที่เรามาเยือนเมืองเหนือทั้งที ก็เลยจัดข้าวซอยแต่เช้าไปอีกคนละชามค่ะ เป็นร้านที่อยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรม เดินมานิดเดียวเองค่ะ
รสชาติก็ถือว่าโอเคนะคะ
จากนั้นเราก็กลิ้งไปมาอยู่ในห้อง เก็บข้าวของ แล้วก็ออกมากินข้าวเที่ยงกันต่อ (ห้ะ .. กินอีกแล้วรึ ?) ซึ่งมื้อเที่ยงนั้นไม่มีภาพประกอบนะคะ เราไปทานกันที่ร้านวีทีแหนมเนืองค่ะ แก้มือจากทริปก่อนที่ไปกินที่สวนผึ้งแล้วรสชาติยี้แหยะมาก ซึ่งส่วนตัวเคโกะและคุณสามีแล้ว เราลงความเห็นว่า วีทีของเค้าเจ๋งจริงอะไรจริงค่ะ ^^
หลังจากอาหารคาว ก็ต่อด้วยอาหารหวาน ร้านนี้เพื่อนของเพื่อนแนะนำมา เลยจัดไปอย่าให้เสีย
สั่งเค้กมาสองตัวค่ะ ตัวแรกเป็นเค้กช็อคโกแลตฟัดจ์หน้านิ่ม (มั้ง -- ดูจากหน้าตาก็น่าจะใช่อ่ะนะ)
อีกตัวเป็นเค้กแครอทค่ะ
จริง ๆ มีเครื่องดื่มอีกสองแก้วด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ ... โดยรวมแล้ว เคโกะก็ถือว่าเฉย ๆ นะ ไม่ถึงกับว้าวววววแบบต้องมาชิมไรงี้อ่ะค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าดังเพราะอะไร - -"
ทีนี้ก็ขับรถยาวไปสนามบิน คืนรถแล้วค่ะ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรแล้วเคโกะเช่ารถไม่เคยมีปัญหานะคะ แต่คราวนี้ก็ดันมีปัญหาเข้าจนได้ เรื่องของเรื่องก็คือ เราเอารถไปเติมน้ำมันคืนให้จนเต็มถังค่ะ เด็กปั๊มก็เติมให้จนเต็ม แล้วเราก็ได้ยินเสียงวาล์วตัดดังแก๊กแล้วด้วย ก็นอนใจว่าเต็มดี แต่พอสตาร์ทรถ ขับ ๆ ไป เพื่อนก็ทักว่า ขีดน้ำมันมันไม่ขึ้นมาที่ Full ค่ะ เลยทำให้พนักงานเฮิร์ซไม่รับคืน เพราะผิดเงื่อนไขคืนรถ คุยกันอยู่ตั้งนาน สุดท้ายเราก็จ่ายเงินค่าน้ำมันให้พนักงานไปเพิ่มอีก 200 บาท แลกกับการไม่เสียเวลาวนไปเติมน้ำมันใหม่อีกรอบ เพราะเวลาของเราจวนเจียนเต็มที่มาก ๆ แล้วค่ะ
ยังค่ะ ปัญหาของพวกเรายังไม่จบ - -"
เพื่อนซื้อเหล้าผลไม้มาสองขวด (ประมาณว่ามีคนฝากซื้อ) แต่ว่าพวกเราไม่ได้ซื้อน้ำหนักโหลดกระเป๋าเพิ่มกันเลย แล้วเราก็เสียเวลากับการคืนรถนานมากด้วย ก็เลยวัดดวงเข้ามาค่ะ (- -") ปรากฏว่ามาติดอยู่ที่ด่านสแกนกระเป๋า ซึ่งสแกนเจอว่ามีขวดเหล้าสองขวดซุกอยู่ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องของพวกเรา
หน้าตาแบบนี้ล่ะ ตัวต้นเหตุ - -"
แต่พนักงานการท่าฯก็ยอมอะลุ่มอะล่วยให้ด้วยการยัดใส่ถุงเดียวกันแล้วแปะชื่อไว้ แล้วให้คนมารับกลับไปได้ภายในวันเดียวกันนั้น เราไม่มีทางเลือกมากแล้วค่ะ ทั้งยังไม่สามารถกลับออกไปที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อขอโหลดกระเป๋าได้ด้วย เพราะ "Final Call" กำลังจี้คอพวกเราอยู่ T.T
สุดท้ายเราก็ต้องทำตามที่พนักงานการท่าฯบอก ก็คือรวมใส่ถุงเดียวกัน แปะชื่อไว้ แล้วก็รบกวนให้พี่ที่พาเราไปหม่ำ ๆ นั่นแหละค่ะ แวะมาเอา แล้วส่งไปรษณีย์ตามมาให้ที่กทม.
แอบมาเสิร์ชดูทีหลัง ในกทม.ก็มีขายนะคะ แต่ต้องรู้แหล่งหน่อยอ้ะ ... แล้วที่เราลำบากกันมานั้นมันเพื่ออออ .... ?? ...
ส่วนหัวเรื่องที่ตั้งไว้แบบนี้ ก็นะ ตลอดเวลาที่เราอยู่ในเชียงใหม่ แทบจะไม่มีชั่วโมงไหน (ไม่นับชั่วโมงนอน 555) ที่เราจะไม่ได้เห็นหรือได้ยินคนจีนพูดกันเลยค่ะ คนจีนเต็มถนนหนทางในเมืองเชียงใหม่มาก ๆ อะค่ะ เคโกะเอาเรื่องนี้กลับมาคุยกับเพื่อนไต้หวันด้วยนะ เค้าก็บอกค่ะว่าอิทธิพลละครไทยก็ส่วนหนึ่ง แต่หนังเรื่องนั้น (หมายถึง Lost In Thailand) มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้คนจีนบุกไปถึงเชียงใหม่ และไปกันซะเยอะขนาดนั้น
การตลาดสำเร็จนะคะคุณททท.
แล้วกลับมาเจอกันใหม่ในทริปถัดไป ... ภูเก็ตค่ะ (ขึ้นเหนือล่องใต้ของแท้ :P) .. ขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมและคอมเม้นท์นะคะ ^^
Create Date : 04 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2556 22:14:08 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2279 Pageviews. |
|
|