เรื่องสั้นและนิยายของกะว่าก๋า
เรื่องสั้นและนิยายของกะว่าก๋า
ผมเขียนเรื่องสั้นไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เขียนร่วมในโครงการถนนสายนี้มีมิตรภาพ และโครงการถนนสายนี้มีตะพาบ ซึ่งทั้งสองโครงการเป็นการร่วมสนุกกับเพื่อนบล็อก ที่ช่วยกันคิดหัวข้อในการเขียนงานเดือนละ 2 บล็อก เพื่อน ๆ และตัวผมช่วยกันตั้งโจทย์แล้วเขียนงานกันอย่างอิสระ ไม่บังคับรูปแบบการนำเสนองาน
ผมเขียนนิทาน เรื่องสั้น ไว้จำนวนหนึ่ง ได้นิยายมาสามเรื่อง
นำเรื่อง “ซิปต้า” มาให้ลองอ่านกันดูครับ
...............................................ซิปต้าเด็กชายซิปต้าอายุห้าขวบ แม่ของเด็กคนนี้เป็นชาวไทยใหญ่ซึ่งหนีร้อนมาพึ่งเย็น พ่อของซิปต้าเป็นเพียงช่างก่อสร้าง เป็นแรงงานราคาถูกที่ไม่มีค่ามีความหมายอะไรมากมายนักในสายตาคนทั่วไป แม่ของซิปต้าเป็นเพียงเด็กหญิงที่พ้นวัยสาวมาไม่นาน ดิ้นรนจากถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อวาดหวังอนาคตที่ดีกว่า
.............................
วันหนึ่ง เมื่อตอนที่ซิปต้าอายุ 3 ขวบ โลกเล่นตลก และชะตากรรมเริ่มโบยตีชีวิต พ่อของซิปต้าถูกรถชนอย่างแรงจนเป็นอัมพาต ชนแล้วหนี...ดีที่ไม่ถอยรถมาทับซ้ำอีกรอบ เมื่อคนหนึ่งไม่สามารถทำงานได้ ชีวิตที่ยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งยากลำบากแสนเข็ญ บนแผ่นดินซึ่งมิใช่แผ่นดินเกิด บนแผ่นดินที่ชีวิตถูกตีค่าราคาให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ชะตากรรมช่างโหดร้ายทารุณต่อชีวิตน้อย ๆ ถูกเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ความปราณี วันที่ทุกอย่างดูเลวร้ายที่สุดในชีวิต สามีเป็นอัมพาต ลูกไม่มีข้าวกิน ในบ้านไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต ไม่มีวันพรุ่งนี้ มีแต่ “ความจริง” อันโหดร้ายเถื่อนทารุณจิตใจ
..............................
เรื่องราวของคนชายขอบซึ่งยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบปากเหว ถูกรับรู้ด้วยชายคนหนึ่งซึ่งมิได้เกี่ยวดองข้องเกี่ยวอันใด เป็นคนซึ่งเกิดมาคนละผืนแผ่นดิน คนซึ่งแตกต่างด้านฐานะ และรู้จักกันแค่ในนามของ “เพื่อนร่วมโลก” เท่านั้น
ชายคนนี้เรียกหญิงสาวเข้าพบ เธอเดินเข้ามาด้วยตัวสั่นงันงก ไม่ทราบเจตนาของชายแปลกหน้า “กูได้ข่าวมาจากลูกน้องว่าผัวมึงถูกรถชนเหรอ” “ค่ะ” สำเนียงไทยแปร่งหูดังขึ้น “แล้วมึงอยู่กันยังไง มีอะไรกินรึเปล่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่?” เสียงพูดดังก้องในห้องทำงานเล็ก ๆ นั้น คล้ายค้อนที่กระหน่ำทุบหญิงสาวให้ตัวยิ่งหดเล็กลงไปอีก “หนูยังไม่มีงานอะไรทำเลยค่ะ” “เอ้า...กูให้มึง” ชายแปลกหน้ายื่นเงินจำนวน 5000 บาทให้ หญิงสาวทำหน้าตื่นตระหนก ไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เธอได้แต่นั่งนิ่งบนพื้นห้องเย็นเยียบด้วยระบบปรับอากาศเย็นฉ่ำ เหงื่อเม็ดโต ๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้า “มึงเอาไป กูช่วยมึงกับครอบครัวของมึง” เสียงนั้นคล้ายเสียงตะคอกของเจ้าหน้าที่รัฐ มากกว่าเสียงของพ่อพระซึ่งกำลังช่วยชุบชูชีวิตครอบครัวของเธอ หญิงสาวลังเลอย่างรู้สึกได้ ชายคนนี้หวังอะไรจากตัวเธอ จะว่าหวังในร่างกาย เธอย่อมไม่ใช่สาวสวยในแบบที่ผู้ชายพึงหวัง เนื้อตัวดำเมี่ยมซกมกมอมแมม ครอบครัวญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ แล้วเขาช่วยเราทำไม เธอคงตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้กับตัวเองอยู่ เสียงพูดคุยเหมือนเสียงตะโกน กระชากดึงให้เธอกลับมายืนรับรู้ “ความจริง” ตรงหน้า “มึงเอาไปกินไปใช้จ่าย ไม่พอก็เข้ามาบอกกู… กูจะช่วย”
เธอยื่นมืออันสั่นเทารับเงินก้อนโตที่สุดในชีวิต เงินที่ดูว่าไม่มากสำหรับคนรวยเหลือกินเหลือใช้ แต่มันคือเงินมหาศาลที่อาจประคับประคองสามชีวิตอันทุกข์ยาก ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้สักระยะ “ขอบคุณค่ะ” น้ำตาไหลพรากสองแก้ม ไม่มีคำพูดใดมากกว่านั้น แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป
.......................................
วันนี้ซิปต้าอายุ 5 ขวบ 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากวันอันเลวร้ายที่สุดในครอบครัวผ่านพ้น เด็กชายตัวน้อยเติบโตขึ้นในผืนแผ่นดินไทย ทุกครั้งที่ยื่นขนมให้ เจ้าหนูพูด “ขอบคุณครับ” แล้วยกมือไหว้ ไม่มีสักนิดที่บ่งบอกว่าเป็นสำเนียงของเด็กต่างถิ่นต่างภาษาต่างเชื้อชาติ แม่ของซิปต้ากลายเป็นคนขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย ทุกเช้าเธอจะปั่นจักรยานมาขายดอกมะลิให้กับชายคนนี้ ชายคนที่เคยหยิบยื่นเงินและช่วยเหลือเธอ ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก ทั้งที่เธอไม่ใช่คนไทย ทั้งที่เธอและครอบครัวเป็นอะไรก็ไม่รู้บนแผ่นดินที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของตัวเอง เธอเคยหวังจะมอบดอกมะลิพวงใหญ่ให้โดยไม่คิดเงิน ชายคนนี้ด่าเปิงจนเธอหน้าเสีย “กูจะไปเอาของมึงฟรีได้ยังไง สองสามวันมึงเอามาขายให้กูที่ร้านนี่แหละ กูจะเอาไว้ไหว้พระ”
หลายครั้งที่เธอพยายามอาสาขอเข้ามาช่วยทำนู่นทำนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำสวน หรือทำความสะอาดร้านของชายผู้นี้ ด้วยความสำนึกในบุญคุณ “มึงไม่ต้องยุ่ง กูมีคนเยอะแยะ” นั่นคือคำตอบที่ทำให้เธอไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเซ้าซี้อันใดอีก “มึงเลี้ยงลูกให้ดีดีก็แล้วกัน”
.........................................
หลายครั้งที่ผมเคยคิดว่า
“โลกนี้น่าเบื่อและแล้งน้ำใจ”
เรื่องราวของซิปต้าก็วนเวียนกลับมาในห้วงความคิดทุกครั้ง โลกนี้มีเรื่องราวมากมายซึ่งเราไม่รู้และไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่จริง ถ้าคุณกำลังคิดว่าโลกนี้ช่างน่าหดหู่ สิ้นหวัง และน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี ลองมองเข้าไปในดวงตาของ “แม่ของซิปต้า” ดูสิ บางที....คำตอบของคุณอาจเปลี่ยนไป..ตลอดกาล
Create Date : 23 มกราคม 2565 |
|
12 comments |
Last Update : 23 มกราคม 2565 6:55:43 น. |
Counter : 934 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณกิ่งฟ้า, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณcomicclubs, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณtuk-tuk@korat, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณnewyorknurse |
| |
โดย: กิ่งฟ้า 23 มกราคม 2565 8:06:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทนายอ้วน 23 มกราคม 2565 12:20:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 23 มกราคม 2565 14:20:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 23 มกราคม 2565 17:36:32 น. |
|
|
|
| |