หนังใกล้ถึงเวลาฉายแล้วค่ะ ถ้าอยู่ที่วัด พระอาจารย์ท่านจะถามว่า อยากดูหนังไหม? เสียงตอบรับว่า อยากดู ตามมาเกรียวกราวเลย.. ก็โถ ดูหนังนี่ บันเทิง กว่านั่งทำท่าสิบสี่จังหวะหรือเดินจงกรมหลับไปหลับมาอยู่บนศาลาแน่นอน เสียงพระอาจารย์บอกตามมาว่า ถ้าอยากดูจ่ายค่าดูมาก่อนค่าดู ของท่าน คือการนั่งกรรมฐาน ทำจังหวะตามแบบฉบับของหลวงปู่เทียนนะคะ แต่ดูผ่านบล็อกนี่ คงขอค่าดูไม่ได้ (เพราะไม่มีหนังอย่างที่วัดฉายมาให้ดู แหะ แหะ)บล็อกนี้เป็นเพียงประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือ เป็นของฝากจากใจถึงเพื่อนชาวบล็อกเท่านั้นแต่เอ้อ, ขอ ค่าอ่าน เป็นคอมเม้นท์เล็ก ๆ ท้ายตอนได้มั้ยคะ? ไฟบนศาลาปิดหมดแล้วค่ะ เห็นจอภาพขาวสลัว ๆ อยู่กลางศาลา คืนนั้นฝนตกเปาะแปะก่อนหนังฉายมาสักครู่หนึ่งแล้ว พอหนังเริ่มฉาย ฟ้าก็กระหน่ำทั้งลมทั้งฝน หนักเสียจนแทบไม่ได้ยินอะไร (ก่อนหนังฉายต้องมีโฆษณาก่อนค่ะ ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพดอกสายน้ำผึ้งที่บ้าน... เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย? )ความมืดบนศาลาทำให้นักเรียนธรรมะทั้งหลายนั่งปล่อยตัวตามสบาย ส่วนใหญ่แกล้งทำเป็นลืมจ่าย ค่าดู ตามที่พระอาจารย์บอกไว้เสียสิ้น หนังเรื่องแรกที่ฉายเป็นรายการทีวีบันทึกเทปไว้ค่ะ เปิดฉากเป็นภาพวัดแห่งหนึ่งที่ดูคุ้นตา เป็นภาพวัดสนามใน ที่จังหวัดนนทบุรีในสมัยก่อนนะคะ ก่อนที่จะมีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมอย่างสมัยนี้ ตอนแรกที่เห็นภาพวัดก็รู้สึกกระไร ๆ อยู่ อาการกลัวอาการเกร็งเริ่มตั้งเค้าอยู่ในความมืดบนศาลาเลยนะคะแต่ปรากฏว่า ภาพและเรื่องราวที่ตามมา คือเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ (ที่เรียกว่าหลวงปู่เทียนนั่นแหละค่ะ ท่านมรณภาพไปยี่สิบปีแล้ว ถ้ายังอยู่ ปัจจุบันนี้ท่านจะมีอายุถึงเก้าสิบเจ็ดปี) ในรายการธรรมะที่ฉายให้ดูนั้น มีการแนะนำการฝึกปฏิบัติธรรมตามแบบฉบับของท่านด้วย ณ ขณะนั้น ภาวะผ่อนคลายแทรกขึ้นมาขับอาการเกร็งกลัวไปเกือบหมดเลย นั่งมองท่านอธิบายและทำท่าสิบสี่จังหวะให้ดู .ความงง ๆ สงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของการทำอย่างที่เป็นมาในสองวันแรกหายไปหมดสิ้น อิริยาบถของท่านขณะทำท่าต่าง ๆ ให้ดูนั้น ดูง่าย ๆ ธรรมดา ผ่อนคลาย และเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ไม่มีความเกร็ง ไม่มีความตั้งใจ มีแต่ความรู้สึกสบาย ๆ .ณ ขณะนั้น ถ้าเปรียบตัวเองเป็นศิษย์เรียนวิชากำลังภายในแบบในหนังจีน รู้สึกเลยค่ะว่า ภาวะ สูงสุดคืนสู่สามัญ นั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นภาวะของปรมาจารย์นะคะ ไม่ใช่ลูกศิษย์ตัวกลมที่นั่งเบิ่งตาอยู่ในความมืดและปล่อยใจเรียนกระบวนท่าตามท่านไป หนังเรื่องแรกจบลงไปแล้วค่ะ จบไปโดยลืมเรื่องความกลัวที่มีมาก่อนหนังฉาย ก็จะมีได้อย่างไรล่ะคะ กลัวจะเจอผีแต่ได้เจอพระแทน พระแท้ เสียด้วย ระหว่างเปลี่ยนเรื่องเพื่อฉายหนังอีกเรื่องหนึ่งนั้น พระอาจารย์ก็ไม่บอกว่าเป็นเรื่องอะไร ชวนคุยนั่นนี่นิดหน่อยเอาละสิคะ คราวนี้ใจมันประหวัดกลับไปเรื่องเดิมอีกสงสัยให้เราดูพระก่อนแล้วค่อยให้ดูผีละมัง เอ้อ, ไม่ใช่ผีหรอกน่า พระท่านคงให้เราดูภาพคนตายเป็นการฝึกเพ่งอสุภะก่อนสอบ..โห คราวนี้ พอไฟดับลงอีกรอบ ความปีติจากการค้นพบกระบวนท่าที่เพิ่งเรียนมาจากหลวงปู่เทียนหายไปหมดเลย มีเสียงดนตรีเย็น ๆ นำมาก่อน เป็นเทปบันทึกจากรายการโทรทัศน์อีกเช่นเคยค่ะ คราวนี้ขึ้นรายการว่า คนค้นคนอ้าว, รายการอะไรนี่ เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยดู แล้วภาพของชายพิการที่นั่งอยู่บนรถเข็นในกุฏิที่พักก็ปรากฏขึ้นบนจอ พร้อมกับชื่อของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม และเรื่องราวของอาจารย์ที่ประสบอุบัติเหตุจากการกระโดดน้ำจนกลายเป็นอัมพาต ก่อนจะต่อสู้กับตัวเองอย่างยาวนานเพื่อก้าวให้พ้นผ่านความทุกข์อันเกิดขึ้นทางกาย และทางผ่านสุดท้ายคือการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโต .. นอกจากอดีตแล้ว รายการได้นำเสนอเรื่องราวในปัจจุบันของท่านในฐานะเป็นผู้บรรยายธรรมะที่เป็นกำลังใจให้คนทั่วประเทศ ทั้งพิการและไม่พิการเรื่องราวและภาพของอาจารย์กำพลดำเนินไปช้า ๆ ท่ามกลางผู้คนที่นั่งจับจ้องตาค้างอยู่กับเรื่องราวทุกข์ยากแต่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและกำลังใจของอาจารย์กำพล ผู้เต็มใจให้ชีวิตและประสบการณ์ของตัวเองเป็นบทเรียนชีวิตสอนคนให้ก้าวพ้นจากความทุกข์ที่ตัวเองมีอยู่ พร้อม ๆ กับเรื่องราวของอาจารย์กำพล เสียงฟ้าเสียงฝนที่กระหน่ำอยู่รอบศาลาเชิงเขา กลายเป็นตัวช่วยที่กลบเสียงสะอื้นของคนช่างกลัวได้อย่างดี คนขี้กลัวคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่กลางคนหมู่มาก กลางความมืด กลางเสียงฝนฟ้ารอบศาลา ช่างเป็นการร้องไห้จากใจที่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้เลยการนั่งดู หนัง บนศาลาวัดสองเรื่องวันนั้น เริ่มต้นขึ้นด้วยความกลัวเพราะคิดผูกโยงเรื่องราวตรงหน้ากับสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจของตัวเอง ภาวะจิตของคนที่กลัวผีและคิดว่าจะได้เจอบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องผีสางหรือซากศพก่อนสอบ..แต่กลายเป็นว่าเจอพระ เจอนักปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะ เป็นนักปฏิบัติธรรมเจ้าของภาพในกุฏิที่มาอาศัยนอน แล้วยังคิดว่าเป็น เรือนตาย ของเจ้าของภาพนั้นเสียอีกน่าแปลก ที่ขณะร้องไห้ มีน้ำตาและเสียงสะอื้นแสดงออกมาทางกายนั้น ทางใจกลับนิ่งเย็นได้อย่างประหลาด รู้ได้เลยว่า ความกลัวผี นั้นไม่น่ากลัว เท่ากับ ความกลัวก่อนเจอผี .ณ วินาทีนั้น เหมือนมีบางอย่างวาบเข้ามาในใจเพื่อย้ำให้ตัวเองตระหนักว่า นี่ไง ทุกข์ก่อนทุกข์ .ไม่มีอะไรจริงอย่างที่เราคิดสักอย่างหนังจบแล้วค่ะ ไฟหลายดวงบนศาลาเปิดขึ้นใหม่ตามปกติ พระอาจารย์สอนอะไรต่อจากนั้นไม่ได้ยินเสียแล้ว ไม่อายด้วยว่า ตัวเองจะยังมีคราบน้ำตาอยู่บนแก้มหรือไม่ จะมีใครรู้หรือเปล่าว่ามีคนนั่งร้องไห้กับความรู้สึกท่วมท้นจากหนังกลางศาลาทั้งสองเรื่องนี้ความประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าตัวเองเป็นคน ทุกข์ก่อนทุกข์ จับใจติดแน่นจนลืมความกลัว แม้เมื่อต้องเดินกลับกุฏิคนเดียวท่ามกลางความเงียบและความมืดที่มีเพียงไฟฉายดวงเล็ก ๆ ส่องบนพื้นทางเดินคืนนั้นเป็นคืนที่นอนหลับสนิทอย่างยิ่ง ไม่ฝันอะไรเลยค่ะแต่ .ยังไม่ใช่ แฮปปี้เอนดิ้งนะคะเรื่องของความกลัวยังไม่จบลงง่าย ๆ แค่นี้ ณ ขณะนั้น รู้จักเพียงความกลัว"ล่วงหน้า"ค่ะ ยังไม่รู้จัก ความกลัว ซึ่ง ๆ หน้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ค่อยมาอ่านต่อตอนอัพบล็อกครั้งหน้านะคะ ส่วนครั้งนี้ อ่านจบแล้วอย่าลืมจ่าย ค่าอ่าน ด้วยล่ะ Create Date : 16 พฤศจิกายน 2551 Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 15:35:49 น. 12 comments Counter : 825 Pageviews. ShareTweet