:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::
:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::
ความรู้...เกิดจากการท่องจำ การเรียนรู้ การท่องตำรา และจดจำถ้อยคำสั่งสอนของนักปราชญ์
ปัญญา...นี้มีอยู่ในตัวเราทุกคน ปัญญานี้มิอาจสร้างขึ้นได้ด้วยวิธีใดๆ ไม่อาจแสวงหาได้พบไม่ว่าในที่ไหนๆ
(กะว่าก๋า)
ถ้าอย่างนั้นการเกิดปัญญาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนฉลาดสินะ แล้วปัญญาในตัวของคนแต่ละคนแตกต่างกันไหม ?
อย่างเช่นปัญญาของคนที่สังคมบอกว่าเค้า..โง่.. ด้อยโอกาส อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซ้ำอาจจะหูหนวก จะตอบโจทย์คำถามของชีวิตให้ตัวเองและคนรอบข้าง ได้เหมือนคนฉลาดระดับด็อกเตอร์ได้รึป่าว
คำถามโดย : คล้ายดาว วันที่ : 10 มกราคม 2555 เวลา : 9:28:43 น.
คนที่รู้เยอะ ฟังมาก อ่านมาก เขียนมาก เราเรียกว่าคนมีความรู้
แต่คนที่รู้ในสิ่งที่ตนรู้อย่างดีที่สุด และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เราเรียกว่าคนมีปัญญา
ปัญญากับความฉลาด ดูผิวเผินเหมือนจะคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน
ผมคิดว่าสัญชาติญาณ การสั่งสมความรู้ ภูมิปัญญา ฯลฯ มันใกล้เคียงกับคำว่า ความรู้มากๆ....
หมาแมวคลอดลูกมันไม่ต้องใช้หมอหรือพยาบาลเลย นี่เราเรียกว่าสัญชาติญาณหรือความฉลาด ?
ชาวดอยเดินอยู่บนสันเขา เอามีดจิ้มลงไปในดินทีเดียว ก็รู้เลยว่าตาน้ำอยู่ไหน
เหล่านี้บางคนเรียกว่าภูมิปัญญา ประสบการณ์ แต่ผมคิดว่ามันเป็นปัญญา เป็นความจำ การเรียนรู้ แล้วนำมาใช้กับชีวิตจริงได้
เคยได้ยินนิทานเรื่องชายแก่กับศาตราจารย์ไหม สองคนนี้ไปล่องเรือกัน ศาสตราจารย์ถามชายพายเรือว่า
“ลุงรู้จักฟิสิกซ์มั้ย ?”
ชายชราตอบว่า
“ไม่รู้จักหรอกครับ ผมพายเรืออย่างเดียวมาตลอดชีวิต”
“แล้วรางวัลโนเบลล่ะ ?”
“มันเกี่ยวกับการพายเรือรึเปล่าครับท่าน ?” ชายชราถาม
ศาสตราจารย์หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“มันเป็นรางวัลระดับโลกสำหรับอัจฉริยะต่างหากลุง ฮ่าๆๆ จะบอกให้นะ รางวัลนี้น่ะ ฉันต้องได้แน่ๆในสักวันหนึ่ง”
ชายชราพายเรือต่อไป แต่เขาเริ่มสังเกตว่าคลื่นใต้น้ำเริ่มก่อตัว รอบตัวอากาศเย็นลงแบบฉับพลัน เหมือนจะมีพายุหนัก
“แล้วลุงรู้จักทฤษฏีการหักเหของแสงมั้ย ?” ศาสตราจารย์ยังถามต่อ
“ไม่รู้จักหรอกครับท่าน”
“งั้นลุงก็พลาดอะไรดีดีในชีวิตไปซะแล้ว”
“ผมถามอะไรท่านนิดหนึ่งได้มั้ยครับ”
ชายชรากล่าวอย่างนอบน้อม
“อะไรเหรอลุง”
“ท่านว่ายน้ำเป็นมั้ยครับ”
“ไม่เป็นเลย ลุงถามทำไม” ศาสตราจารย์ถามด้วยเสียงวิตก
“งั้นความฉลาดของท่านก็เปล่าประโยชน์แล้วล่ะครับ ตอนนี้เรากำลังเจอพายุใหญ่ครับ”
ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ส่วนศาตราจารย์ได้แต่ร้องเสียงหลงด้วยความรักตัวกลัวตาย
ผมไม่เล่าตอนจบนะครับ ว่าตกลงเรื่องราวของชายชรากับศาสตราจารย์เป็นอย่างไรต่อ
แต่ที่อยากเล่าต่อ คือ
คนทุกคนเกิดมาบนโลกนี้ ไม่ได้มี “ปัญญา” ที่แตกต่างกันเลย ขอย้ำว่า “ปัญญา” นะครับ ไม่ใช่ความ “ฉลาด”
ในทางธรรมเราใช้คำว่า “วิชชา” กับ “วิชา”
“วิชา” หมายถึงความรู้ที่เกิดจากการจำ พูด อ่าน เขียน และถามจากผู้รู้ ดูจากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาก่อนที่เราเกิด
ส่วน “วิชชา” นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน เป็นปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด สว่างไสวในธรรมะแห่งความเป็นจริงอยู่แล้ว โดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือแปรเปลี่ยนมันได้
คำถามคือ แล้วทำไมในเมื่อคนเรามี “วิชชา” เหมือนกัน แต่กลับเปล่งแสงสว่างแห่ง “วิชา” ได้ไม่เท่ากัน
สิ่งนี้อธิบายได้ด้วยการเปรียบเทียบ...
เปรียบเทียบคนเรากับหลอดไฟหนึ่งดวง เมื่อเรากดสวิชท์เปิด หลอดไฟทำงานแล้วเปล่งแสง แสงนี้นี่ล่ะครับที่เป็น “ปัญญา”
แต่ที่คนเราเปล่งแสงไม่เท่ากัน เป็นเพราะหลอดไฟหลอดนี้ถูกผ้าสีดำเข้มบดบัง เป็นเพราะหลอดไฟหลอดนี้ถูกฝุ่น และขยะสกปรกเข้ามาฉาบทาหนาเตอะ จนแสงสว่างไม่อาจเปล่งแสงของมันออกมาได้
สิ่งที่บดบังแสงสว่างนี้ ในทางธรรมเราเรียกว่า อวิชชา กิเลส อุปทาน ความหลงผิด การมองและคิดอย่างผิดทิศทาง หลงไปว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ หลงไปยึดติดว่าทุกสิ่งเป็นของฉัน นี่ของฉัน นี่คือตัวฉัน ความรู้แบบนี้เมื่อสั่งสมไปนานๆในความคิดของเรา จะกลายเป็นผ้าสีดำ เป็นฝุ่นและขยะที่บดบังปัญญาหรือวิชชาที่เรามีอยู่
สิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่การพยายามไปเพิ่มแสงสว่างให้หลอดไฟ เพราะถึงอย่างไรหลอดไฟก็สว่างเท่าเดิม ไม่เคยเพิ่มเติม ไม่เคยลด ไม่เคยอ่อนแสง
สิ่งที่เราต้องทำ คือ ต้องนำสิ่งที่บดบังหลอดไฟออกไป
เมื่อนำสิ่งต่างๆเหล่านี้ออกไปได้ หลอดไฟก็ทำงานได้ตามปกติของมัน โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยกับตัวหลอดไฟ
คนที่ร่างกายพิการ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกับเราเลย นอกจาก “สรีระ”
แต่พันธะที่เรามีร่วมกัน คือ เราต้องเกิด เราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องตาย เราต้องพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลอันเป็นที่รักในทุกขณะ
ความพิการทางกาย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับระดับสติปัญญาเลย เพราะอย่างที่ผมได้อธิบายไปแล้ว
“แสงสว่าง” ในตัวเราเท่ากัน
ไม่ว่าคนจะหูหนวก ตาบอด ไม่ว่าคุณจะเป็นกษัตริย์ หรือเป็นยาจก เป็นครู แพทย์ คนกวาดขยะ หรือเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ฯลฯ
ปัญญาเรามีเท่าเทียมกัน
แต่สิ่งที่บดบังปัญญาของเรานั้นต่างกัน หนาบางไม่เท่ากัน
คนโง่ที่แท้จริงไม่มีหรอกครับ มีแต่คนที่ยังรู้ไม่เท่าทันความจริงเท่านั้นเอง
อะไรที่ไม่รู้ พอได้รู้ ... ก็หายจากความไม่รู้
ความฉลาดหรือปัญญายังคงเท่าเดิม เราไม่ได้โง่ เราแค่ไม่รู้ เราแค่ถูกความไม่รู้บดบังแสงสว่างแห่งปัญญาเท่านั้น
ผมคิดเสมอว่าทุกอาชีพและคนทุกคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
ในเช้าวันที่ส้วมเต็มทั้งเมือง.... พนักงานดูดส้วมที่ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่สุดกำลังฝีมือ ก็มีคุณค่าและเกียรติ ไม่แพ้ตำแหน่งนายกหรือรัฐมนตรีเลยนะครับ
ผมเชื่อว่าคนเราเท่าเทียมกัน (ในทางธรรม) แต่ในทางโลก คุณจะทำหน้าที่อะไร คุณจะรู้อะไรก็รู้ไปเถิด ขอให้ความรู้นั้นเกิดประโยชน์กับตัวเองและชุมชนที่คุณสังกัด
ขอให้นำความรู้นั้นไปใช้เพื่อพัฒนาจิตใจและความคิดของตนเอง
เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก ถึงจะรู้จักตนเอง
ขอเพียงรู้จักตนเอง ผมว่านั่นเป็นความรู้ที่แท้จริง ที่น่าจะเพียงพอแล้ว หากใครคนหนึ่งเกิดขึ้นมาในชีวิตหนึ่ง แล้วสามารถหลับตาตายได้พร้อมกับคำว่า
“ฉันรู้จักตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว”
ผมคิดว่านี่เป็นความตายที่ทรงคุณค่ามากจริงๆ สำหรับชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาครับ
Create Date : 21 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2555 5:24:28 น. |
|
78 comments
|
Counter : 1952 Pageviews. |
|
|
|
แอมอร