เล่าเรื่องเมืองตาก (1)
ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณค่ะหน่วยงานต่างๆ ก็จะยุ่งวุ่นวายกับการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายใน 30 กันยายน นอกจากบางโครงการที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณก็จะต้องขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี อีกอย่าง จขบ.อยู่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดฝึกอบรมข้าราชการ ซึ่งเมื่อใกล้สิ้นปีงบประมาณทีไรก็มักจะมีการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ก็จะต้องมีการประชุมเพื่อมอบนโยบายจากผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงก่อนไปปฎิบัติงานในพื้นที่
มาฟังจขบ.เล่าเรื่องชีวิตการทำงานในอดีต (เมื่อ 30 กว่าปีก่อน) กันต่อดีกว่าค่ะ
มาอยู่สำนักงานจังหวัดตากในช่วงแรกยังเป็นการช่วยราชการอยู่ โดยตำแหน่งที่แท้จริงอยู่ศูนย์รับผู้อพยพ อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ จนทำงานได้ครบ 6 เดือน ก็มีคำสั่งย้ายให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่ฝ่ายกิจการพิเศษสำนักงานจังหวัดตาก ซึ่งผลจากคำสั่งย้ายนี้ ทำให้ จขบ.สามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้เพราะไม่ใช่สถานที่ในการบรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก ซึ่งนอกจาก จขบ.แล้วยังมีเพื่อนๆ จากจังหวัดอื่นๆ ย้ายมาพร้อมกับ จขบ.อีก 5 คน ในจำนวนนี้ก็มีเจ้าต๋อง เพื่อนที่เจอคนแรกเมื่อวันมารายงานตัวด้วยค่ะ พวกเราทั้ง 6 คน มาทำงานในฝ่ายกิจการพิเศษซึ่งจะมีเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีพี่วิรุฬซึ่งย้ายมาจากสุโขทัย เป็นหัวหน้าฝ่าย จขบ.เป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เจ้าต๋อง เป็นนักการข่าว พี่รัชนี ภานุวัฒน์ ชูศักดิ์ จากหนองคายเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ
พอครบทีม 6 คนพี่วิรุฬ หนุ่มชาวจังหวัดเลย ไฟแรงมาก พาน้องๆ ออก สำรวจพื้นที่อำเภอต่างๆที่มีศูนย์แรกรับผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง สัญชาติ พม่า ซึ่งกระจัดกระจายตามแนวอำเภอชายแดนของจังหวัดตากมีทั้งหมด 10 ศูนย์ ศูนย์รับผู้อพยพฯ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า เป็นชนกลุ่มน้อยที่ต่อสู้กับทหารรัฐบาลพม่าโดยมีนายพลโบเมี๊ยะ เป็น ผู้นำชาวกะเหรี่ยง พอเข้าฤดูหนาวก็จะเริ่มมีการต่อสู้กันระหว่างทหาร รัฐบาลพม่ากับทหารกะเหรี่ยง ชาวบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากภัย สงครามก็จะพากันหอบลูกจูงหลานคนแก่คนเฒ่า ข้ามแม่น้ำเมยมาหลบ หนีภัยสงครามตามแนวชายแดนในฝั่งไทยแม้ทางการไทยจะผลักดัน ออกไป ก็จะกลับเข้ามาอีก เพราะแม่น้ำเมยที่เป็นที่กั้นพรมแดนแคบและ ตื้น สามารถข้ามไปมาได้ ก็วนเวียนอยู่เช่นนี้ จนในที่สุดก็มีองค์การการ กุศลจากประเทศต่างๆเข้ามาให้ความช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรม ก่อสร้างเป็นค่ายผู้ลี้ภัย แรกๆก็เป็นค่ายไม่ใหญ่นัก นานๆ เข้าผู้อพยพ เริ่มมากขึ้นบางศูนย์มีผู้อพยพเป็นหมื่นคนเลยทีเดียว แต่พอเข้าฤดูฝนผู้ อพยพบางส่วนก็จะข้ามกลับไปฝั่งพม่าเพื่อปลูกข้าวทำไร่ ทำนา ซึ่งช่วง นั้นจะไม่ค่อยมีการสู้รบเท่าไรนัก
จขบ.เคยเข้าไปดูทุกค่าย ยกเว้นที่อำเภออุ้มผางเพราะการเดินทางค่อนข้างลำบาก พี่วิรุฬให้ผู้ชายไป ส่วน จขบ.กับพี่รัชนีอยู่ประจำสำนักงาน พาหนะในการเดินทาง ส่วนใหญ่จะเป็นรถจี๊ปหรือกระบะโฟลวีลศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น คือศูนย์บ้านห้วยกะโหลก อ.แม่สอด และศูนย์บ้านแม่หละอ.ท่าสองยาง
ปัจจุบันศูนย์แรกรับผู้อพยพตามอำเภอต่างๆยุบไปกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ 3 แห่ง ได้แก่ 1) ศูนย์พักพิง ต.แม่หละอ.ท่าสองยาง 2) ศูนย์พักพิงบ้านอุ้มเปี้ยม ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ และ 3)ศูนย์พักพิงบ้านนุโพ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง โดยมีผู้ลี้ภัยรวมทั้งหมดกว่า 70,000 คน ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอชซีอาร์)
ทั้งนี้ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อประเทศไทยด้านสิ่งแวดล้อม มีปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าการเข้าไปทำไร่เลื่อนลอย ทำให้ทรัพยากรป่าไม้ลดลงสำหรับปัญหาด้านอาชญากรรมยังมีจำนวนน้อย
ทั้งนี้การดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ยูเอ็นเอชซีอาร์และองค์กรพัฒนาเอกชนส่วนกระทรวงมหาดไทยจะเข้าไปดูแลเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยของผู้ลี้ภัยอย่างไรก็ตาม ก็มีผลกระทบต่อความมั่นคงของไทย เช่น ผู้ลี้ภัยเข้าไปตัดไม้ทำลายป่าบุกรุกพื้นที่ ล่าสัตว์ป่า เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1364445389 28 มี.ค. 2556
บล็อกนี้ขอเล่าเท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าต่อค่ะ ขอบคุณ เพื่อนๆ ทุกคนที่แวะมาค่ะ
Create Date : 15 กันยายน 2560 |
|
15 comments |
Last Update : 19 มิถุนายน 2561 13:29:03 น. |
Counter : 1316 Pageviews. |
|
|
|