เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
24 เมษายน 2550

ลูกจ๋า...บ่าเจ้าหนักอึ้ง



นั่งคุยกับตัวเอง : ลูกจ๋า...บ่าเจ้าหนักอึ้ง
เขียนโดย : สิงห์โตหมอบ
24 เมษายน 2550



สมัยผมเป็นเด็กนักเรียน
ผมไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยเรียนกวดวิชาเลยสักครั้งในชีวิต
เพิ่งมารู้ว่าตัวเองเหมือนเด็กผิดปกติ
เพราะหลานๆตัวน้อยเริ่มมาถามว่าสมัยก่อนเรียนหนักแบบนี้หรือเปล่า
ผมก็ตอบไปว่า เปล่า....ไม่เคยเรียนเลย
เท่าที่จำความได้....สมัยประถมผมจัดตัวเองให้อยู่ในหมวดนักเรียนหลังห้อง
เปิดสมุดเรียนขึ้นมาเล่มใด ก็มีแต่รูปวาดไอ้มดแดงวีสาม
กับกันดั้ม หรือไม่ก็โดราเอมอนเต็มไปหมด
เลิกเรียน...วิ่งเล่น กลับบ้าน...กินข้าวเย็น
ทำการบ้าน อาบน้ำ หลับ เช้าตื่นเช้าหน่อย
เดินไปเรียน เรียนกับเล่นเป็นงานหลัก
ไม่เคยรู้สึกว่าการไปโรงเรียนเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอะไรเลย
ดีที่พ่อแม่ไม่เคยคาดหวังอะไรมาก
ไม่กดดันลูกด้วยการอยากให้ลูกเป็นโน่นเป็นนี่
มีบ้างแค่เปรยๆว่าอยากให้ลูกเป็นหมอสักคน
แต่คำเปรยนี้ก็เลยผ่านไป
เพราะลูกๆไม่มีใครอยากเอาดีเป็นหมอสักคน


...................................


เข้ามัธยม จนเรียนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่เคยกดดัน
เรียน เล่น ทำกิจกรรม
เอนทรานซ์ก็ไม่เคย เพราะคิดไว้ตั้งแต่จบม.3แล้ว
ว่าจะไปเรียนวิชาชีพ (ปวช. ปวส.)
จบปวส.ก็ต่อปริญญาตรี
สอบก็ไม่ต้องสอบ (ขอคุยหน่อยครับว่าผลการเรียนของผมดีพอที่จะได้โควต้าเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ)
เรียนจบปริญญาตรี ได้ทุนเรียนต่อปริญญาโทของคณะฯ
แต่ไม่เอา...เพราะเบื่อระบบการศึกษาที่เจอมา ไม่ประทับใจ
เลยอยากทำงาน
สรุปแล้ว...ชีวิตนี้ไม่เคยผ่านสถาบันกวดวิชาที่ไหนสักแห่ง
ไม่เคยเรียนพิเศษที่ไหนสักที่


...................................


มานั่งฟังชีวิตของเด็กไทยวันนี้แล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจัง
กระเป๋าเด็ก...ผมหิ้วเอง...ยังไหล่เอียง
มันจะบ้าตำราอะไรกันขนาดนี้
เรียนเสร็จ ต้องต่อด้วยการเรียนพิเศษทุกวัน
กลับมาถึงบ้านต้องทำการบ้านต่อ ทั้งแบบฝึกหัดที่โรงเรียนให้
และแบบฝึกหัดจากโรงเรียนกวดวิชา
เสาร์เช้าเรียนเปียโน
อาทิตย์เช้าเรียนว่ายน้ำ
“บ้าหรือเปล่า” .....ผมเคยพูดกับเพื่อนคนหนึ่ง
“จะปั้นลูกให้เป็นอัจฉริยะหรือไง.....”
เอาเปรียบลูก ทรมานเด็กเกินไปหรือเปล่า
ถึงได้บางอ้อว่าทำไมเด็กยุคนี้มันถึงซึมเศร้ากันเหลือเกิน
เพราะพวกผู้ใหญ่อย่างเรา “ยัดเยียด” ความเก่งให้เขา
จนหลงลืมว่าเด็กควรมี “ความสุข” ขณะ “เรียนรู้”
เด็กควรมีเวลาว่างบ้าง เพื่อให้เขาได้เล่น ได้ผ่อนคลาย
เพื่อนได้แต่อ้อมๆแอ้มๆว่า
“เดี๋ยวมีลูกเอง มึงก็รู้”.....


..........................................


ผมได้แต่นึกขอบคุณที่พ่อซึ่งจบเพียงชั้นประถม 4 ของผม
ไม่เคยขู่เข็ญผมให้ต้องเรียน ต้องเก่ง ต้องเป็นอัจฉริยะ
เพียงเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล
อย่างน้อยพ่อก็ไม่เคยคาดหวังว่าลูกจะต้องเป็นคนเก่ง
แต่ขอให้เป็นคนดี เลี้ยงตัวเองรอด
และมีความสุขในชีวิตตามอัตภาพ

ไม่อยากนึกถึงสภาพของตัวเอง
หากผมต้องแบกหนังสือไปเรียนจนไหล่เอียงแบบเด็กวันนี้
ป่านนี้ผมคงเป็นแค่ชายหนุ่มผู้ห่อเหี่ยวในชีวิตของตัวเอง
และถ้าผมต้องเรียนๆๆๆๆๆๆ แข่งขันอย่างคลั่งบ้าแบบเด็กทุกวันนี้
ผมคงหารอยยิ้มมายิ้มให้กับตัวเองได้น้อยครั้งเต็มที.










Create Date : 24 เมษายน 2550
Last Update : 24 เมษายน 2550 7:40:22 น. 25 comments
Counter : 1431 Pageviews.  

 
แงๆๆๆ เมื่อกี้เม้นท์ไปตั้งเยอะหายเกลี้ยงเลยอ่ะ

ไม่เป็นไรเม้นท์ใหม่ แต่ไม่เยอะเหมือนเมื่อกี้แล้วนะ เพราะจำไม่ได้แล้วว่าพิมพ์อะไรไปบ้างก็ไม่รู้เพราะมันยาวเหลือเกิน

ดีใจเหมือนกันค่ะที่ไม่ต้องแบกหนังสือจนใหล่เอียงเหมือนเด็กสมัยนี้...เอาล่ะ สั้นๆก็พอเนอะ


โดย: fonrin วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:7:56:40 น.  

 
เข้ามาสวัสดียามเช้านะคะ

สมัยนี้เด็กอนุบาล ก็ต้องกวดวิชา เรียนพิเศษแล้ว

สมัยเราเหรอ ยังเล่นกระต่ายขาเดียว ทอยตุ๊กตุ๋น อยู่เลยคะ


โดย: todayd วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:8:24:01 น.  

 
สวัสดีค่ะ กลับมาแล้วค๊า

มาอ่านเรื่องดี ๆ ยามเช้า ๆ ค่ะ

เป็นอีกคนที่ไม่เรียนพิเศษ แล้วก็ไม่เคยต้องแบกกระเป๋าใบโต ๆ ไปเรียน

เห็นเด็กสมัยนี้แล้วก็น่าเห็นใจเหมือนกันค่ะ แบกกระเป๋าใบโตกว่าตัวอีก

ถ้าความรู้แน่นเอี๊ยดเหมือนหนังสือในกระเป๋าก็ดีนะคะ



โดย: ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่ วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:8:26:09 น.  

 
.... 555 อ่านไปขำไป อมยิ้มไป ไม่เหมือนหนูตะบี้ตะบันเรียนทุกอย่าง กลัวว่างจัด เรียนตั้งแต่เช้า ยันเย็นเลิกเรียนทุ่มตรง บ้าพลังงานอย่างแรง เริ่มตั้งแต่ยังไม่อนุบาลพึ่งมาชา ๆ ตอนเขามหาลัย เมื่อยและเบื่อแระ ทำกิจกรรมฮา ๆ ดีกว่า

การไปเรียนพิเศษก็เป็นการที่เราได้เจอเพื่อนใหม่จากตจว.ด้วยแระ อุตส่าห์มาตั้งไกล...เราอยู่ใกล้เลยต้องขยันกับเขามั้ง....ฮี่ ฮี่...


โดย: หนูนีล (นางน่อยน้อย ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:8:26:14 น.  

 
พ่อแม่สมัยก่อน กับสมัยปัจจุบัน...มีความคิดเหมือนกันคือรักลูก แต่การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปตามยุคสมัย....การอบรมเลี้ยงดูเลยต่างกัน....

ถ้าให้ดี...ต้องมองดูทั้งพ่อแม่สมัยเก่าและปัจจุบัน แล้วนำผลดีผลเสีย มาประยุกต์ใช้กับลูก...ที่ไม่ทำร้ายลูก และทำให้ลูกต้องแบกหนักจนเกินไป....

พูดง่ายแต่ทำยาก!!!!!


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:8:27:54 น.  

 
ได้ฟังข่าวเรื่องโอเน็ต เอเน็ตแล้วเซ็งเลยค่ะคุงครูก๋า.. เด็กซิ่วจะฟ้องร้องให้ได้สิทธิ์ในการใช้ผลสอบครั้งใหม่ ส่วนเด็กที่จบ ม.6 ปีนี้ก็จะฟ้องกลับหากศาลอนุมัติตามที่เด็กซิ่วร้องขอ เพราะบอกว่าเป็นการเบียดบังสิทธิ์ของเด็ก ม.6


โอ๊ยย...ฟังแล้วเครียดแทน แถมด้วยรู้สึกดีที่สมัยที่เราสอบไม่เป็นแบบนี้ ไม่งั้นคงอยากฆ่าตัวตายวันละหลายรอบเลยอ่ะ


โดย: rainoflove วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:8:56:31 น.  

 
พ่อแม่ทุกวันนี้รักลูกค่ะ อยากให้ลูกได้ทำงานดีๆ กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน เลยบังคับให้ลูกเรียนพิเศษ เด็กสมัยนี้เย็นๆไม่มีเวลาวิ่งเล่นเลยค่ะ กว่าจะเลิกเรียนพิเศษก็ เกือบสองทุ่มแล้วค่ะ มาถึงบ้านก็อาบน้ำ นอน เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ออกไปโรงเรียนแต่เช้าค่ะ...


โดย: Madam_Hatyai วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:9:05:01 น.  

 
ดีจังเลย...


โดย: tai (taibangplee ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:9:11:54 น.  

 
ชอบเรื่องนี้จัง เป็นมุมที่พ่อแม่ควรหันมามอง

ไม่คิดจะให้ลูกมาเป็นความฝันของพ่อแม่เหมือนกัน
จะให้ลูกเลือกเอง จะเรียนหรือไม่เรียน เลือกเอง เพียงแต่จะบอกว่าทำแบบนี้ได้อะไร ไม่ทำได้อะไร ตัดสินใจเอง...

สิ่งที่คาดหวัง (ลึก ๆ) คือให้ลูกเกิดมาเพื่อไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเท่านั้น..


โดย: viji (viji ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:9:32:41 น.  

 
สมัยผมเด็กต่างอำเภอเข้ามาเรียนในตัวจังหวัดก็ได้เรียนพิเศษนะคับแต่อันนี้ผมสมัครใจเรียนเองคับ มันช่วยกระตุ้นให้เราอ่านหนังสือคับ ทั้งที่จริงไม่ต้องเรียนก็ได้คับ อ่านเองก็ได้ แต่ก็ถือว่าโอเคนะคับ เพื่อนที่ไม่เรียนคะแนนก็ดีนะ เป็นเพราะเค้าขยันมากกว่านะคับ ถ้าเกิดมีลูกจะไม่บังคับแน่นอนคับ


โดย: frank3119 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:9:40:06 น.  

 
เห็นด้วยทุกอย่างเลยค่ะที่คุณเขียนมา
ตัวเองก็ไม่เคยต้องเข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชาเหมือนกัน
ยังเคยแอบสงสัยเหมือนกันนะคะว่าพ่อ-แม่สมัยนี้
ส่งลูกไปเรียน หรือส่งไปวิ่งแข่งร้อยเมตร
จริงอยู่นะคะว่านั่นคือความรักความหวังดีกับลูก
จะพ่อแม่สมัยโน้นหรือสมัยนี้ ความรักความหวังดีกับลูก
ไม่ได้แตกต่างกันหรอก แต่เหนือสิ่งอื่นใดน่าจะมองที่
ความต้องการและมีความสุขที่จะทำสิ่งหล่านั้นของเด็ก
เป็นสำคัญ ไม่ใช่เอาความอยากของพ่อแม่เป็นที่ตั้ง
อยากให้ลูกเป็นหมอ อยากให้ลูกเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ
อยากให้ลูกเป็นดารา ก็ทั้งผลัก ทั้งดันกันไป
ไม่ได้มองว่าการที่เด็กต้องมาให้ชีวิตตามเส้นที่เราขีดไว้
เขาจะมีความสุขหรือเปล่า สนุกกับมันหรือเปล่า
หรือรักในสิ่งที่เขากำลังทำหรือเปล่า

ตัวเองยังไม่มีครอบครัวค่ะ ก็เลยมองต่างออกมาในแง่นี้
แต่ถึงอย่างไรหากวันหนึ่งแต่งงาน มีครอบครัวไป
เมื่อมีลูก เราก็ยังยึดความคิดนี้อยู่ดี คือเขาจะเป็นอะไร
จะทำอะไรก็ขอให้มันมาจากความรัก
ความชอบของเขาเป็นหลัก ที่สำคัญคือขอให้เขา
มีความสุขที่จะทำ มีคาวมสุขที่จะเป็นแค่นี้เราก็มีความสุขแล้วค่ะ


โดย: เราสองคน (ฝากเธอ ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:9:45:41 น.  

 
ตอนเด็ก ๆ ถือคติ "เรียนไป ตายก็ลืม" ค่า
แต่ไม่เคยทำตัวให้ลำบาก อย่างโดดเรียน หรือสอบตก
เพราะแม่ไม่เคยตื่นเต้นกะผลการเรียนค่ะ สอนแค่ว่าให้รับผิดชอบกับการกระทำตัวเองทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะดีหรือแย่
(เอ็งสอบตก เอ็งก็เป็นคนซ่อม ไม่ใช่แม่ เอ็งเรียนไม่จบ เอ็งก็อายเพื่อน ไม่ใช่แม่ เอ็งเรียนได้ดี เอ็งก็ภูมิใจในตัวเอง แม่ช่วยเพิ่มความภูมิใจนั้นไม่ได้ เพราะงั้น โตพอจะคิดได้ก้อคิดเองจ้า)

บางที สังคมดี ๆ ที่เลือกให้ลูก ๆ จากการที่เรามองเห็น อาจไม่เหมาะกะเขาก็ได้นะคะ เรื่องแบบนี้เหมือนมีมิติ เรามองจากภายนอกอาจมองไม่เห็นความกดดันของเด็ก ๆ ที่สู้โดยไม่เข้าใจว่า โตเป็นผู้ใหญ่มันต้องผ่านอะไรขนาดนี้ด้วยหรอฟะ เด็ก ๆ ก็เลยรุสึกกดดันเกินเหตุ ทั้ง ๆ เดินออกมาจากจุดนั้นก็ได้ แต่ติดที่พ่อแม่ เลยทำอะไรที่เป็นการคิดสั้น หนีปัญหา

กะลังจะเป็นแม่คน ก็เลยต้องคิดเรื่องนี้เยอะ ๆ ขึ้นค่ะ เพราะคนรุ่นเรา เริ่มเพี้ยน เป็นผู้ใหญ่ที่แย่ลง แล้วไปบอกให้เด็ก ๆ ทำตามตัวเอง ก็แย่สิเนอะ

เม้นท์ยาวหน่อยนะค้า เหมือนบ่น ขอโทษทีนะคะ

ขอบคุณที่ไปให้กะลังใจที่บล้อกค่า


โดย: จมูกหมู81 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:10:36:13 น.  

 
เป็นอีกหนึ่งคนในระบบที่สังคมกำหนดให้ค่ะ

เค้าให้เรียนก้เรียน

เค้ากวดวิชาก็กวด

ออกจากบ้านตีสี่ไปแย่งที่เรียนพิเศษ จะบ้าป่ะ

รอดมาได้ โดยไม่เป็นบ้าตายก็ขอบคุณฟ้าแล้วค่ะ



โดย: หมวยแก้มป่อง วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:10:50:08 น.  

 
Goooooooooood morningggggggggg 


โดย: พีทคุง (redistuO ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:10:50:11 น.  

 
เหมือนกันเลยเจ้า บ่เคยเรียนพิเศษที่ไหนเหมือนกัน แต่พ่อแม่ค่อนข้างบังคับเรื่องการเรียน กิจกรรมกิจเกิมหยังบ่ค่อยได้ทำเจ้า พ่อบ่อนุญาต หรือถ้าอนุญาตก็จะไปคุม ชีวิตอยู่ในคอกโหดๆน่ะ
พอหลุดออกมาได้ มันเลยหลุ เป๋นบ้าเป๋นว้อไปพักนึงเหมือนกัน แต่ยังดีที่ประคับประคองตัวเองได้

อย่างนึงที่ข้าเจ้าได้รับจากการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็คือ...

การพยายามจะเป็นนั่นเป็นนี่ มันอาจจะไม่เกินไขว่คว้า ไม่เกินความสามารถของคนเลย
แต่ข้าเจ้าบ่ได้วัดคนจากตรงนั้น ไม่ได้สนใจในการประสบความสำเร็จของคนเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม ข้าเจ้าสนใจคนที่ล้มเหลว คนที่หกล้ม คนที่พ่ายแพ้
แล้วกลับลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งหนึ่งอย่าภาคภูมิใจ

คุณไม่อยากรู้หรือ เขาทำอย่างไร?




โดย: การเรียนดี ความประพฤติแย่ (กากีซ่าส์ ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:11:21:46 น.  

 
ไม่เคยเรียนพิเศษเหมือนกัน
แต่ก็ยังเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้
สมัยนี้พ่อแม่คิดแทนเด็กเยอะ
น่าจะให้เด็กคิดแทนตัวเองมั่ง 555


โดย: รุ้งสีที่แปด วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:15:20:10 น.  

 
อ่านแล้วดีจัง ฝนเองก็ไม่เคยเรียนพิเศษ หรือกวดวิชาที่ไหน แบบว่าพ่อแม่ไมได้คาดหวังอะไร ได้ไปเรียนแข่งกับใครที่ไหน
ก่อนเลิกเรียนคุณครูก็ท่องสูตรก่อนกลับบ้านทุกวัน กลับมาถึง ก็ช่วยแม่นิดหนึ่ง ก็ออกมาวิ่งเล่น พอมืดก้กลับไปกินข้าว อาบน้ำนอน มีการบ้านก็ทำ สบาย

เด็กสมัยนี้ น่าสงสารนะ เรียนกันหัวโต ตัวลีบแล้ว ทำให้เด้กสมัยเครียด ตั่งแต่อายุน้อยๆ ไม่อยากบอกว่าใครผิด พ่อแม่ทุกคนรักลูก อยากให้ลูกเก่ง ทุกคน


โดย: fontor วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:15:22:01 น.  

 
ผู้ปกครองบางคน สานฝันตัวเองที่ทำไม่สำเร็จ... โดยผ่านลูก
ผู้ปกครองบางคน หน้าบางเกินกว่าจะให้ลูกตัวเองอยู่เฉยๆ ในขณะที่เด็กคนอื่นจำเป็นต้องบ้าจี้ตามพ่อแม่เรียนหนักเกินเหตุ
ผู้ปกครองบางคน อยากหาพรสวรรค์ของลูกเจอเร็วๆ จึงต้องอัดความรู้ความสามารถ(ที่คิดว่า)พิเศษเข้าไปเยอะๆ

รัก ลูก ให้ ถูก ทาง เน้อ พี่น้อง!



โดย: renton_renton วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:16:38:17 น.  

 
สมัยเราคนที่ต้องเรียนพิเศษกวดวิชาส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เรียนอ่อนไม่ทันเพื่อนๆตอนนี้เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าปัจจุบันนี้การสอนในรั้วโรงเรียนหย่อนประสิทธิภาพลงไปมากโขรึว่าเด็กอ่อนกันไปหมดค่ะ ^^''
..
เรียนเยอะค่าใช้จ่ายก็แยะพ่อแม่ก็ยิ่งต้องทำงานมากขึ้นแล้วที่นี้เมื่อต่างคนต่างมีภาระมากมายขนาดนี้แล้วเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวจะเหลือสักเท่าไหร่นะคะ ..
..
..
ปล รู้สึกโชคดีเช่นกันค่ะที่เกิดก่อน


โดย: azamiya วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:17:08:10 น.  

 
เรียนเชิญท่านผู้มีจิตฝักใฝ่ในเรื่องราวของวัด
ที่บล็อก วัดในลำปางของกระผม
วันนี้นำเสนอ วัดเจดีย์ซาวหลังจังหวัดลำปางครับ
กรุณาอย่าพลาดป้ายคำสอน
โดยเฉพาะท่านที่ปัญหาด้านความรัก การงาน

ขอบคุณครับ


โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:18:23:12 น.  

 
ผมทั้งเคยกวดวิชา เรียนพิเศษ และหิ้วกระเป๋าหนักๆครับ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเรียนตลอดเวลา ยังดีที่พ่อแม่ไม่ได้กดดันให้ผมต้องเรียนอย่างนั้น เรียนอย่างนี้ครับ

ปล. หิ้วกระเป๋าหนักๆเป็นการออกกำลังกายดีนะครับ


โดย: fzero วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:22:00:23 น.  

 
ดีจังเลยค่ะ....ที่พ่อกับแม่ของ กะว่ากำ ไม่กดดัน

ต่างกับเรา มากเลย พ่อมักจะถามเราว่าจบมา

จะทำอะไรกิน ตอนที่พ่อถามเราอยู่ปี 2-ปี3

เราเองก็ยังไม่รู้ตอบไม่ได้ กดดันมากเลยค่ะ

ตอนนั้นทะเลาะกับพ่อบ่อยมากๆ บางครั้งก็ไม่อยาก

กลับบ้าน แต่สุดท้ายก็มาตายรังทุกที (ไม่มีตังค์)

ร้องไห้ ร้องไห้ และก็ร้องไห้ ................

เราชอบขีดๆเขียนๆ วาดรูป แต่งภาพ

ตอนนี้เราเหมือนคนบ้า ในสายตาพ่อไปแล้ว 555



โดย: หิมะสีดำ (หิมะสีดำ ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:22:49:53 น.  

 
อืม นั่นสิคะ บีก็โชคดี ที่ไม่เจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ ถึงจะมีไปเรียนบ้างก็ด้วยความสมัครใจของตัวเอง ^_^


โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:0:49:56 น.  

 
อ่านเรื่องตอนเด็กของคุณแล้ว
ผมตาร้อนอ่ะคับ
อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง


โดย: Kurt Narris วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:1:46:43 น.  

 
มาอ่านคอมเม้นท์และดูอาหมวยแก้มแดง


โดย: หนูนีล (นางน่อยน้อย ) วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:7:13:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

กะว่าก๋า
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 392 คน [?]




มองฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
หรืออาจไม่เห็นฉัน

ฉันแค่แวะผ่านทางมา
และอาจไม่หวนกลับมาทางนี้อีกแล้ว

เราเคยรู้จักกัน
และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มองดูฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
และฉันอาจมองไม่เห็นเธอ.





[Add กะว่าก๋า's blog to your web]