โชคดีที่อายุ 40
โชคดีที่อายุ 40 ไม่น่าเชื่อ นี่ครูแป๋วเขียนไดอารี่ส่งเป็นการบ้านให้ป้ามีมี่มาเป็นฉบับที่ 5 แล้วหรือนี่ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ทำอะไรปุ๊บๆอ้าวมืดแล้ว ต้องกลับบ้าน ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องตื่นมาทำงาน อยากให้วันนึงมี 30 ชั่วโมงจังเลย อืมมม พูดอย่างนี้ทีไรเพื่อนก็จะบอกว่า มันเป็นข้ออ้างของคนที่แบ่งเวลาไม่เป็น
ครูแป๋วไม่เชื่อหรอกค่ะ ครูแป๋วแบ่งเป็น และยังขอยืนยันว่าวันนึงควรมี 30 ชั่วโมง! เพื่อนคนเดิมขัดขึ้นมาเรียบๆว่า งานอาจจะเสร็จเรียบร้อยสมใจเธอ แต่เธอจะหมดแรงและตายเร็วกว่าเดิม ธรรมชาติกำหนดให้เราทำงานและพักเป็น loop ทุก 24 ชั่วโมง ระบบนี้เหมาะสมกับสภาพร่างกายมนุษย์แล้ว
เล่นเอาธรรมชาติมาอ้าง (โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง) เราเลยเถียงไม่ออกเลย ... เกริ่นนำเรื่องเวลาไปยืดยาว เรื่องของเรื่อง ครูแป๋วจะอวดว่าตอนนี้อายุครบ 40 ขวบแล้วนะคะ ความรู้สึกมันเหวงๆ พยายามปรับตัวว่าเราน่ะเลข 4 นำหน้าแล้วนะ ใจมันยังหลอนๆว่าเร็วไปมั๊ย รู้สึกเสียดายชีวิตเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ว่าเหลืออีกไม่นานแล้ว นี่เราใช้ไปเกินครึ่งแล้วนะ ชาติหน้าสมมติไปเกิดเป็นหมีแพนด้า ต้องกินแต่ไผ่ทั้งชาติ ไม่อยากเลยค่ะ อยากเกิดเป็นคนอีก ออกแนวหดหู่เล็กน้อย ... วันเกิดปีนี้น้องสาวให้ของขวัญด้วยการพาไปฉลองและพักผ่อนกันที่เกาะสมุย สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของไทยซึ่งครูแป๋ว แม่ และน้องเขย ยังไม่เคยไปมาก่อนเลย เราขึ้นเครื่องจากกรุงเทพฯแต่เช้า ไปถึงก็ขับรถเช่าวนรอบเกาะเพื่อทำความคุ้นเคย ทานข้าวกลางวันที่ตลาดหน้าทอน โอว แกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อน แซ่บมากค่ะ ยังติดใจไม่ลืม ... จากนั้นก็เข้าเช็คอินที่รีสอร์ทตรงหาดตลิ่งงาม น้องสาวจองบังกะโลติดชายหาดไว้ มีศาลาและสระน้ำหน้าบ้านเป็นส่วนตัวดีค่ะ เคยบอกน้องไว้ว่าขอเป็นแบบทันสมัยนะ แบบเรือนไทย(ที่ฝรั่งชอบ)นี่ไม่เอา มันน่ากลัว ... ตกบ่ายแม่ออกไปนอนอ่านหนังสือพิมพ์ที่ศาลา
ครูแป๋วดูทีวีแล้วก็เผลอหลับไป ตื่นอีกทีเพราะน้องสาวโทรปลุกไปเที่ยวข้างนอก งงค่ะก่อนนอนกดช่อง 9 ไว้ ทำไมตื่นมามันกลายเป็นช่อง 3 ... มองออกไปที่ศาลาแม่ก็ยังนอนแผ่อยู่ตรงนั้น ใจชักเริ่มกลัว เดี๋ยวต้องไหว้เจ้าที่เป็นเรื่องเป็นราวซะหน่อยเพื่อความสบายใจ เราประเดิมแวะที่หินตาหินยายค่ะ ขำกันมาตลอดทาง เพราะครูแป๋วปล่อยมุกว่า เป็นความฝันตั้งแต่ยังเด็กว่าซักวันนึงจะต้องมาถ่ายรูปคู่หินตาให้ได้ น้องสาวต่อว่า มาครั้งที่แล้วก็หันหลังโยนเหรียญกลับไปเพื่อจะได้มาอีก ประทับใจมาก แม่เลยสรุปให้ว่า เอ ไว้เราแต่งงานก็จัดมันที่หินตาหินยายเลยซิ น้องเขยได้แต่ส่ายหัว ... อย่าได้เข้าใจผิดว่าครอบครัวเราปลื้มกับหินรูปร่างประหลาดนี่นะคะ เราถกกันว่าเมืองไทยนี่หมกมุ่นมาก มองอะไรก็จินตนาการเป็นอย่างว่าไปซะหมด แถมโปรโมตเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปคู่อีกแน่ะ ... ทำเป็นบ่น ทำเป็นดูถูกเค้า ว่าแล้วเราก็ตาขยิบลงไปถ่ายรูปคู่กับหินตาตามประเพณีที่นักท่องเที่ยวอื่นๆเค้าทำกัน ...
ถ่ายกับหินตาเสร็จพี่น้องก็สงสัยขึ้นมาพร้อมกันว่า หินยายล่ะอยู่ไหน ผู้ชายคนนึงได้ยินเราคุยกันค่ะ ใจดีบอกทางว่า ต้องเดินลงไปอีกครับ แล้วมองจากข้างล่างขึ้นมา .... เราเดินลงล่างตามคำแนะนำ แต่ก็หาไม่เจออยู่ดี ตอนนั้นพยายามมองอะไรให้เป็น ของยาย ไปหมดเลยค่ะ ใช้จินตนาการกันสุดความสามารถ เถียงกันไปมาจนในที่สุดชายคนเดิมก็ต้องมาชี้ให้ดูหินยายที่ถูกต้อง แถมเกร็ดเล็กๆว่า ตอนนี้แสงไม่สวย ถ้ามาช่วงเช้าแสงจะตกกระทบหินสีออกเป็นชมพูๆ สวยมากครับ เค้าอธิบายด้วยเจตนาดีค่ะแต่คนฟังทำหน้าไม่ถูก บอกขอบคุณแล้วก็เดินกลับขึ้นไปหาแม่ที่รออยู่ ... กาละแมแถวนั้นอร่อยมากค่ะ ซื้อกลับมาเยอะเลย กินข้าวเย็นเสร็จกลับมาก็มืดตึ๊ดตื๋อ แม่เริ่มกระย่องกระแย่งเพราะวันนี้เดินเยอะ น้องสาวกับน้องเขยต้องคอยประคอง บอกให้ครูแป๋วเดินนำหน้าไปเปิดบังกะโลไว้ก่อน ... ตอนเดินไม่คิดอะไร แต่ตอนไขกุญแจนี่เริ่มกลัว ใจคิดว่า มืดจังวุ๊ยต้องรีบเปิดไฟโดยเร็ว พอเปิดประตูได้ก็นะ กลัวๆ กำลังหันตัวกลับไปหาสวิสต์ เจอแสงเทียนไหวๆกับเงาหน้าคน ครูแป๋วร้องกรี๊ดดดลั่นรีสอร์ทเลยค่ะ ขณะที่ร้องกรี๊ดเงาคนทั้งหลายก็ร้องเพลง แฮ่ปปี่เบิ๊ร์ดเดย์ทู๊ยู ถึงตั้งสติได้ บอกขอโทษแล้วก็เป่าเทียนแต่โดยดี ... เป็นไอเดียของน้องสาวน้องเขยที่ให้พนักงานรีสอร์ทมาเซอร์ไพรส์วันเกิดค่ะ แม่ไม่รู้เรื่องพอได้ยินเสียงครูแป๋วก็รีบบอกให้น้องเขยวิ่งมาดู ขำกันใหญ่ บอกว่าครูแป๋วร้องลั่นจนคาราโอเกะข้างๆเงียบไปเลยด้วยความตกใจ ... พนักงานบอกว่าเป็นเค๊กมีชื่อของเกาะนี้ กินแล้วอร่อยค่ะ มีมะพร้าวอ่อนโรยหน้าด้วย
วันรุ่งขึ้นเราไปดูโชว์ลิงที่ monkey theater ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกลิงดั้งเดิมของเกาะสมุย จำเจ้าไข่นุ๊ยได้มั๊ยคะ ตอนนี้ก็มีเจ้าไข่เล็กที่ออกทีวีบ่อยๆ ... ที่นี่มีลิงเยอะเลย แต่แปลกใจมากว่าไม่มีคนมาดูเลยค่ะ เชื่อหรือไม่ ทั้งโชว์มีคนดูแค่ 4 คนคือพวกเรานี่แหละ เดาเอาว่า ช่วงหลังเกิดมีซาฟารีที่สมุย คนเลยไปซาฟารีกันหมด ที่นั่นมีทั้งโชว์ช้าง โชว์ลิง โชว์นก ฯลฯ ... น่าสงสารที่นี่นะคะ ดูลิงที่นี่หิว เหมือนไม่ค่อยมีข้าวกิน ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า ...
หลังจากนั้นเราก็กลับรีสอร์ทไม่ไปเที่ยวไหนต่ออีกเลย เพราะมากับผู้ใหญ่จะสมบุกสมบันมากไม่ได้ แถมรีสอร์ทก็แพงเราควรใช้บริการให้คุ้มหน่อย ครูแป๋วเล่นน้ำมีความสุขมาก น้องเขยเรียกหมอมานวดน้ำมันที่ริมทะเล แม่จองศาลาหน้าบ้านนอนรับลมทะเล น้องสาวนี่น่าสงสารนั่งเปิดเนตทำงาน เพราะพอเรากลับถึงกรุงเทพฯค่ำวันอาทิตย์ คืนนั้นน้องก็ต้องบินไปเจรจาเรื่องน้ำมันต่อที่ต่างประเทศเลย .... ระหว่างทางมาที่สนามบินสมุย เราแวะทานอาหารที่ร้านชื่อดังอันดับหนึ่งของเกาะ บางปอซีฟู๊ด ใครๆเรียกเจ้าของร้านว่าตาโข ตาโขใจดีชวนคุยนู่นนี่ มีคนมาขอถ่ายรูปด้วยเป็นระยะ อาหารอร่อยแบบพื้นบ้านแท้ ... ขากลับเมฆเยอะมาก มองจากหน้าต่างสวยดีเหมือนทะเลหมอก ทอดเป็นผืนผ้าห่มมองไปลับตาเลยค่ะ สรุปว่าเป็นทริปที่ได้พักผ่อนจริงๆ หลังจากทำงานมาทั้งปี
ก่อนจากกันไป มาทวนเรื่องเกราะกันกระสุนกันนิดนึงดีมั๊ยคะ ... เคยเล่าไปว่าโครงการนี้มีนักวิจัยรับผิดชอบกันคนละส่วน ส่วนของครูแป๋วที่ต้องดูแลคือ เกราะใส ... คำว่าเกราะใสนี่อาจใช้คำว่ากระจกกันกระสุนก็ได้ค่ะ โดยคำว่า กระจก ไม่จำเป็นต้องหมายถึง แก้ว แต่อาจทำจากวัสดุอื่นที่ใสและมีรูปร่างเป็นแผ่นก็ได้ ... คราวนี้อาจมีคนไปสับสนกับคำว่า กระจกนิรภัย (safety glass) จริงๆแล้วกระจกกันกระสุนเป็นกระจกนิรภัยรูปแบบหนึ่ง ... กระจกนิรภัยแบ่งเป็น 2 แบบหลักๆ ... หนึ่ง กระจกลามิเนท (laminated glass) คือการเอาแผ่นกระจกมาวางซ้อนกับแผ่นพอลิเมอร์สลับกันหลายๆชั้น พอมีใครมาทุบกระจกลามิเนท มันจะเกิดรอยแตกแบบใยแมงมุม ไม่มีสะเก็ดกระจกมาบาดเรา ที่เห็นกันทุกวันก็กระจกหน้ารถยนต์ไงคะ ... สอง กระจกเทมเปอร์ (tempered glass) กระจกชนิดนี้ผ่านกระบวนการให้ความร้อนเป็นกรณีพิเศษ ทำให้ที่ผิวมีสภาวะแรงกด ส่วนเนื้อข้างในมีสภาวะของแรงดึง พอมีคนมาทุบกระจกเทมเปอร์ มันจะแตกแบบกระจายค่ะ เพราะมันมีกด-ดึงอยู่ในวัสดุ แต่เศษกระจกที่แตกออกมาจะเป็นเม็ดกลมๆ ไม่มีเหลี่ยมคมมาบาดเรา กระจกอย่างนี้ก็เช่นกระจกตามตู้โทรศัพท์สาธารณะนั่นเอง ... คราวนี้กระจกกันกระสุนแรงๆทำยังไง อธิบายง่ายๆก็คือ การเอากระจกเทมเปอร์มาลามิเนทกันหลายๆชั้นค่ะ ... พูดไปแล้วดูง่ายจัง มันไม่ง่ายตรงที่ว่าจะลามิเนทยังไงไม่ให้เกิดฟองอากาศระหว่างชั้น โดยเฉพาะเวลาที่ทำแผ่นใหญ่ๆ ... และที่ยากที่สุดก็คือ จะใช้อะไรเป็นกระจกแทน แก้ว กันดี อะไรเอ่ยที่แข็งพอที่จะบี้หัวกระสุนอาก้าได้ และก็ใสแจ๋วให้ทหารมองเห็นฝ่ายตรงข้ามได้ ตรงนี้แหละค่ะที่มันยาก ... พอหอมปากหอมคอนะคะ ไว้มาคุยกันใหม่อีก 2 สัปดาห์ถัดไปค่ะ
Free TextEditor
Create Date : 01 พฤศจิกายน 2552 |
|
10 comments |
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2552 8:31:28 น. |
Counter : 1515 Pageviews. |
|
|
|