มิถุนายน 2556

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
 
 
23 มิถุนายน 2556
Moments & Be Alright

Special Story: Moments

Character: Dalah

คงจะจริงที่ว่าคนเรามักมองข้ามคนที่กำลังให้ความสำคัญกับเราและมองแต่คนที่เรากำลังให้ความสำคัญกับเขา จนสุดท้ายแล้วใครคนนั้นที่เขาเห็นว่าเราสำคัญก็เหนื่อยหน่ายกับการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหนและจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาในที่สุด...

“หลา...ไหวไหม” เพื่อนสนิทคนเดียวของฉันแตะมือของเธอลงบนบ่าของฉันเบาๆราวกับจะพยายามปลอบใจฉันจากเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันรวดเร็ว เร็วเกินไปจนตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทัน

ฉันนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรกับใครทั้งนั้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เขาคนนั้นถูกนำร่างไร้ลมหายใจวางไว้ในโลงศพซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบขาวตามอย่างที่เขาชอบส่วนในมือของฉันมีแค่ดอกคาเมเลียเพียงดอกเดียวในมือ ดอกไม้ที่ฉันตั้งใจจะมอบมันให้กับเขาในวันที่ต้องห่างกันไกลด้วยระยะทาง ไม่ใช่ด้วยความเป็นและความตายเช่นวันนี้ ไม่มีน้ำตาไม่มีอะไรไหลออกมาจากดวงตาของฉันแม้แต่น้อยหลังจากทราบข่าวการจากไปของเขา มันเหมือนกับฉันไม่สามารถทำใจยอมรับได้เลยว่าร่างในนั้นคือใครบางคนที่ฉันรัก

ญาติๆของเขากำลังวุ่นวายอยู่กับพิธีศพซึ่งจะจัดในคืนนี้ โบสถ์แห่งนี้เขามักจะชวนฉันมาเป็นประจำแม้ฉันจะพยายามเพียรปฏิเสธเขาหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เป็นผลอะไรความดื้อดึงปนเอาแต่ใจเล็กๆของเขาสามารถทำให้คนอย่างฉันต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาได้เสมอ และทุกครั้งฉันก็มักจะหงุดหงิดกับตัวเองที่ยอมให้เขาไปง่ายๆ แบบนั้น พอคิดถึงตรงนี้มันก็เกิดความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกกลางอก แน่นจนแทบหายใจไม่ออก ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณปลายจมูก ลำคอ และสุดท้ายน้ำใสๆ ก็ค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการทำแบบนั้นก็ตามที

เสียงเรียกชื่อฉันค่อยๆแผ่วเบาลงเหลือเพียงความรู้สึกดำมืด จมดิ่ง และความว่างเปล่า

ฉันพบว่าตัวเองเดินมายังสถานที่ซึ่งฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนมันสวยงามราวกับภาพวาดสรวงสวรรค์บนฝาผนังโบสถ์ เสียงขับกล่อมจากฮาร์ปสีทองซึ่งไร้ผู้บรรเลงดูเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้าเป็นทำนองหวาน หากแฝงไว้ด้วยความเศร้าของการจากลา

ฉันเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทางเดินไปในที่ที่ฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน รู้แค่ว่ามีใครบางคนกำลังรอฉันอยู่ที่ตรงนั้นในสวนซึ่งเต็มไปด้วยกุหลาบสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนแข่งกันผลิบาน กลิ่นหอมอ่อนๆชวนหลงใหลให้เคลิบเคลิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากหนามคมเกี่ยวตามแขนขาของฉันจนเลือดไหลอาบหากแต่ฉันกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดกลับยังคงเร่งฝีเท้าต่อไปเพื่อให้ทันการจากไปของเขาคนนั้น

ตรงหน้าของฉันปรากฏต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งติดกับริมฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามนั้นเป็นภูเขาลูกใหญ่ซึ่งปกคลุมด้วยหิมะดูหนาวเย็นและอ้างว้าง เงาร่างของใครบางคนกำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้นราวกับรอคอยบางสิ่งบางอย่าง

ฉันก้าวเท้าตรงเขาไปจับมือของเขาเอาไว้ ใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยยังคงส่งรอยยิ้มมาให้เหมือนเคย ฉันพยายามเปล่งเสียงออกไปหากพบแค่เพียงความเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากของฉันแม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มและเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างเคย คำปลอบโยนเดียวที่ฉันใช้มันมาตลอดทั้งชีวิตไม่ว่าจะนานแค่ไหน มันมีค่ามากมายมหาศาลกว่าคำพูดของใครต่อใครนับหมื่นนับแสนประโยค ขอแค่เพียงสัมผัสเดียว จากคนๆนี้แค่นั้นที่ฉันต้องการ

ชั่วขณะหนึ่งฉันกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อของฉันดังแว่วเข้ามาภายในบรรยากาศนั้น เขาหันไปตามทิศทางของเสียงและแกะมือของฉันซึ่งเกาะเกี่ยวชายเสื้อของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันพยายามอย่างมากที่จะรั้งเขาไว้ไมให้จากฉันไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีก็ตามว่ามันเป็นไปไม่ได้

เขายิ้ม...แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนคราบน้ำตา ไม่มีกระทั่งคำบอกลาใดๆ ระหว่างฉันและเขา หากฉันรู้แค่ว่าเราสองคนจะไม่มีวันได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง แม้ฉันจะพยายามตะเกียกตะกายเกาะยึดเหล่ากุหลาบซึ่งเต็มไปด้วยหนามยาวคมเหล่านั้นเพื่อให้ได้อยู่มองหน้าเขาต่ออีกเพียงนิดเดียวก็ไม่เป็นผล สายลมหอบใหญ่กำลังหมุนวนกลีบกุหลาบกระจายวนเป็นวงกลมใหญ่ค่อยๆกลืนกินร่างของฉัน และบดบังภาพของเขาให้ดูเลือนรางลงไปทุกที มีเพียงเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินและคงจะจดจำมันไปตลอดช่วงเวลาที่เหลือในชีวิตของฉัน

พี่รักเรานะ...

ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นเพียงฝ้าเพดานสีขาวสะอาด มือของข้างนั้นรู้สึกเจ็บราวกับทั้งหมดนั่นไม่ใช่แค่เพียงฝันไปเท่านั้น ความหนาวเย็นจากอุณหภูมิภายนอกนั่นทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ครู่เดียวเท่านั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องที่ฉันอยู่

ความรู้สึกทั้งหมดที่ดูเหมือนจะสับสนวกวนกลับทวีความรุนแรงเมื่อพบว่าหนึ่งในนั้นคือใคร แม้ฉันจะรู้... รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาไม่ใช่แต่ก็อดไม่ได้ที่น้ำตามันจะไหลลงมา ความเจ็บปวดที่ถูกหนามกุหลาบบาดนั้นคงเป็นเพียงความรู้สึกสมมติ หากความเจ็บปวดที่เกิดกับหัวใจของฉันในเวลานี้มันคือความเป็นจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือพยายามโกหกหลอกตัวเองด้วยคำว่าไม่เป็นอะไรได้อีกต่อไป ความอ่อนล้าถาโถมเข้ามาราวกับระลอกน้ำกำลังเข้าทำลายปราการน้ำแข็งซึ่งฉันเพียรสร้างมันขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ใครทำร้ายหัวใจของฉันได้ แต่วันนี้ทุกอย่างพังทลายลงไปเพราะการจากไปของเขาอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน

เข่าทั้งสองข้างชันขึ้นมาเพื่อปกปิดความอ่อนแอทั้งหมด ฉันก้มหน้าลงซบกับมันด้วยความรู้สึกอยากเก็บซ่อนทุกอย่าง อยากปิดตัวเองไม่ต้องการให้ใครมาพบเจอฉันในสภาพที่เป็นเช่นนี้ อยากหายไป ไม่ต้องมีตัวตนเป็นเพียงแค่อะไรสักอย่างที่ไม่ต้องมีใครมองเห็น ไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันกำลังเปราะบางแค่ไหนไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันคนนี้อ่อนแอ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันอ่อนล้าและฉันไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร หรือแสดงความเห็นใจกับฉัน ฉันอยู่ได้ ฉันผ่านมันไปได้และฉันจะต้องไม่เป็นอะไร

“ออกไป...ได้โปรดเถอะ” ฉันไม่เงยหน้าขึ้นมามองว่าคนเหล่านั้นจะทำตามที่ฉันขอร้องหรือไม่ ฉันแค่พูดในสิ่งที่อยากจะบอกกับใครๆ ออกไป สิ่งที่เขาเพียรพยายามพร่ำบ่นฉันให้ทำอยู่เป็นประจำหากแต่ฉันกลับทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ใส่ใจประโยคเหล่านั้น

“หลา...พอเถอะนะ พี่เขาไปดีแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ถ้าพี่เขารู้เขาคงไม่สบายใจ”ใครบางคนเดินเข้ามากอดร่างที่สั่นเทาราวกับลูกนกแรกเกิดของฉันเอาไว้ สัมผัสนั้นก็เปราะบางไม่แพ้กับฉันเช่นกัน

ฉันรู้และเข้าใจดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกคนต่างก็เจ็บปวด เพียงแค่ฉันยอมรับไม่ได้ว่าเขาจากไปแล้ว เพราะเขาสัญญาเอาไว้ว่าจะไปส่งฉันที่สนามบิน จะรอส่งช่อดอกไม้ในมือให้ในวันที่ฉันรับปริญญา หากแต่วันนี้คำสัญญาทุกอย่างไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มีแค่ความว่างเปล่า สูญเสียจนหัวใจของฉันต้านมันไม่ไหว ค่อยๆ ปริเป็นรอยแยก เกิดเป็นแผลยาวลึกเข้าไปเรื่อยๆและยังไม่มีทีท่าว่ามันจะยังคงฉีกขาดลึกลงไปอีกแค่ไหน

ฉันร้องไห้อยู่อย่างนั้นมันเหมือนกับเป็นทางเดียวที่ฉันพอจะระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในเวลานี้ออกไปจากใจให้หมดได้ไม่มีคำพูดใดๆ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของฉันอีก สุดท้ายฉันก็หลับไปทั้งที่ร้องไห้อย่างนั้น

แสงแดดยามเช้าลอดเข้ามาจากช่องว่างของผ้าท่านซึ่งถูกผิดไม่สนิทดีนักจากหน้าต่างของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ฉันลืมตาขึ้นมากวาดมองรอบตัวเห็นร่างของเพื่อนคนเดิมฟุบหลับอยู่ตรงข้างเตียง ตรงโซฟามีชายหนุ่มสามคนนอนระเกะระกะดูท่าทางคงไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก หนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นมาพอดีและจ้องหน้าฉันราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน จากนั้นเขาก็หันไปสะกิดกึ่งถีบเพื่อนที่เหลืออีกสองคนให้ตื่นขึ้นมา และด้วยเสียงนั้นเองก็ทำให้เพื่อนของฉันลืมตาตื่นขึ้นมามองฉันเช่นกัน

“หลา...ฟื้นแล้วเหรอ เอาน้ำไหม”เธอกระวีกระวาดลุกขึ้นเทน้ำใส่แก้วของโรงพยาบาลให้ฉันแม้จะไม่ได้รับคำตอบก็ตามที

มืออันสั่นเทาของฉันเอื้อมไปจะหยิบแก้วน้ำมาถือเองหากก็ถูกเธอปฏิเสธ ฉันจึงจำใจต้องดูดน้ำจากหลอดในแก้วซึ่งเธอถืออยู่อย่างช่วยไม่ได้ และพอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามคนนั่นลากโซฟาเข้ามาจนชิดกับเตียงของโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นจ้องฉันที่กำลังดูดน้ำตาแป๋วราวกับจะสังเกตทุกอิริยาบถของฉันจนทำให้ฉันประหม่าเล็กน้อย ผิดกับคนด้านซ้ายซึ่งลุกไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างมายื่นส่งให้กับฉันซึ่งละจากแก้วน้ำนั้น มันเป็นกล่องที่ทำจากไม้แกะสลักเป็นลายของดอกดาหลาบนฝากล่องอย่างสวยงามราวกับจะบ่งบอกว่ากล่องใบนี้คือของๆ ฉัน

“เขาตั้งใจให้คุณเพียงแต่เขาไม่สามารถทำได้ เขาฝากมันไว้กับผม ตอนนี้ผมมอบมันให้กับเจ้าของคือคุณ”

ภายในนั้นมีเพียงกุหลาบขาวดอกเดียวซึ่งฉันจำมันได้ดีแม้สภาพของมันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลานานแค่ไหนก็ตาม กุหลาบที่ฉันให้เขาจากเงินที่ไปทำงานพิเศษในร้านอาหารข้างโรงเรียนสมัยอยู่มัธยมต้นกลีบของมันยังคงติดอยู่กับก้านหากเพียงแต่กาลเวลาเปลี่ยนมันเป็นสีน้ำตาลราวกับภาพถ่ายเก่าๆใบหนึ่ง น่าแปลกที่ฉันไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมากลับรู้สึกได้ว่ามุมปากของตัวเองกำลังยกยิ้มขึ้นมา ความรู้สึกอุ่นลึกๆ ค่อยๆรักษาแผลในใจให้เจ็บปวดน้อยลง และวันหนึ่งมันคงจะหายดี กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง

“ขอบคุณนะคะ”ฉันปิดกล่องและหันไปยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะยกมือไหว้ทำเอาสามคนนั้นยกมือขึ้นมารับไหว้ฉันแทบไม่ทัน

พอหันกลับไปมองหน้าของหนูอ้อแอ้น้องสาวแท้ๆ ของเขาและยังเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ฉันมีก็เห็นเธอกำลังเอามือปิดปาดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอเองก็เจ็บไม่ต่างอะไรจากฉันเพียงแค่เก็บอาการได้อีกว่าฉันก็เท่านั้น

“ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากมาตลอดแล้วก็ขอบคุณนะ...ที่ไม่จากไปไหน”

อ้อแอ้ดึงฉันเข้าไปกอดก่อนจะปล่อยโฮใหญ่กลายเป็นฉันที่ต้องเป็นฝ่ายมานั่งปลอบใจเธอแทน แต่ฉันก็เชื่อมั่นนะ...ฉันเชื่อว่าเขายังคงเฝ้ามองฉันจากที่ไหนสักแห่งแม้จะไกลแสนไกลก็ตามที เชื่อว่าเขายังคงเป็นกำลังใจให้ฉันกาวเดินไปข้างหน้าเสมอแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ตามที และฉันเชื่อ... ว่าฉันจะผ่านพ้นเรื่องราวอุปสรรคทุกอย่างไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง

Be Alright

“Liferemains the same until the pain of remaining the same becomes greater than thepain of change.” Anonymous

สำหรับฉันความเจ็บปวดคือยาพิษ และยารักษาในเวลาเดียวกัน เพราะหากเราทำใจจะยอมรับและก้าวผ่านมันไปได้ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นเราเองก็จะมีภูมิต้านทานหัวใจให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน อยู่ที่ว่าเราจะทนรับความเจ็บที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้นไหวหรือเปล่าก็เท่านั้น

ฉันเหม่อมองภาพความวุ่นวายของบ้านตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าเพื่อนฝูงตั้งแต่สมัยมัธยมปลายทั้งของฉัน อ้อแอ้และเขาคนนั้นมารวมตัวกันเลี้ยงสังสรรค์กับการได้รับทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศของฉันหนึ่งปีการศึกษา แต่ตัวหัวเรือใหญ่ของงานนี้กลับทำเสียราวกับว่าฉันได้รับทุนเรียนต่อจนจบปริญญาเอกจัดงานเสียใหญ่โตจนเห็นแล้วก็อดจะบ่นนิดๆ ตามประสาไม่ได้ ติดตรงครั้งนี้อ้อแอ้เองก็เห็นดีเห็นงามกับเขาไปซะด้วย สนับสนุนและชวนกึ่งลาก เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆมากองที่บ้านของฉันคืนก่อนวันไปสนามบิน

ส่วนเจ้าของงานตัวจริงอย่างฉันกลับกำลังตรวจสัมภาระและเอกสารทั้งหมดอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กระทั่งสัมผัสเย็นๆถูกแนบเข้าที่แก้มของฉันจนเผลอสะดุ้งหันไปมองคนขี้แกล้ง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนกับเขาคนนั้นไม่มีผิด แต่นิสัยกลับแตกต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ดีหรืออะไรหรอกนะ เพียงแค่เขาคนนั้นที่ฉันคุ้นเคยมักจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับสายน้ำไหลเอื่อยๆมากกว่า ผิดกับเขาคนนี้ที่เหมือนแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าทำให้รู้สึกสดชื่นอีกแบบหนึ่ง

แม้ครั้งแรกฉันจะร้องไห้โฮเพราะเห็นหน้าของเขาจนเจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากว่าจะไม่โผล่หัวมาให้ฉันเห็นหน้าจนร้องไห้แล้วสลบไปอีกเป็นครั้งที่สองอีก ไม่ติดว่าอ้อแอ้บอกว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้วเขาคงยังพยายามเพียรหลบหน้าหลบตาฉันไม่เลิกแน่ๆ

“ดื่มนี่ได้ใช่ไหมมันไม่มีแอลกอฮอล์หรอก” เขาพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งแม้จะพยายามยืดการพูดให้ช้าลงก็ยังรู้สึกได้และเจ้าตัวก็ทำหน้าหงุดหงิดไม่ชอบใจกับสำเนียงของตัวเองสักเท่าไหร่

“เดี๋ยวก็ชินค่ะแล้วก็ขอบคุณสำหรับน้ำนะคะ” ฉันยิ้มให้กับเขาก่อนจะรับแก้วน้ำผลไม้นั่นมาดื่ม รสหวานอมเปรี้ยวทำให้รู้สึกสดชื่นได้มากทีเดียว กลิ่นหอมของมันก็จัดว่าทำให้ผ่อนคลายได้พอตัวคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของพ่อหนุ่มตาแป๋วคนนั้นที่นั่งจ้องหน้าฉันตอนอยู่ในโรงพยาบาล

“ผมอยากพูดภาษาไทยให้ชัดเหมือนพี่แต่ทำอย่างไรก็ไม่ได้สักที” เขาทำหน้ายุ่งยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด เดือดร้อนฉันต้องหยิบหวีเอื้อมไปหวีผมให้กับเขาอย่างเคยชิน เพราะเขาอีกคนก็ชอบมีอาการแบบนี้เหมือนกันและมักจะทำรุนแรงกว่านี้จนผมพันกันเสียด้วย

พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าสายตาของเขาจ้องมองใบหน้าของฉันซึ่งใกล้กับเขาจนเกินไป

“ขอโทษค่ะฉัน...” ฉันผละออกมาโดยไม่รู้ว่าควรจะอธิบายกับเขาออกไปอย่างไร เพราะหากจะบอกว่าชินกับการที่ต้องหวีผมให้ใครอีกคนบ่อยๆนั่นเท่ากับว่าฉันกำลังเอาเขามาแทนที่ใครอีกคน และมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด

“ฮ่าๆอย่าคิดมากสิครับ ผมเข้าใจ ก็ผมกับพี่หน้าเหมือนกันซะขนาดนี้นี่นา ถึงสีตากับสีผมจะไม่ใช่เลยก็เถอะนะ แต่ผมชอบที่คุณหวีผมให้ผมนะคราวหน้าก็ฝากด้วยนะครับ” เขายิ้มจนตาหยีและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ฉันหลุดยิ้มตามได้ทุกครั้งไป ต่างกับเขาอีกคนที่เพียงแค่มองก็สบายใจหากไม่สามารถทำให้ฉันยิ้มตามออกมาได้ในเวลานั้น

“คุณคล้ายกับเขานะคะแต่เชื่อฉันเถอะว่าคุณยิ้มเก่งกว่า” ฉันเอ่ยปากชมเขาที่ตอนนี้แก้มขึ้นสีเรื่อเป็นที่เรียบร้อย

“ถ้าไม่ติดว่าคุณเป็นว่าที่พี่สะใภ้ผมผมจีบคุณไปแล้วนะ” เขาหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ประโยคเหล่านั้นทำเอาฉันนิ่งไปไม่คิดเลยว่าเขาจะคิดอะไรแบบนี้

“ฉันรักพี่ชายคุณเหมือนพี่แท้ๆและเขาเองก็รักฉันเหมือนน้องสาว อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้นคะ”

พอฉันพูดจบประโยคเท่านั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายปรัศนีและอัศเจรีย์ตัวใหญ่เท่าฝาผนังบ้านมาแปะเอาไว้ทันทีทันใด ก่อนพ่อคนอารมณ์ดีจะก้มหน้าซุกกับมือตัวเองถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่าใบหูของเขาแดงเถือกจนไม่สามารถเก็บซ่อนอาการเขินอายเอาไว้ได้ แถมเขายังเผลอบ่นออกมาเสียงดังจนเกินไปอีกต่างหาก

“พระเจ้า...ผมแทบบ้าตอนรู้ว่าตกหลุมรักพี่สะใภ้ตัวเอง ทำไมคุณไม่รู้จักบอกผมแต่แรกนะ”

“ก็คุณไม่ได้ถามฉันนี่”ฉันตอบกลับเสียงบ่นกับตัวเองของเขาไปโดยอัตโนมัติ ไม่เชื่อเลยว่าเขากำลังสารภาพรักกับฉันในสภาพที่เราสองคนแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ

“ผมเห็นคุณร้องไห้ขนาดนั้นใครจะไปคิดล่ะว่าเป็นอย่างอื่น เอ๊ะ!นี่ผมบอกรักคุณแล้วสินะ... อ๊า! เอาอีกแล้วทำไมผมแก้นิสัยพูดกับตัวเองไม่ได้สักที”เขาเริ่มยีหัวอย่างรุนแรงอีกครั้งจนฉันต้องเป็นฝ่ายดึงมือของเขาเอาไว้แทน หากแต่นั่นมันทำให้เขาหยุดและหันกลับมาคาดคั้นเอาคำตอบจากฉันแทน

“ผมจะบ้าแล้วนะเป็นแฟนกับผมเถอะ สาบานได้ว่าไม่เคยเจอใครแล้วทำผมใจเต้นได้เท่าคุณมาก่อนเลยไม่รู้ว่าทำไมนะ ตลอดเวลาที่พี่พูดถึงคุณผมถึงขั้นเก็บไปฝันพอมาเจอตัวจริงคุณกลับร้องไห้จนสลบใส่หน้าผมซะอย่างนั้น คุณทำผมคลั่งคุณรู้ตัวไหมโอ... Shit ผมพล่ามอะไรนี่”

ใบหน้าของเขาแดงจนลามไปถึงลำคอแน่ล่ะว่าหน้าฉันเองก็คงมีสภาพไม่แตกต่างจากเขาเท่าไหร่นักไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่คิดอะไรก็พูดออกมาเสียหมดเปลือกอย่างเขาหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ด้วย

“ผมบ้าไปแล้ว...ขอโทษครับ ผมคุมตัวเองไม่ได้เลยเวลาอยู่ต่อหน้าคุณ พยายามแล้วนะ แต่มันก็... อา...นี่ผมดูเป็นผู้ชายที่แย่มากในสายตาคุณใช่ไหม ให้ตายเถอะ! คุณช่วย delete memory แล้วฟังผมพูดใหม่ได้ไหม”

เขาทำสายตาอ้อนเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยๆกำลังขอความเห็นใจจากเจ้านายไม่มีผิดเพี้ยนแววตานั่นทำให้ฉันต้องเบือนหน้าหนีเพราะความเขินอายที่เพิ่มขึ้นจนไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะตอบเขาออกไปอย่างไรหรือควรจะทำอะไรต่อไปอย่างไรดี

“เอาใหม่นะ...โอเค! ผมชอบคุณ ไม่สิ!ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของพี่ชาย เพราะฉะนั้นเป็นแฟนกับผมนะหรือถ้าคุณไม่รังเกียจเกินไปก็ช่วยแต่งงานกับผมนะครับ สัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดีไม่ให้แพ้พี่ชายของผมเลย”

เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆฉันเองก็ด้วยที่พยักหน้าตอบเขาไปแบบนั้น กลายเป็นว่าตอนนี้เขารวบตัวฉันเข้าไปกอดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก และถ้าอ้อแอ้กับคนอื่นๆไม่เผลอเบียดเสียดกันจนแจกันหน้าห้องร่วงลงมาแตกมีหวังทุกคนคงได้เห็นภาพเขาชิงจูบแรกของฉันไปแน่ ซึ่งพอเขาหันไปแล้วพบว่ามีคนมาขัดจังหวะก็เกิดอาการหงุดหงิดหันไปไล่ถีบเพื่อนรักสามคนซึ่งไปนอนเฝ้าฉันที่โรงพยาบาลในวันนั้นกับอ้อแอ้

เสียงโห่ฮาร้องแซวฉันระงมไปหมดจนฉันต้องหาวิธีแก้เขินโดยการไปลงกับตัวต้นเหตุอีกที ซึ่งเขาก็ทำท่าร้องโอดโอยราวกับเจ็บเสียเต็มประดากับการเอาหมอนไล่ฟาดของฉัน แล้วพักเดียวเท่านั้นเขาก็หันกลับมารวบฉันเข้าไปกอดจากด้านหลังแล้วหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ กว่าจะตั้งสติได้พ่อคนหน้าทะเล้นก็จัดการฉกความหอมจากแก้มอีกข้างของฉันไปหน้าตาเฉยพร้อมส่งรอยยิ้มหวานกับนัยน์ตาอ้อนๆ นั่นมาให้ฉันใจสั่นเล่นอีก

บางทีฉันก็แอบคิดนะว่าเวลานี่มันช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เราสองคนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเดียวกันทั้งปริญญาโทและเอก จากนั้นเราก็แต่งงานกันตามแบบที่เขาเพียรขอร้องแกมบังคับฉันตั้งแต่ฉันจบปริญญาตรีกลับมาจากอังกฤษ

ตลอดเวลาที่ฉันคบกับเขาไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ฉัน แม้ฉันจะเป็นฝ่ายผิดก็ตามทีและสุดท้ายฉันเองนี่ล่ะที่ต้องไปนั่งขอโทษเขาภายหลังจากคิดได้ และทุกครั้งเขาก็จะยิ้มและบอกว่าไม่เป็นอยู่เสมอ เพื่อของเขาต่างพากันบอกฉันว่าเขาเจ้าชู้และมีสาวๆในคลังสะสมมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาก็เสริมว่าไม่น่าเชื่อว่าพ่อหนุ่มคลาสโนวาขั้นเทพจะสามารถหยุดทุกอย่างและตัดความสัมพันธ์กับสาวๆ ใครคลังได้หมดไม่มีเหลือกระทั่งเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลล์ของพวกเธอไว้ให้เห็น ซึ่งนั่นทำให้ฉันเชื่อใจและยอมรับเขาได้หมดทั้งหัวใจเขาดูแลเอาใจใส่ฉันไม่เคยห่างแม้ฉันจะหงุดหงิดอารมณ์เสียใส่เขามากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยโต้ตอบฉันสักครั้ง ขนาดอ้อแอ้เองยังออกปากเลยว่าฉันใจร้ายกับพี่ชายคนนี้ของเธอมาก หากแต่เขากลับเถียงน้องสาวของตัวเองว่าเขาไม่ได้เหนื่อยอะไร เพราะทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับคำว่ารักของเขาที่มีให้ฉันเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

พรุ่งนี้เป็นวันที่ฉันกับเขาจะเข้าพิธีแต่งงานกับตามแบบศาสนาคริสต์ซึ่งทางบ้านของเขานับถือ วันนี้เราสองคนรวมถึงอ้อแอ้ซึ่งชิ่งหนีแต่งงานกับพ่อหนุ่มตาแป๋วคนนั้นไปก่อนหน้าเกือบสองปีเธอมาพร้อมกับเด็กตัวน้อยๆ ในท้องของเธอ และลูกชายจอมแสบอายุ 3 ขวบซึ่งพ่วงเอาคุณพ่อบ้านหน้าตาน่ารักมาเป็นผู้ดูแลพิเศษด้วยอีกคน พวกเราทั้งหมดมาเยี่ยมหลุมศพของเขาคนนั้น ช่อดอกกุหลาบสีขาวถูกวางลง และตามด้วยดอกคาเมเลียซึ่งในวันนั้นฉันไม่ได้ใส่ลงไปในโลงศพของพี่เขา หากแต่คนที่ยืนข้างๆฉันนั้นเป็นคนนำมันใส่ลงไปให้หลังจากที่ฉันสลบไป

“พี่ครับ...ผมรักเธอครับ เราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ผมรู้นะว่าพี่กำลังคาดโทษผมอยู่...แต่ผมให้สัญญาครับว่าผมจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ จะดูแลเธอให้ดีที่สุดจะรักและทะนุถนอมเธอให้มากๆ พี่วางใจเถอะนะครับผมจะไม่ทำให้น้องสาวอีกคนของพี่ต้องร้องไห้แน่”เขาคุกเข่าลงวางช่อดอกกุหลาบขาวอีกช่อในมือลงตรงหน้าหลุมศพของพี่ชายของเขา คำสาบานเหล่านั้นฉันจดจำมันได้ดี และเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ผิดคำพูดของตัวเองที่เอ่ยออกมาแล้วพิสูจน์จากระยะเวลาที่เราคบหากันมาเกือบ 5 ปี ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าความรู้สึกของฉัน

ฉันยิ้มให้เขาเราสองคนยิ้มให้กัน อ้อแอ้กับพ่อหนุ่มตาแป๋วก็ยิ้ม พ่อหนุ่มน้อยวัย 3ขวบก็ยิ้ม เด็กน้อยในท้องของอ้อแอ้ก็คงจะยิ้มตามแม่ของเขา และสุดท้ายพี่ชายเองก็คงจะยิ้มเพื่อแสดงความยินดีให้กับพวกเราเช่นเดียวกัน

จากนี้จนถึงวันที่ฉันและเขาจะหมดลมหายใจตายไปจากกัน เราสองคนจะใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่เพื่อเติมเต็มความรัก ความเข้าให้กับคำว่าครอบครัวให้ดีที่สุด และฉันเองก็เพิ่งเข้าใจที่ว่าการสูญเสียไม่ใช่จุดจบชองทุกสิ่งทุกอย่างแต่มันคือจุดเริ่มต้นใหม่ของอีกหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของคนเรา

หากมีพรใดๆบนโลกซึ่งฉันปรารถนาอยากได้มันมาครอบครอง ฉันขอให้หัวใจของฉันยังคงเต้นอยู่เช่นนี้ตราบจนวันสุดท้ายที่ใครบางคนลิขิตให้ชีวิตของฉันต้องปลิดปลิวไปตามสายลมเฉกเช่นใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ให้มันเต้นอยู่อย่างนี้เพื่อรักเขาและรักใครสักคนที่จะเกิดมาเพื่อทำให้ครอบครัวของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฉันขอแค่นี้... แค่ที่เป็นอยู่นี้ไม่ต้องการอะไรมากมายไปกว่านี้แล้ว

..................................................................................................................................................

ปล. แวะเอาเรื่องสั้นที่เคยลงใน Pantip มาลงใหม่ในบล็อคของตัวเองค่ะ ส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนมานานมากแล้ว ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ ถึงอย่างไรก็ฝากไว้พิจารณาด้วยค่ะ ฮี่ๆ




Create Date : 23 มิถุนายน 2556
Last Update : 23 มิถุนายน 2556 22:19:05 น.
Counter : 981 Pageviews.

3 comments
  
เศร้าจัง ^^
เรื่องสั้นไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั๊ยคะ
โดย: lovereason วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:0:04:20 น.
  
เรื่องสั้นครับ....
โธ่.... ฮี่ๆๆๆๆ เขียนจากอะไรหลายๆ อย่าง เอามาผสมกันได้เช่นนี้พอดีค่ะ ฮี่ๆๆ
โดย: ฆโนทัย วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:0:29:30 น.
  
อ่านๆไปก้อทำเอาน้ำตาคลอเลยค่ะ TT-TT

เป็นฝาแฝดกันเหรอคะ?พ่อหนุ่มคนนั้นกับพี่ชาย?

เนื้อเรื่องช่วงแรกเศร้ามาก ช่วงหลังดูเหงาๆแต่แฝงด้วยความอบอุ่นดีจัง TT^TT
โดย: EmptyBlackRiver วันที่: 10 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:16:06 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

S_Maple
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



Welcome



กรุ่นไอดินกลิ่นอายฝนคลายหม่นหมอง

ดังทำนองร้องรับขับขานเสียง

ดุจดนตรีธรรมชาติเคล้าคลอเคียง

ฟังสำเนียงเพียงระรื่นชื่นวิญญาณ์



...ฆโนทัย...