:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::
:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::
หากแปลความหมายของอวิชชาตามภาษาพระว่า"ความไม่รู้"
แล้วไม่รู้สิ่งใด?
และอะไรคือสิ่งที่แบ่งความ"รู้"และ"ไม่รู้"
คำถามโดย : คล้ายดาว วันที่ : 29 มิถุนายน 2554 เวลา : 23:03:48 น.
วิชา แปลว่า ความรู้ วิชชา แปลว่า ปัญญา อวิชชา แปลว่า ไร้ปัญญา
คนเราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่รู้อะไรก็ไปหาตำรับตำรามาเรียนเขียนอ่าน รู้เยอะขึ้นก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ ยิ่งเรารู้ “วิชา” มากเท่าใด เราจึงรู้เยอะกว่าคนอื่นๆที่ไม่รู้ แต่คน “รู้เยอะ” ไม่ได้แปลว่า “รู้จริง”
“วิชชา” แปลว่า “ปัญญา”
ปัญญานี้มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน ในสัตว์ก็มีปัญญา ปัญญาของสัตว์ เช่น มันสามารถคลอดลูกเองได้โดยไม่ต้องมีหมอ หมาเวลาป่วยทำไมมันจึงกินหญ้าเอง มันรู้ได้อย่างไรว่าการกินหญ้าจะช่วยรักษาอาการป่วยในตัวมันได้
ปัญญาของคน คือ การที่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ แล้วเราสามารถใช้ปัญญาแสวงหาทางออกจากทุกข์นั้นได้
ปัญญาของคน คือ การแยกแยะสิ่งที่เรียกว่า ผิดชอบชั่วดี มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป โดยไม่ต้องใช้กฎหมาย กฎศีลธรรมใดมาควบคุมตนเอง
สิ่งนี้เราเรียกว่าปัญญาหรือวิชชา ไม่ใช่วิชา
วิชชานี้มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน แต่ถามว่าทำไมเราไม่รู้ เราไม่รู้ หรือเชื่อว่าเราไม่มีปัญญา เพราะ “ความคิดของเรา” ถูกบดบังไปด้วย “ความไม่รู้” ความไม่รู้ที่เราเรียกว่าอวิชชานั่นเองที่บดบังปัญญาของเรา ไม่ให้มันทำงานได้อย่างเต็มกำลัง
เหมือนดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆบัง เมฆดำก้อนนี้คือ กิเลส ความหลงผิด จิตใจใฝ่ต่ำ การกระทำใฝ่เลว การหลงผิดคิดว่าสิ่งชั่วที่ตนทำเป็นสิ่งดี ฯลฯ
เนื่องจากปัญญานี้มีอยู่แล้วในตัวเรา จึงไม่มีความจำเป็นใดใดที่จะต้องไปค้นหา หรือไปเพิ่มเติมปัญญานี้ ในเมื่อมันเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น มันเต็มเปี่ยมตั้งแต่เราจะเกิดมาเป็นเราในร่างนี้อยู่แล้ว ปัญญานี้แนบไปกับจิตหรือตัวความคิดของเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะกลายเป็นหมู หมา กาไก่ เป็นคน เป็นแพทย์ เป็นกษัตริย์ หรือเป็นยาจก ไม่ว่าเราจะท่องไปในสังสาระอีกกี่ร้อยชาติพันชาติ ปัญญานี้ไม่เคยพร่อง ไม่เคยลดหรือเพิ่มเลย
วิชชาที่ถูกอวิชชาบดบัง ปัญญาจึงเปล่งแสงสว่างไม่ได้ ทางที่เราต้องทำไม่ใช่การไปเพิ่มแสงสว่างให้ดวงอาทิตย์ แต่ที่เราต้องทำคือนำเมฆดำให้ออกไปจากดวงอาทิตย์
เมื่อเมฆดำถูกทำให้หายไป ดวงอาทิตย์ก็เปล่งแสงสว่างของมันได้อย่างเต็มที่.....
ใน “วิชา” มีความรู้และไม่รู้ เมื่อไม่รู้ เราไปเรียนให้รู้ได้
แต่ใน “วิชชา” ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีทั้งรู้และไม่มีทั้งไม่รู้ ไม่มีการแสวงหา ไม่มีการสร้างขึ้น มีแต่ปัญญาดั้งเดิมที่รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา ปัญญาที่มีอยู่แล้วในทุกขณะจิต
ไม่รู้สิ่งใด ?
ไม่รู้ว่าตนรู้ นี่คือความน่ากลัวที่สุด
สิ่งที่เราควรทำ คือการ “รู้” ....รู้ว่าเรามีปัญญา รู้ว่าคนอื่นเขาก็มีปัญญา นั่นคือการรู้ถึงความเท่าเทียมกันของสรรพชีวิต แต่ที่ปัญญามันเปล่งแสงไม่ได้ไม่เท่าเทียมกัน เพราะถูก “ความไม่รู้” มาบดบังปัญญาหนาบางไม่เท่ากัน
พยายาม พยายาม พยายามนำ “ความไม่รู้” ออกไปจาก “ความคิด”
ใช้การ “พิจารณาความเป็นจริง” เป็นเครื่องมือ ในการแยกแยะความเป็นจริงต่างๆอย่างที่ “มันเป็น” ไม่ใช่อย่างที่ “เราเชื่อ”
เมื่อเราค้นพบ “ที่สุดแห่งความเป็นจริง” เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว เราอยู่กับปัญญานี้มาโดยตลอด เรามีปัญญานี้อยู่เต็มเปี่ยม และเราเป็นหนึ่งเดียวกับ “วิชชา” นี้ของเราตลอดเวลา
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2554 5:11:16 น. |
|
110 comments
|
Counter : 2157 Pageviews. |
|
|
|
บางทีมีปัญญาและวิชชา
แต่ใช้ชีวิตด้วยความเคยชิน
และไม่แยกแยะ
มีโอกาสแก้ไขให้ดีขึ้นได้ไหมเอ่ย
ขอบคุณนะคะที่แบ่งปันและแอบทิ้งท้ายไว้นิดนึงจ้า ^_^