จู่ๆ จะมาบอกว่าเฟิร์นเป็นอย่างนั้น เฟิร์นเป็นอย่างนี้มันใช่เรื่องไหมน่ะหา? ทีแรกก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอกนะ แต่พอแม่บอก “เออ...เพื่อนมันก็พูดถูกนะ” เท่านั้นล่ะ เงิบไปตามระเบียบเลยทีเดียวนี่แม่เข้าข้างเพื่อนลูกแต่ไม่เข้าข้างลูกสาวตัวเองสินะ... ฮือ...

ที่มาน่ะเหรอ... จากการบอกเล่าของเพื่อนๆ (เผา)บอกว่านึกอยากทำอะไรก็ทำ อยู่ในคาบดีๆ หน้าตาก็ตั้งใจเรียนหรอกนะ แต่มือมันยิกๆนึกว่าจดงานอยู่ แต่เปล่าเลย... นั่งวาดรูปเล่นต่างหาก แรกๆ เริ่มต้นจากการใช้ดินสอกดที่จดงาน หลังๆพัฒนาสกิลเอาปากกาสีที่ใช้เขียนโน้ตเวลาสอบมาวาดเล่น อีกหน่อยคงได้เอาสีน้ำไปนั่งระบายเล่นกันในห้องเรียนบ้างนั่นล่ะ(ทำก็เยอะไปละ)

ไอ้เรานั้นหรือก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนอาจารย์และเพื่อนโหวตให้เราว่าเป็น Active Listener คือผู้ที่มีความสามารถในการฟังแล้วสรุปประเด็น จับใจความ รวมถึงตอบคำถามหรือโต้ตอบโดยการถามคำถามได้แม่นยำที่สุด... หารู้ไม่ ไอ้ข้อเสียของการเป็น Active Listener เรามีเยอะทีเดียว ดีไม่ดีจะครบด้วยซ้ำไป ข้อแรกเลย... Fake Attention ก็แหมบางทีตาจะปิดอยู่รอมร่อเพราะฉะนั้นยุทธการอะไรมีมาก็ต้องใช้ให้หมด หน้าตาแลจะสนใจอยู่หรอกนะ แต่จริงๆหลับในไปตั้งแต่ต้นคาบแล้วต่างหาก... เอวัง ต่อมาต้องนี่เลย The Filter ฟังเฉพาะเรื่องที่อยากจะฟังเท่านั้นล่ะอะไรที่เรียนมาแล้วซ้ำๆ ยอมรับจากใจเลยว่าฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ตามใจฉันสุดๆถ้าถามทำไมตอบคำถามได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันจำได้ นึกขึ้นมาเองเฉยๆจะให้ตอบอย่างไรล่ะคะ?

ต่อมา เรื่องนี้จัดหนักหน่อย การแอบหลับแบบไม่แอบในห้องเรียน...อันนี้รู้เห็นเป็นใจโดยอาจารย์ผู้สอน ซึ่งแรกๆ แกก็บ่นอยู่หรอกนะแต่เฟิร์นจะหลับก็ต่อเมื่อทำงานเสร็จแล้วอาจารย์เงียบไม่สอน เราก็เลยหลับน่ะสิเขาก็อนุญาตนะ เพียงแต่เพื่อนบอกว่าไม่เคยมีใครกล้าทำเท่านั้นล่ะ แหม...ก็คนมันง่วงนี่นา ผิดตรงไหน งานก็ทำเสร็จนะเสร็จแล้วถึงนอนรอพวกเพื่อนที่เหลือไงล่ะ เขาเรียกว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์หรอกใช่ไหม?

เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวไหม?แต่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้ามองภายนอกจะดูเป็นคนหยิ่งๆ แต่ถ้ารู้จักกันจริงๆจะรู้ได้เลยว่าไม่ได้มีอะไร เพียงแค่นึกอยากจะเงียบก็เงียบกริบชนิดว่าไม่พูดกับใครเลยทั้งวันก็ได้ ส่วนใหญ่อาการเงียบจะเกิดจากการนอนไม่พอ ป่วย กำลังหงุดหงิด หรือกำลังคิดอะไรในหัวอยู่ โดยส่วนมากจะลงเอยตรงที่คำว่าไม่อยากทำให้ใครลำบากใจเพราะเรากลัวว่าถ้าพูดไปจะหลายเป็นเรื่องใหญ่โต ด้วยความที่เป็นคนตรงเกินเหตุ(เพื่อนเขาว่ามา) พูดอะไรแทงใจดำชาวบ้าน (แค่เตือนเฉยๆ)จะว่าไปการนั่งเงียบแล้วมองมันได้อะไรหลายๆ อย่างนะข้อแรกคือการสังเกตผู้คนรอบตัวว่าเขาเหล่านั้นมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ต่างๆแตกต่างกันออกไปอย่างไรบ้าง รวมถึงวิธีการแสดงออกสีหน้า ท่าทาง จนสามารถรับรู้หรือคาดการณ์ได้เกือบจะแม่นยำว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นทำนองนั้น หรือถ้าเรารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบอะไรก็อย่าไปทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้าเราขึ้นมาซะเฉยๆก็พอ และถ้าเกิดเหตุจำเป็น หรือฉุกเฉินชนิดที่ว่าอีกฝ่ายหาเรื่องเราจนสุดจะทนก็เอาข้อมูลนั้นล่ะแฉ (ประจาน หรือเรียกว่าตอกกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ)ให้ได้เกิดความเท่าเทียมกันซักนิดซักหน่อย อย่าไปยอมมากจะได้ใจ ข้อควรระวังคือ ระวังว่าอีกฝ่ายจะไม่จบเพราะดันแค้นใจจัดเอาจุดอ่อนเขาไปบอกคนอื่นซะหมด...

อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำบังคับไปก็ไม่ทำโดยเฉพาะงานนี่ล่ะตัวดีเลย ไม่ทำคือไม่ นึกมีอารมณ์ก็แป๊บเดียวเสร็จ ไม่ได้ทำลวกๆแต่ก็ไม่ได้ตามมาตรฐานอะไรขนาดว่าผิดไม่ได้เลยหรอกนะ ก็ทำแล้วก็ทำให้มันดีหน่อยอย่าสักแต่ว่าสุกเอาเผากิน ใครเห็นจะว่าได้ว่าเราทำงานไม่เป็น

ร้องเพลงตามใจฉันสุดๆ... ก็แล้วทำไมล่ะ? อยากเปลี่ยนทำนองอยากยืดจังหวะ จะเปลี่ยนโน้ตเปลี่ยนวิธีการร้องให้เป็นแนวของตัวเองนี่มันผิดมากนักหรืออย่างไร?ก็แค่อยากร้องเพลงเล่น ไม่ชอบก็อุดหูไปซะสิ จะว่าไปก็ร้องพึมพำ ไปเรื่อยๆไม่ได้ทำร้ายประสาทการฟังใครซักหน่อยนา... (หรือทำนะ?)

เข้าใจยาก... อ่านะแล้วต้องบอกไหมว่าขนาดคนที่บ้านยังไม่เข้าใจข้าพเจ้าเลยถ้าไม่อธิบายเขาก็จะสงสัยกันอยู่แบบนั้นสุดท้ายก็ต้องไปนั่งสาธยายทีละจุดให้ชัดเจนหมดคำถามคาใจกันไปทีละข้อ ส่วนคนอื่นที่สงสัยแต่ไม่สำคัญ... ก็ปล่อยไว้แบบนั้นล่ะ ไม่อยากยุ่งด้วย คนเราจะมองใครสักคนไม่ดีต่อให้อธิบายให้ตาย มีเหตุผลดีแค่ไหนเขาก็ไม่ได้มองเราดีขึ้นมาหรอกอันนี้เรียนรู้จากเพื่อนคนหนึ่งบอกมาเช่นนั้น และก็เห็นจริงตามนั้น กลยุทธ์ I don’t care จึงสามารถปรับใช้ได้ดีที่สุด ณ กรณีนี้

ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ติสต์...เขาเรียกว่าเป็นตัวของตัวเองเข้าใจไหมคะ? ไม่หวาน ไม่เรียบร้อย ไม่ค่อยจะยอมคนแต่ว่าเฟิร์นก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักกาลเทศะขนาดว่าไม่รู้ว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำอย่างน้อยเราก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครนะ ถ้าสำคัญจริงๆ เราจะเปิดปากบอกเองไม่ต้องถามหรอก เพราะถามไปก็ไม่ได้อะไร ถ้าเราจะไม่พูดทำให้ตายเราก็ไม่พูดอยู่ดีก็เป็นซะแบบนี้ล่ะ จะถูกกล่าวหาแบบนั้น แบบนี้ ถูกเข้าใจผิดบ่อยๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกมั้ง? ฮา...