เริ่มต้นชีวิตทำงาน
อยากจะบันทึกเรื่องราวชีวิตการทำงานไว้ ตั้งแต่เริ่ม จนกระทั่งเกษียณ รวบรวมเอาไว้ให้ตัวเองอ่าน และอาจจะมีมีคนอื่นๆ ได้อ่านด้วย ค่อยๆ เขียนไปวันละนิดละหน่อย เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำได้ดีทีเดียวนะ....
****เริ่มต้นชีวิตการรับราชการ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2527 ***
เรา...ชาวกรุงเทพฯที่เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่น มีพี่น้องด้วยกัน 5 คน เป็นชาย 3 หญิง 2 เราเป็นลูกสาวคนเล็ก พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็สมัครสอบ ก.พ.
ความใฝ่ฝันของเรา คือการรับราชการ เนื่องจากพี่สาวคนโตก็รับราชการ อีกอย่างตัวเองคิดเสมอว่า จะเอาดีทางบริษัทเอกชนคงจะไม่รุ่งแน่นอน จึงมุ่งสอบเข้ารับราชการเพียงอย่างเดียว เราสอบ ก.พ.ได้ ในลำดับที่ 200 จากคนที่มาสมัครสอบ ประมาณ 2,000 คน ก.พ.ขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี เรารอคอยวัน เวลา ที่ ก.พ.จะเรียกตัว แม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม เพราะได้ลำดับที่ 200 ส่วนราชการต่างๆ เรียกคนที่สอบได้ขึ้นบัญชีของ ก.พ. ไปสอบหลายครั้ง เราเองก็ไปสอบกับเค้าด้วย จนครั้งสุดท้าย เวลาที่ขึ้นบัญชีสอบ ของ ก.พ. 2 ปี ใกล้จะหมด ก.พ.ก็เรียก เราไปสอบอีกครั้ง โดยการสอบสัมภาษณ์เพิ่มเติมเพียงอย่างเดียว เราไม่ได้หวังอะไรมาก คิดว่าครั้งนี้ ก็คงจะเหมือนครั้งก่อน หากครั้งนี้ไม่ได้ ก็ไว้รอสอบใหม่ปีหน้าก็แล้วกัน ...
แต่ในวันที่ประกาศผลสอบ...เราก็ไปดูประกาศผลหน้าสำนักงาน ก.พ.เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนีี้เราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ดูที่บอร์ดหลายครั้ง หลายรอบ เพราะมันมีชื่อของเราปรากฎในประกาศผลสอบครั้งนี้ด้วย เราได้ลำดับที่ 2 จากจำนวนคนที่สอบได้ทั้งหมดกว่า 30 คน หัวใจเราพองโตด้วยความดีใจ อยากตะโกนร้องออกไปดังๆ ว่า ในที่สุดความฝันของเราก็เป็นจริงเสียที ได้รับราชการตามความใฝ่ฝันทั้งของตัวเอง พ่อแม่ และพี่ๆ ชีวิตการทำงานอย่างจริงจังของเราเริ่มต้นเมื่อเราอายุได้ 25 ปี
ก.พ.กำหนดให้ไปรายงานตัวและเลือกบรรจุเข้ารับราชการตามลำดับที่ตนสอบได้ ก่อนจะไปรายงานตัว เราได้ปรึกษาพี่สาวคนโตว่าควรจะเลือกไปที่ไหนดี พี่สาวบอกว่าตอนนี้เรายังเด็ก ยังไม่มีครอบครัว ไม่มีห่วงอะไร ก็เลือกไปอยู่ไกลๆ หาประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ ๆ ให้กับตัวเองจะดีกว่า ดังนั้น เราจึงเลือกไปทำงานที่ไกลที่สุด ติดชายแดนประเทศลาว "ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์" ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
วันที่ไปรายงานตัวที่สำนักงาน ก.พ. เราพบกับเพื่อนๆ หลายคน เราไม่รู้จักใครเลย พี่ๆ ที่สำนักงาน ก.พ.บอกให้เราคุยกันเองก่อน เพราะมีหน่วยงานราชการให้บรรจุหลายแห่ง ให้เราตัดสินใจเลือกตามความพร้อมและความสมัครใจ แต่แน่นอน กติกาก็คือ ให้คนที่ได้ลำดับต้นๆ ได้มีโอกาสเลือกก่อน วันนั้น มีคนที่สอบได้คนหนึ่งเดินมาคุยด้วย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เค้ามาบอกว่า การบรรจุรับราชการครั้งนี้ มีในกรุงเทพฯด้วย ซึ่งเราไม่รู้มาก่อนเลย เพราะตอนที่ประกาศผลสอบ มีแต่ต่างจังหวัดที่มีตำแหน่งว่าง เค้ามาบอกเราว่า ทางบ้านเค้าไม่ให้ไปต่างจังหวัด แต่ถ้าเค้าสละสิทธิ์ก็เสียดายมากๆ เพราะกว่าจะสอบได้ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราตอบเค้าไปอย่างมั่นใจว่า ไม่ต้องวิตกกังวลไปหรอก เราไม่เลือกกรุงเทพฯ เพราะเราอยากไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อหาประสบการณ์ก่อน
จนได้เวลาที่ทุกคนจะต้องเลือกหน่วยราชการที่ตนเองเลือกแล้ว เราได้เลือกก่อนคนแรก เพราะว่า คนที่สอบได้ที่ 1 เค้าสละสิทธิ์ ตอนนั้น เรานั่งอยู่ด้านหลังห้อง พี่เค้าก็เรียกชื่อตามลำดับ
"น้องตกลงเลือกไปทำงานที่ไหนครับ"ั "ศูนย์รับผู้อพยพ อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์ค่ะ" เราตอบอย่างมั่นใจ
พอสิ้นเสียงคำตอบ เพื่อนๆ ในห้อง หันมามองเรากันเป็นตาเดียว "โอโห...น้องจะไปอยู่ได้หรือครับ ตัวเล็กนิดเดียวเอง" "ได้ค่ะ พี่ ตัดสินใจแล้วค่ะ"
"เก่งจังเลย ขอให้น้องโชคดีนะครับ" "คนต่อไปครับ จะเลือกไปลงที่ไหนครับ"
พี่เค้าถามแบบนี้ จนครบทุกคน แล้วก็บอกว่าแต่ละคนจะต้องไปปฐมนิเทศก่อนเดินทางไปทำงานที่หน่วยงานตันสังกัดของตนเอง รวม 3 วัน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อนที่มาคุยกับเรา เค้าก็มาขอบคุณเรา
"ขอบคุณนะ ที่ไม่เลือกกรุงเทพฯ" "ไม่เป็นไรหรอก ต่างคนต่างก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ไม่มีใครผิดหวัง"ั
ในวันนั้น มีพวกเราที่ได้บรรจุเข้ารับราชการที่กสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยกันเกือบ 30 คน พี่จากกระทรวงมหาดไทยที่มารอรับพวกเราที่สำนักงาน ก.พ.บอกว่า พวกเราจะต้องไปปฐมนิเทศ ที่ศูนย์สื่อสาร วิสุทธิกษัตริย์ ก่อนไปรายงานตัว 3 วัน
"น้องๆ ครับ ไปศูนย์สื่อสาร วิสุทธิกษัตริย์ ถูกมั๊ยครับ " "ซอยเดียวกับโรงแรม... เวลาเดินเข้าไป ก็เดินตรงเข้าไปเลยนะครับ เพราะข้างๆ มันเป็นโรงแรมม่านรูด แล้วเจอกันครับ"
พี่เค้ายังพูดติดตลกอีกนะ...ฮากันครืนเลยทีเดียว
ออกจากสำนักงาน ก.พ.ด้วยหัวใจพองโต และอิ่มเอิบ ในที่สุด...ในที่สุด เราก็ได้รับราชการแล้ว เราต้องมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่นี้ให้ถึงที่สุด เราขอสัญญา...
สัปดาห์ต่อมาเราไปเข้ารับการปฐมนิเทศกับเพื่อนๆ ที่จะบรรจุเข้ารับราชการที่กระทรวงมหาดไทยพร้อมกัน ในวันที่ 24 กันยายน 2527 ซึ่งเลือกไปลงที่สำนักงานจังหวัดต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะบรรจุในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 3 ส่วนเราบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3 พวกเราได้รับความรู้เรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ สวัสดิการ ความก้าวหน้าในงานอาชีพ งานของสำนักงานจังหวัด ซึ่งจะมีอยู่ 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายแผนและโครงการ และฝ่ายบริหารงานทั่วไป นอกจากจังหวัดติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะมีฝ่ายกิจการพิเศษ หรือศูนย์รับผู้อพยพ
วันที่ 2 ของการอบรม เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้กัน เป็นผู้ชาย ซึ่งบรรจุที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชวนเราและเพื่อนอีกคนไปกินข้าวในวันรุ่งขึ้น ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป แต่พอวันสุดท้ายของการอบรม พี่จากกองการเจ้าหน้าที แจกหนังสือส่งตัวให้กับทุกคนพร้อมกับ สมุดประวัติราชการ (ก.พ.7) เราได้รับซองจดหมายราชการที่จ่าหน้า เรียน ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เรางงมาก จึงได้ยกมือถามพี่จากกองการเจ้าหน้าที่ ว่า เราเลือกลงศูนย์รับผู้อพยพอำเภอฟากท่า ทำไมส่งเราไปจังหวัดตาก
"อ้าว...นี่ไม่มีใครบอกน้องหรือว่า ศูนย์ฯมันยุบไปแล้ว" "ไม่มีค่ะ นี่ซื้อตั๋วรถทัวร์ไปอุตรดิตถ์เรียบร้อยแล้วด้วย"
เฮ้อ...เรารีบกลับบ้านแล้วไปเปลี่ยนตั๋วจากอุตรดิตถ์ไปลงสุโขทัย โดยมีพี่สะใภ้ไปเป็นเพื่อน เราต้องเดินทางคืนนี้เลย แม่กับพี่ใหญ่บอกว่า ก็ดีเหมือนกัน ไม่ไกลมาก พรุ่งนี้ พี่ใหญ่ที่ทำงานอยู่ลำปางจะลงมาเป็นเพื่อนอีกคน
คืนนั้น...วันพุธ เรากับพี่ตุ้ม นั่งรถทัวร์ไปสุโขทัย เรามีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว ของใช้จำเป็นอื่นๆ ค่อยไปซื้อเอาทีหลัง พอถึงสุโขทัย ก็ซื้อตั๋วต่อรถไปตาก ไปถึงศาลากลางจังหวัดตากตอนเช้า ศาลากลางจังหวัดตากสมัยเมื่อ 30 ปี ก่อน เป็นอาคาร 2 ชั้น เดินเข้าไปด้านใน ด้านซ้ายจะเป็นสำนักงานคลังจังหวัด ส่วนด้านขวาจะเป็นห้องรับ - ส่งหนังสือราชการ เราเอาหนังสือไปให้ที่งานสารบรรณ รับ - ส่ง มีสาวสวยน่ารักลงรับหนังสือให้ แล้วบอกให้ขึ้นไปที่ห้องสำนักงานจังหวัดตาก ซึ่งอยู่ชั้น 2 มีผู้ชายตัวสูงใหญ่ ยืนอยู่ข้างๆ เรา ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจอะไร แล้วก็รีบไปหาห้องน้ำเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบราชการสีกากีคอพับ แขนยาว เพื่อรายงานตัว
พอเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบข้าราชการเรียบร้อย ก็เดินขึ้นไปที่ห้องสำนักงานจังหวัด พอไปถึงหน้าห้อง เราเห็นพวกผู้ชายยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ พอเราเดินเข้าไป ทุกคนก็กระจัดกระจาย แยกย้ายกันไปทำงาน เราเองก็ยังงงๆ อยู่เลย
พี่ทวีศักดิ์...ซึ่งใคร ๆ ก็มักจะเรียกว่า ปู่ เป็นพ่อของนักดนตรีวงเฉลียง ชื่อภูษิต(แต๋ง) ไล้ทอง ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอก เพื่อน ๆ เล่าให้ฟัง เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป เป็นคนพาเราไปรายงานตัวกับหัวหน้าสำนักงานจังหวัดตาก แล้วหัวหน้าก็พาเราไปรายงานตัวกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด (กาจ รักษ์มณี) ท่านใจดี ตัวเล็กๆ ศรีษะล้านนิดหน่อย จากนั้นก็ไปรายงานตัวกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด เสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาที่ห้องสำนักงานจังหวัด ปู่ทวีศักดิ์ หาที่ให้เรานั่งด้านหน้าประตูทางเข้า ใกล้โต๊ะโรเนียว เพราะฉะนั้นใครมาโรเนียว เราก็จะเห็นทุกขั้นตอนจนเราจำได้ว่าทำอย่างไรบ้าง
สมัยก่อนไม่มีเครื่องถ่ายเอกสาร หากจะผลิตเอกสารครั้งละมาก ๆ ก็ต้องใช้วิธีการพิมพ์ลงกระดาษไข พอผู้ว่าฯลงนามแล้ว ซึ่งก็ต้องใช้ปากกาเขียนกระดาษไข เซนต์ให้ทะลุกระดาษไข เพราะฉะนั้นท่านผู้ว่า ฯ ก็คงจะต้องระมัดระวังในการเซนต์หนังสือเป็นพิเศษ เพราะถ้าเซนต์แรงลงน้ำหนักมากเกินไป กระดาษไขก็อาจจะขาดได้ พอเอาไปโรเนียวก็คงจะเลอะเทอะมิใช่น้อย เมื่อออกเลขส่ง พิมพ์วันที่ใส่ลงไป แล้วค่อยเอามาโรเนียวตามจำนวนที่ต้องการ เครื่องโรเนียวจะต้องใช้ไฟฟ้า เวลาจะโรเนียวก็ต้องตั้งเลขจำนวนที่ต้องการ เปิดสวิชต์ให้เครื่องโรเนียวทำงาน พอครบจำนวนที่ตั้งไว้เครื่องก็จะหยุดเอง แต่ส่วนใหญ่เจ้าเครื่องโรเนียวนี่ มักจะเจ้ง ใช้ไฟฟ้าไม่ได้ ก็ต้องใช้พลังงานมือหมุนเอา ถ้าจะเอาจำนวนมาก ๆ ก็ใช้พลังงานมือหมุนซะจนกล้ามแขนโตไปข้างหนึ่งเลย หรือบางครั้งอาจจะต้องเปลี่ยนคนหมุน...555
และเพราะเรานั่งใกล้เครื่องโรเนียว คนที่เรารู้จักและคุยด้วยก่อน ก็คือคนที่มาโรเนียวนั่นแหล่ะ บางทีก็มาจากหน่วยงานอื่นๆ ที่อยู่ภายในศาลากลางจังหวัด เพราะหน่วยงานของเค้าไม่มีเครื่องโรเนียว แถมโต๊ะทำงานของเราก็ยังดำและสกปรกไปด้วยหมึกโรเนียวอยู่เป็นประจำ บังเอิญว่า...เราเริ่มทำงานในช่วงเกือบสิ้นปีงบประมาณ ทำให้ทุกคนในห้องสำนักงานจังหวัดตากซึ่งกำลังยุ่ง ไม่ค่อยได้มาคุยกับเรามากนัก เราก็ได้แต่นั่งมองดูเค้าทำงานตาปริบๆ เพราะหัวหน้าก็ยังไม่ได้มอบให้ทำงานอะไรเลย ...
Create Date : 01 ตุลาคม 2558 |
|
5 comments |
Last Update : 19 มิถุนายน 2561 13:27:47 น. |
Counter : 841 Pageviews. |
|
|
|
มาอ่านเรื่องราวการเริ่มต้นเข้ารับราชการของพี่
ก็ไม่ค่อยต่างกับคนอื่นๆเหมือนกัน
จะต่างกันที่เวลา สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีนะคะ
สมัยก่อนยังไม่ค่อยเจริญ ก็จะเป็นแบบนึง
แต่ถ้ามาสมัยนี้ที่ถือว่าเจริญขึ้นมากแล้ว
อะไรๆก็สะดวกขึ้นหลายอย่าง
แต่วรรณ ชอบอะไรๆที่เป็นสมัยก่อนนะคะ
ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีครบเลย
โหด มันส์ ฮา จริงๆ