ตายแล้วไปไหน ( อย่าลืมทำความดี เวลาที่มีชีวิต )
พอดี kanyong1 อ่านเจอจากอินเตอร์เน็ต เลยเอามาฝากคะ
หนังสือตายแล้วไปไหน คนที่ตายประมาณ1-2 วัน ปกติแล้วจะไม่รู้ว่าตาย เมื่อครบ 7วันจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว โดยที่ผู้ตายไม่สามารถนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปด้วยได้เลยเว้นเสียแต่บาปบุญ ความดี ความชั่ว เท่านั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่างจะยังไม่ไปไหนจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วัน เพื่อรอพิจารณาคดี โดยจะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังปรโลกหรือยมโลก คือโลกหน้าหรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์เป็นสถานที่อยู่หลังความตาย เป็นที่สากลไปอยู่ได้ทุกเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใด ก็ได้ ณ สถานที่นี้จะมีการตรวจสอบ บาป บุญ ความดี ความชั่วในขณะที่มีชีวิตอยู่ โดยวิญญาณที่บาป จะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมาณอีก 800ด่านแต่ละด่านมีเครื่องทรมาน นับไม่ถ้วนวิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะผู้ที่ทำกรรมชั่วมหันต์หรือเรียกว่า"อนันตริยกรรม" ซึ่งมีอยู่5 อย่างคือ 1.ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าแม่ 3.ฆ่าพระอรหันต์ 4.ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5.ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลือด เรามาดูเหตุการณ์49 วัน หลังความตาย เจ็ด วันรอบแรกวิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่าที่ดุร้ายเหมือนเสือขวางทางอยู่ เมื่อวิญญาณบาปผ่านมาถึง ฝูงหมาป่าเห็นก็จะกระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัวกรีดร้อน โหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดีจะมีหมู่เทวะทูตคอยพิทักษ์คุ้มครองพวกหมาป่าจึง นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไร วิญญาณจึงผ่านฝูงหมาป่าไปได้ด้วยดี
เจ็ดวันรอบที่ ที่สอง วิญญาณจะผ่านมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่านเมื่อเห็นวิญญาณบาปก็จะทุบตีอย่างไม่ปราณีและยังมี พวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้ ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดีจะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดย ปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่สามเมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปจะถูกตีโซ่ตรวนไว้และถูกบังคับนำไปอยู่หน้าหอกระจกส่องกรรม เพื่อให้เห็นว่ายามมีชีวิตได้ทำชั่วอะไรไว้บ้างโดยภาพความชั่วต่างๆจะปราก ฎให้เห็น หลังจากนั้นจะนำไปพิจารณาโทษ ส่วนวิญญาณผู้ประกอมกรรมดีจะได้รับการต้อนรับและมีเจ้าหน้าที่พาไปท่อง เที่ยวขุมนรกต่างๆ พาไปดูสภาพของญาติพี่น้องที่ทำบาป กำลังรอการตัดสินความผิด
เจ็ดวันรอบที่สี่มาถึงด่านภูเขากระดาษเงิน กระดาษทอง ที่ญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ทับถมเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์ และการที่ผู้ตายจะขึ้นเพื่อผ่านภูเขาลูกนี้ไปก็ยากลำบากมาก
เจ็ดวันรอบ ที่ห้า วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเมืองเดิม ได้เห็นลูกหลานคนในครอบครัวต่างก็ไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตาย ของตน ซึ่งถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีกแล้วได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์
เจ็ดวันรอบที่หก วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญ ที่ผู้ตายได้สร้างสมไว้ตอนมีชีวิตหลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ แต่ถ้ามีบาปมากกว่าบุญก็จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา
เจ็ด วันรอบที่เจ็ด วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาฯให้ตรวจสอบดูว่าผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือไม่ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว แต่ถ้าผู้ตายได้ถือศิลกินเจละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จะลหุโทษให้ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้วสภาพการตายจะพอบ่งบอกให้รู้ว่าวิญญาณนั้นไปสู่สุคติหรือลงนรกภูมิ ดังนี้ - ตอนตายใหม่ๆถ้าหาก สีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่มเหมือนคนมีชีวิตอยู่เนื่องจากบรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ แต่ถ้าหน้าน่าซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว - ตอนตายใหม่ๆร่างกายแข็งทื่อหน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 เท้า - สังเกตุจากตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆคนเหล่านี้เวลาใก้ลตาย ดวงตาจะเบิกกว้างจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก - หูชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หู จะชันขึ้นและจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่ออกจากครรภ์(สัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว) - จมูกชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงิน ทอง สุรา นารี การพนัน ลาภยศและค่านิยมที่ผิดศีลธรรมฯลฯจะไปเกิดเป็นแมลงต่างๆ แต่ถ้าบาปหนักมากๆวิญญาณจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเศษวิญญาณซึ่งจะไม่ได้ไปผุดไป เกิด - ปากชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอดและจะไปเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิต อยู่นั้นก็ให้สะสมบุญ สะสมความดี กันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลกตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฎแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
************************************************************
อย่าลืมทำความดี เวลาที่มีชีวิต
หลายท่านคงเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่าอย่าทำความชั่วเดี๋ยวตายไปตกนรก ให้ทำความดีมาก ๆ ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ นรกสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครรู้เพราะคนที่ตายไปก็ไม่ได้กลับมาบอกเรา เห็นแต่ภาพวาดหรือเห็นในภาพยนตร์ที่ผู้สร้างสรรค์สร้างตามจินตนาการของตน แต่ในทางพุทธศาสนาบอกว่าเรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้แต่ต้องปฏิบัติเอง รู้เอง เห็นเอง แต่ส่วนใหญ่เราก็ยังไม่สามารถปฏิบัติไปถึงขั้นนั้นอยู่ดีกล่าวถึงตรงนี้วิธีการที่จะทราบได้คือต้องปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นที่มีความสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ก็ถึงเวลาไปจริง ๆ แต่เมื่อถึงเวลานั้นเราก็ไม่สามารถกลับมาบอกคนอื่นได้ หรืออีกกรณีบางคนอาจหลงเข้าไปด้วยความผิดพลาดบางประการผมเองไม่แน่ใจว่าจัดในกลุ่มสุดท้ายหรือไม่แต่ก็อยากนำประสบการณ์ตรงนี้มาบอกกล่าวแก่ผู้สนใจเพื่อจะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตจนเกินไป เมื่อประมาณ 4ปีก่อน ช่วงนั้นผมต้องเลี้ยงลูกที่กำลังเล็กคนโตอายุประมาณ 3ขวบ คนเล็กอายุได้ 7-8 เดือนจากความคิดที่ว่าลูกเรา ๆ ต้องเลี้ยงเอง จะได้รู้ว่าพ่อแม่เลี้ยงเราลำบากแค่ไหนซึ่งก็ลำบากมากจริง ๆ เพราะผมกับภรรยาต้องทำงานทั้งคู่และต้องเลี้ยงลูกเอง แต่ก็ยังดีที่ได้น้องสาวมาช่วยดูและลูกคนเล็กเป็นเด็กที่ร้องให้นานมาก ๆ ก็ว่าได้ เวลาร้องให้จะปลอบโยนหลอกล่อก็ไม่เป็นผล ร้องแต่ละครั้งจะร้องเสียงดังนานประมาณครึ่งชั่วโมงขึ้นไป เรียกว่าร้องจนตนเองพอใจจึงจะหยุดร้องหรือไม่ก็เหนื่อยเพราะหมดแรงร้องแล้วก็หลับต่ออย่างไม่สนใจใยดีคนเลี้ยงบางครั้งก็ทำให้ผมหงุดหงิดโมโหบ่อย ๆ แต่ก็แปลกดีพอโตมาอารมณ์ดีมากร้องเพลงตลอดเป็นเด็กน่ารักผิดกับตอนเล็กๆ กลับมาเรื่องของผมตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมากเพราะต้องทำงานประจำด้วยต้องไปสอนหนังสือ และดูแลลูกซึ่งนอกจากร้องให้นานแล้ว ก็ยังปัสสาวะบ่อยมากเรียกว่าเปลี่ยนผ้าอ้อมทุก10-20 นาที บางครั้งเหนื่อยจนบางทีไกวเปลให้ลูกแต่ตนเองหลับไปก่อนก็มีและเนื่องจากที่เราเหนื่อยมาก ๆ นี่เอง ทำให้ผมมีประสบการณ์แปลก ๆ มาเล่าให้ท่านฟังคือในช่วงที่ผมเหนื่อยมาก ๆ และไกวเปลให้ลูกนอนผมก็หลับไปตอนไหนไม่รู้แล้วก็ฝันแปลกๆ อย่างไม่เคยฝันอย่างนี้มาก่อน ผมฝันว่าได้พบและคุยกับพ่อที่ข้างทางเหนือหมู่บ้านตอนนั้นพ่อก็ยังไม่เสียชีวิตครับ พ่อก็ถามว่าจะมาปลูกบ้านอยู่เมื่อไหร่ ช่วงนั้นผมกับภรรยาซื้อที่เปล่าไว้แปลงหนึ่ง ผมก็ตอบว่ายังไม่ปลูกหรอกเพราะถนนไปถึงแล้วแต่น้ำกับไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงรอให้น้ำไฟเข้าถึงก่อนจะมาปลูกอยู่แต่ก็น่าแปลกเพราะเส้นทางที่เข้าที่ ๆ ซื้อไว้ติดกับป่าช้าบ้านเกิดผมเองจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงทางแยกจะเข้าบ้านก็พบว่ามีทางลูกรังที่ทำใหม่ๆ ผมก็เลยชวนพ่อว่าเส้นทางนี้ใครมาทำไปที่ไหนเราลองขี่รถไปดู จากนั้นผมกับพ่อก็ขี่จักรยานคนละคันขี่ตามทางขึ้นไปเรื่อย ๆ ทางเส้นนั้นดูเหมืนมันสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อมองลงมาข้างทางก็เห็นภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ข้างล่างเป็นภูเขาเล็ก ๆ ในใจผมก็เริ่มกลัวว่าเรามาสูงขนาดนี้แล้วจะกลับลงไปยังไงเนื่องจากทางชันมากเบรกรถก็คงเบรกไม่อยู่ต้องเกิดอันตรายอย่างแน่นอนเพราะทางทั้งสูงทั้งชัน พ่อเริ่มถีบรถขึ้นไปก่อนผมทางเริ่มชันมากความลาดประมาณเกือบเก้าสิบองศา ผมไม่สามารถที่จะปั่นจักยานขึ้นไปได้ต้องจับต้นไม้ข้างทางแล้วกระโดดเกาะต้นไม้ขึ้นไป ต่อ ๆ กันทีละต้นอย่างลำบากมองลงไปข้างทางเห็นยอดภูเขาเล็กๆ อยู่ข้างล่าง คิดว่าเรามาสูงเกินไปแล้ว ส่วนพ่อก็ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทำให้ผมคิดว่าตอนนี้เรามาอยู่ที่ไหนทำไมสูงขนาดนี้หรือว่าเป็นสวรรค์หรือว่าเราตายแล้ว แต่ทำไมถึงมากับพ่อ เพราะเห็นพ่อก็ไม่ได้ทำบุญอะไรมากมายนี่นาแล้วทำไมขึ้นมาได้ ผมขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงเนินข้างบนเห็นรถตู้สีขาวจอดอยู่ไกล ๆ 1คัน พอไปถึงที่นั่น เห็นคนยืนอยู่ก่อน 2-3 คน คนเหล่านั้นยืนยิ้มให้คล้ายว่ายินดีที่เจอเพื่อนใหม่แต่ผมก็ไม่ได้พูดทักทายอะไร พอไปถึงที่เนินนั้นก็พบบรรยากาศแปลก ๆ บริเวณนั้นทั้งหมดสงบไม่มีลมพัด ไม่ร้อน ไม่มีแสงแดดแต่มีความสว่าง พื้นดินพื้นก็อ่อนๆ นุ่มๆ ต้นไม้บรรยากาศทั้งหมดสีขาวออกเทาเหมือนสีขี้เถ้าไม่เห็นมีปราสาทงดงามอะไร ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกห่วงใคร ๆ ในใจก็คิดว่าหรือเราตายแล้วแต่ถ้าตายแล้วเป็นอย่างนี้ก็ดีนะสิ ผมเดินมาสักระยะจากนั้นเห็นสะพานโค้งเล็กๆ สีขาวเทา ผมก็เดินข้ามไปผ่านเพิงเล็ก ๆ ข้างนอกเพิงเหมือนมีผ้าพาดอยู่เรียงราย แต่ไม่เห็นคนอยู่ได้ยินเสียงบอกว่าเดี๋ยวจะมีพระมาเทศน์ที่ลานเล็ก ๆ ในช่วงที่รอพระมาเทศน์ ก็เห็นน้องสาวเรียกผมว่าเป็นอะไรนอนหลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวสามวันสามคืนปัสสาวะราดใส่กางเกงหมดแล้ว จากนั้นผมก็สะดุ้งตื่นเนื่องจากลูกคนเล็กที่หลับอยู่ในเปลร้องเสียงดังผมตื่นมาแล้วก็เล่าความฝันแปลก ๆ ให้น้องสาวฟังแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่สิ่งที่น่าแปลกและน่าขนลุกคือช่วงค่ำที่ดูข่าวตอนเย็นก็มีข่าวไม่สงบทางภาคไต้ มีคนถูกยิงและเสียชีวิต ชื่อนายชำนาญ หนูชูแก้ว(ต้องขออภัยผู้เสียชีวิตมาณ.ที่นี้ผมนำชื่อมาอ้าง) ซึ่งก็ไปพ้องกับชื่อของผม อายุก็ไล่เลี่ยกัน หรือว่าเกิดการผิดพลาดอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องฝันไปในดินแดนที่แปลกประหลาดอย่างไม่เคยฝันมาก่อน แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งเตือนใจใช่ไหมครับว่าให้รีบทำคุณงามความดี เพราะไม่ใช่แต่ให้เราสุขในปัจจุบันเท่านั้นแต่อาจจะติดตัวเราไปเมื่อถึงเวลากำหนดของเราจริง ๆ ซึ่งตอนนั้นก็คงไม่สามารถมาเล่าให้ท่านฟังได้อย่างแน่นอน ขอบคุณ / บันทึกจาก GotoKnow โดย ชำนาญ เขื่อนแก้ว
Create Date : 16 กันยายน 2556 |
Last Update : 16 กันยายน 2556 10:30:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2320 Pageviews. |
|
|