Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 
+•+•+•+ [ ตามหาหัวใจไกลถึงนครพนม : ตอนจบบริบูรณ์ ] +•+•+•+

สะบายดีค่ะทุกท่าน …..


ความเดิมจากตอนที่ 1 คลิ๊กที่นี่ นะคะ


วันนี้ได้กล่าวคำทักของลาวว่าสะบายดี ที่หมายถึงสวัสดีในภาษาไทยแบบนี้ได้เต็มปากเต็มคำ เพราะเราจะข้ามไปเที่ยวกันที่ฝั่งชายแดนลาว หรือ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว นะคะ ซึ่งก็อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแค่แม่น้ำโขงกั้นค่ะ มองจากหน้าต่างห้องพักโรงแรม ก็เห็นไปฝั่งโน้นเหมือนจะเอื้อมถึงค่ะ


เมื่อวานขากลับจากอำเภอธาตุพนมมาที่พัก (ขากลับนี่ได้ผ้าขาวม้าไหมของคุณพจน์ใหม่ๆ ซิงๆ ที่พึ่งซื้อจากเรณูมาพันหัวพันหูยามโต้ลมกลับนะคะ อิอิ) พอกลับมาก็ได้ไปนั่งทานข้าวร้านลุงสมพงษ์ เจ้าของรถสกายแล็ปล่ะค่ะ แล้วแกก็เอาหลานชายหนุ่มๆ สองคนมานั่งคุยเป็นเพื่อนตอนทานข้าวและตอนดริ้งค์หลังอาหารกะเราด้วยจริงๆ อย่างที่พูดเอาไว้ เป็นหลานที่เป็นคนลาวจากฝั่งลาวโน้นอ่ะ ชื่อ “วง” และชื่อ “โส”


ว๊าย เป็นหนุ่มลาวที่หน้าตาคมสันมากๆ ค่ะ !!!!! …..




จริงๆ เรานัดลุงไว้ว่าตี 05.45 ให้เอารถมารอหน้าโรงแรมเลย เพราะเราจะไปใส่บาตรกันค่ะ แต่...แห่ะแห่ะ สงสัยเมื่อคืนจะกรึ๊บหนักมากไปหน่อย เลยตื่นซะ 7 โมงเช้าสบายใจ พระกลับวัดหมดแล้ว และลุงก็มารอจนกลับไปนอนได้อีกตื่นหนึ่งแล้วค่ะ

งั๊นว่าแล้วเราก็ข้ามไปเที่ยวฝั่งลาวกันดีกว่า ลุงสมพงษ์เสนอว่าให้ลุงพาไปละกัน เพราะญาติพี่น้องฝั่งโน้นลุงก็มีมาก เป็นสปอนเซอร์เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำลุงแล้วกัน พวกเราก็เลยโอเคค่ะ


...................


ผ่าน ตม. ฝั่งไทยมาได้ก็ลงเรือกันค่ะ เพื่อข้าม “แม่น้ำโขง” แม่น้ำสายนานาชาติสายหนึ่งของโลกที่มีความยาว 4,000 กว่ากิโลเมตร ผ่านธิเบต จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวม 7 ประเทศ

ว่ากันว่าแม่น้ำโขงสายนี้ผ่านเรื่องราวและผู้คนมากมายบนสองฝากฝั่ง กระแสวัฒนธรรมมากมายไหลล่องขึ้นและลงไม่มีสิ้นสุดตราบวันนี้ค่ะ




เมืองที่อยู่ตรงข้ามกับนครพนมนี้ก็คือเมือง “ท่าแขก” ค่ะ ซึ่งอยู่ใน “แขวงคำม่วน” ของประเทศลาว มีภูเขาสลับซับซ้อนค่ะ และไม่ใช่เมืองที่เจริญมากเหมือนเมืองใหญ่เช่น “สะหวันนะเขต” แต่เมืองนี้จะเน้นที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติซะมากกว่าค่ะ เช่น ภูเขาสูง หรือถ้ำที่สวยงาม และที่สำคัญ ผู้คนเมืองนี้มีอัธยาศัยไมตรีดีค่ะ


พอเราข้ามมา ลุงก็โทรให้ญาติลุงเอาสกายแล็ปลาวของฝั่งนี้มารับเราทันที พอเห็นหน้าคนขับกับคนที่นั่งมาด้วย ต๊ายยย คุณลุงนี่สงสัยตอนหนุ่มๆ จะหล่อเหลาเอาการอยู่นะคะ เพราะหลานอีกสองคนที่มารับนี่ก็หล่อคมสันอีกแล้วค่ะท่าน คนหนึ่งชื่อ “เวียง” เป็นน้องของ “วง” ที่อยู่ฝั่งไทยที่เมื่อคืนเจอ และคนขับก็หล่อเข้มไม่แพ้กัน พูดน้อย ชื่อ “บุนสี” ค่ะเป็นวัยรุ่นจ๊าบทั้งคู่ มันต้องอย่างนี้ซิ ค่อยเจริญตาเจริญใจหน่อย อิอิ


ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะเริ่มมีชีวิตชีวาแล้วค่ะท่าน คิกคิก




ตอนออกมาจาก ตม. ฝั่งลาว ก็จะผ่านเข้าเมืองของเค๊านะคะ ซึ่งอาคารบ้านเรือนแถวๆ นี้ จะเป็นตึกทรงสมัยอาณานิคมเก๋ๆ เริ่ดๆ ที่ฝรั่งเศสทิ้งร่องรอยไว้ให้มากมายนะคะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นอาคารราชการและโรงพยาบาลค่ะ

ชอบจริงๆ ตึกเก่าๆ เก๋ๆ แบบนี้ ทาสีเหลืองมัสตาร์ด ประตูและหน้าต่างเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกันฉึบฉับแสบทรวงจริงๆ กิ๊ปเก๋ซะไม่มีอ่ะค่ะ

แต่จริงๆ พอเลยออกไปหน่อย ก็จะเป็นบ้านเรือนที่เป็นไม้แหล่ะค่ะ ไม้ดีๆ ทั้งนั้น ขนาดบ้านโทรมๆ เล็กๆ ยังดูรู้เลยว่าใช้ไม้ดีปลูกบ้าน ลาวมีป่าไม้เป็นทรัพย์ค่ะ


เสียดายจังที่เรามาเร็วไป 1 วันค่ะ เพราะวันพรุ่งนี้ (2 ธันวาคม) เป็นวัน ครบรอบ 30 ปี วันชาติลาว ค่ะ เค๊าติดธงทิวกันทุกบ้านเลย




หลังจากนายบุนสี ขับรถออกมาสักแปร๊บนึง ก็มาแวะที่บ้านญาติลุงสมพงษ์ก่อนค่ะ นายเวียงแวะเอาตังค์กีบลาวที่บ้านด้วยค่ะ เพราะเราไม่ได้แลกเงินกีบไป ตาเวียงสุดหล่อจะออกเงินกีบให้เราก่อน แล้วค่อยมาคิดบัญชีกันตอนกลับค่ะ

แหม๋ ในบ้านกำลังตั้งวงญาติมิตรเล่นไพ่กันครึกครื้นเลยนะคะ


……………….


ตอนรอในบ้าน เห็นแม่หญิงลาวคนนี้พึ่งคลอดลูกใหม่ๆ ลูกอ่อนโดนบังอยู่ข้างหลังนะคะไม่เห็นในภาพ ส่วนเด็กคนเสื้อแดงนี่คงจะคนโตน่ะ เราว่าแปลกเพราะเราพึ่งเคยเห็นการ “อยู่ไฟหลังคลอด” ชัดๆ แบบนี้เอง เค๊านอนบนแคร่ไม่ไผ่ แล้วมีฟืนรุมๆ อยู่ข้างล่างพร้อมกับมีหม้อต้มน้ำร้อนไว้ตลอดเวลาน่ะค่ะ

เอ แม่หญิงนี่จะเป็นเมียตาเวียง หรือตาบุนสีสุดหล่อหรือเปล่าก็ไม่รู้แฮ๊ะ ลืมถาม อิอิ




ถามสุดหล่อเวียง ว่าจะพาเราไปไหนเป็นที่แรก เวียงบอกว่าไป “ถ้ำปลาฝา” กันก่อนค่ะ ปลาฝา แปลว่า “ตะพาบน้ำ” นะคะ เคยมีคนเจอตะพาบน้ำตัวยาว 2 เมตรที่หนองน้ำใต้ถ้ำนี่ เลยชื่อถ้ำปลาฝา ค่ะ

จากตัวเมืองที่เราเริ่มต้น จนไปถึงถ้ำปลาฝานี้ เป็นระยะทาง 30 กิโลฯ ค่ะ และที่สำคัญ เป็น 30 กิโลฯ ที่เป็นทางลูกรังล้วนๆ ค่ะ กรี๊ดดดดดดดดด ทำไมไฮโซแบบนี้ค๊า

แต่มาถึงแล้ว ใครกลัวกันล่ะเนี่ยะ คิกคิก ก็ได้แต่คอยเอามือปิดหน้าเวลามีรถแซงหรือวิ่งสวนผ่านไปแล้วฝุ่นแดงมันตีคลุ้งน่ะ เหอเหอ เริ่ดซะไม่มีอ่ะ




ตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำปลาฝานี่ คือ “บ้านนาข้างช้าง” นะคะ ค่อนข้างจะโดดเดี่ยวมาก ไม่มีบ้านคนเลย เรามานี่ไม่ได้จะมาดูตะพาบน้ำนะคะ อิอิ มาดูสิ่งสำคัญกว่านั้นค่ะ


เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2547 นี้เอง ได้มีการพบถ้ำแห่งนี้ครั้งแรกค่ะ ภายในถ้ำที่ว่านี้ มีพระพุทธรูปโบราณล้ำค่าเป็นจำนวนนับร้อยๆ องค์ มีทั้งพระพุทธรูปที่ทำด้วยทองคำ เงิน ไม้ หิน และใบลาน กับทั้งยังมีวัตถุโบราณจำนวนมากวางเรียงกันอยู่ในถ้ำนี่ค่ะ น่าตื่นตาตื่นใจมาก




ถ้ำที่พบพระอยู่บนหน้าผาสูง ซึ่งโดยปกติแล้วไม่เคยมีใครเข้าไปเป็นเวลานานนับร้อยๆ ปี มาแล้วนะคะ ชาวบ้านที่ไปพบถ้ำนี้เล่าว่าวันที่พบถ้ำเห็นค้างคาวใหญ่บินออกมาจากหน้าผา หลังจากหาทางขึ้นอยู่นานจึงได้พยายามไต่ไปตามเถาวัลย์ขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตรงนั้นขึ้นไปดู ก็พบว่ามีถ้ำ พอคลานเข้าไปก็เห็นพระพุทธรูปประดิษฐานเรียงรายกันอยู่ในถ้ำ ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงาม

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ของแขวงคำม่วนในตอนนั้นทีเดียวเชียวล่ะค่ะ




เราได้ปีนขึ้นไปไหว้พระในถ้ำนั่นค่ะ ซึ่งมีการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามถ่ายรูปเด็ดขาดค่ะ จึงไม่มีภาพภายในถ้ำมาฝากกัน สามภาพนี้ถ่ายจากตรงลานหน้าทางขึ้นถ้ำน่ะค่ะ อารมณ์ประมาณเหมือนลานจอดรถตามโบราณสถาน แล้วมีแม่ค้ามาตั้งร้านขายของนักท่องเที่ยวน่ะค่ะ

แต่ของที่ขายน่ากลัวไปนิ๊สนึง อิอิ ประมาณพวกงูดอง ไม้ป่าหายากไว้สำหรับทำยา หรือดองเหล้า สมุนไพรต่างๆ รังผึ้งสดๆ และตัวกระรอกย่างค่ะ




หลังจากนั่งพักกันแถวๆ เชิงเขาจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็ควบสกายแล็ปโต้ลูกรังปุเลงๆๆ กินฝุ่นดินแดงกันมาอีก 30 กิโลฯ เพื่อเข้าเมืองไปหาอะไรทานกันที่ “ตลาดสุขสมบูรณ์” ค่ะ

ตลาดนี้ก็เป็นเหมือนประมาณชุมทาง-ท่ารถอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ เห็นมีรถจอดรอให้ขึ้นเพื่อไปถึงเวียดนามด้วย และก็มีร้านขายของอารมณ์ประมาณตลาดอินโดจีน น่ะค่ะ รองท๊งรองเท้า ยกทรง เสื้อผ้า ชุดทหาร ของเล่นเด็กๆ และสบู่แชมพูต่างๆ

เราแวะทานข้าวกันที่นี่ เราทานเฝอเนื้อ ส่วนลุงสมพงษ์และหนุ่มๆ ทั้งสอง สั่งเป็นก้อยกับข้าวเหนียวค่ะ ปั้นจกกันเป็นที่น่าเจริญอาหารจริงๆ ทานเสร็จ หนุ่มเวียงก็จ่ายเป็นเงินกีบไปก่อนค่ะ หลายหมื่นกีบอยู่ อิอิ




ทานอาหารแล้วต้องมีเครื่องดื่มเล็กน้อยค่ะ แทบจะเป็นโลโก้ของเมืองลาวไปซะแล้วเนี่ยะ อิอิ ใครๆ ก็รู้จัก “เบยลาว” ขวดละ 25 บาท หรือ 6,650 กีบลาวค่ะ


พูดถึงเบียร์ นึกถึงเมื่อคืนที่ฝั่งไทยค่ะ หลังทานอาหารที่ร้านลุงซึ่งมีสองหนุ่ม วง กับ โส มานั่งคุยและเป็นเพื่อนดื่มเบียร์ด้วยกันนั้น เราเข้าไปดื่มกันต่อที่ตรงเก้าอี้นอนของโรงแรม ตรงระเบียงใกล้สระว่ายน้ำ ริมแม่น้ำโขงค่ะ น้ำโขงนิ่งและสงบราบเรียบราวแผ่นกระจก มีเสียงเพลงแผ่วๆ ลอยตามลมมาจากฝั่งลาว ซึ่งคงเป็นร้านอาหารริมน้ำอะไรสักอย่าง แสงไฟจากฝั่งลาวเป็นประกายพราวระยับอยู่ริมโขง อากาศเริ่มหนาวกำลังดี เรามีผ้าผวยไหมทอมือเก๋ๆ จากอำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ มาห่มไหล่พองาม ดูไฮโซ๊ไฮโซ คิกคิก

ดริ้งค์กันไป ชมดาวไป คุยกันไปกับสองหนุ่มจากฝั่งลาวนั่น จุ๊กๆ จิ๊กๆ น่าโรแมนติกไม่หยอก คุยไปคุยมาวกมาเรื่องวัดพระแก้วได้ไงไม่ทราบ เลยพาลคุยไปถึงเรื่อง พระแก้วมรกต ว่าเป็นของใคร ไทยหรือลาว คุยไปคุยมากลายเป็นเถียงกันแย่งความเป็นเจ้าของเท่านั้นแหล่ะค่ะ สาวไทยกับหนุ่มลาวก็เลยวงแตกแยกกันกลับขึ้นไปนอน

กร๊ากกก




ออกมาจากตลาดสุขสมบูรณ์ นายบุนสีพาเราไป “วัดจอมทอง” ค่ะ ซึ่งก็เป็นวัดใหญ่ และสำคัญของที่นั่น เห็นว่าเป็นวัดที่มีเณรมากที่สุด จะเป็นโรงเรียนของเณรโดยเฉพาะด้วยหรือยังไงก็ไม่ทราบ แต่เยอะจริงๆ ค่ะ

ส่วนข้างๆ วัด เป็นโรงเรียนเด็กเล็กๆ ฝาเป็นไม้ไผ่ ไม้กั้นระหว่างห้องแตกขาดเป็นรูโหว่ กระดานดำวิ่นๆ หลังคาสังกะสี เห็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันเต็มไปหมด เลยเข้าไปขอคุณครูในนั้นถ่ายรูปค่ะ คุณครูก็ใจดีอนุญาต น่ารักที่สุด




และที่น่ารักมากๆ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ก็คือน้องๆ เด็กๆ ลาวนี่น่ารักมากๆ และคงจะชอบเข้ากล้องไม่น้อย เพราะแป๊บเดียวเท่านั้น รุมเข้ามาในห้องเรียนห้องนี้เต็มไปหมด น่าจะประมาณ 50 กว่าคน แย่งกันเข้ากล้องทั้งนั้น ไม่มีการอายใดๆ เลย พอถ่ายเสร็จส่งให้ดูภาพจากหลังกล้อง แย่งกันดูก็หัวเราะคิกๆ คักๆ ม่วนกันขนาด




ตอนถ่ายไป ก็คุยไป รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง แต่ก็เข้าใจกันได้ดี วัดได้จากรอยยิ้มและการรุมกันเข้ากล้อง ผลักเล่นกันหน้าแทบทิ่มเข้ามาในเลนส์เลยล่ะค่ะ อิอิ แถมตอนจะกลับ ยกโขยงทั้งขบวนมาโบกมือส่งถึงรถเลยล่ะค่ะ เราเลยลืมตัวไปช่วงหนึ่ง นึกว่าเราเป็นนางงามจักรวาล “พี่โป๋ยรักเดะๆ ค่ะ” คิกคิก


ขอให้เติบโตขึ้นเป็นคนที่แข็งแรง และมีความสุขนะคะน้องๆ




แล้วเราก็เดินทางต่อไปยังสถานที่สำคัญที่สุดอีกที่หนึ่งของแขวงคำม่วนกันนะคะ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ และเป็นที่รู้จักกันดีของคนลาวและคนไทย คือ “พระธาตุศรีโคตรบอง” ค่ะ ห่างออกไปจากตัวเมืองท่าแขกประมาณ 6 กิโลฯ ค่ะ

คนลาวเรียกที่นี่ว่า “ทาดสีโคด” เราเข้าไปไหว้พระขอพร และเสี่ยงเซียมซีกันด้วยค่ะ โดยคำทายจะเขียนเป็นภาษาลาวไว้ที่ผนัง เราอ่านเองไม่ออก ต้องให้นายเวียงมาอ่านและตีความให้ฟัง ซึ่งก็ออกมาดีๆ กันทั้งสามคน คิกคิก สมพรปากรับไว้ค่ะ


อันที่จริงการที่ “ได้มา” เที่ยวในทริปครั้งนี้ ก็เหมือนคำพรที่ดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ การได้มาเที่ยวกับเพื่อนสนิทที่เข้าใจกัน ท่ามกลางมวลมิตรที่เป็นผู้แปลกหน้าต่างชาติต่างภาษาในเวลาอันสั้นๆ แต่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน ณ เวลาหนึ่ง ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีก




เราปิดทริปของการท่องเที่ยวครั้งนี้กันที่ “ทาดสีโคด” นี่ค่ะ จัดการจ่ายเงินไทยคืนให้นายเวียงเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าบายศรีดอกไม้และธูปเทียนสำหรับไหว้พระ และค่าเข้าชมถ้ำเป็นเงินทั้งหมด 600 บาท และค่ารถ + น้ำมัน 400 บาท และแถมให้ไปอีกคนละ 100 บาท รวมแล้วใช้เงินไปทั้งหมดวันนี้เป็นสกุลเงินกีบ 345,800 กีบค่ะ ดูร๊วยรวย ไฮโซ๊ไฮโซ เนอะอ้ายเนอะ


ขอบคุณนะคะทีมงาน “ลุงสมพงษ์ โปรโมชั่น แอนด์ หลานๆ” สำหรับมิตรภาพทั้งหมดทั้งมวลที่มีจากช่วงเวลาแห่งการพบกันสั้นๆ ในชีวิต ไม่ได้ให้สัญญาไว้ว่างานไหลเรือไฟตอนออกพรรษาปีหน้าจะไปเยือนนครพนมอีกหรือเปล่า

แต่เมื่อคืนนี้แอบได้ยินคุณนงค์นารีกระซิบเบาๆ กับน้องโส สุดหล่อ ว่าเดือนเมษายนพอสันทรายในแม่น้ำโขงโผล่ในปีหน้า จะมาเจอกันนะจ๊ะ ฮี่ฮี่ฮี่ ...




เมื่อปล่อยวางหัวใจดวงเดิมที่จากเราไปแล้ว ก็ไม่เหลือหัวใจใดๆ ไหนอื่นที่จะต้องตามหาอีก...

ขอบคุณพจน์และนงค์เพื่อนรักนะคะ ที่ร่วมทริปด้วยกันอย่างมีความสุข
ม่วนซื่นจริงๆ

ขอบคุณใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มทุกใบหน้าทั้งที่นครพนม และแขวงคำม่วนค่ะ


ถึงการเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้ศิวิไลซ์โก้เก๋ แต่ออกจะขรุขระ ทุรกันดาร กระเด็นกระดอนและเปื้อนไปด้วยฝุ่นแดงเสียด้วยซ้ำ แต่เราได้รับรู้แล้วล่ะ ว่าการที่เราจะเปลี่ยนฝุ่นผงพงป่า ให้กลายเป็นพนาสวรรค์ ก็ด้วย “มิตรภาพและรอยยิ้ม” เท่านั้น...


เพียงแค่นี้...สวรรค์บนดิน ก็เหมือนจะมาอยู่เหนือสองฝั่งฟากแม่น้ำโขงนี่เอง





หากต้องการชมกระทู้ภาพใหญ่เต็มๆ คลิ๊กที่นี่นะคะ

……….........…….


ขอได้รับความขอบใจหล๊ายยยยย หลาย จาก มหาเทวี โปรดักชั่น อิอิ
จะคิดฮอดสูเจ้า จนกว่าเฮาสิมาผ่อกันใหม่...

ส ะ บ า ย ดี ค่ ะ



Create Date : 13 ธันวาคม 2548
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2549 6:46:19 น. 11 comments
Counter : 1155 Pageviews.

 
ตามไปเที่ยวด้วยคนนึงครับ
ภาพสวยคอมชัดเล่าเรื่องเที่ยวได้สนุกมากๆ เยี่ยมๆ


โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:14:33:25 น.  

 
รูปสวยมากมากครับ อ่านแล้วอยากไปเลยอ่ะ


โดย: L-twin วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:14:33:52 น.  

 
ม่วนซื่น ม่วนซื่น


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:14:36:46 น.  

 
ชอบจังเลยค่ะ ตั้งกะตอนที่แล้วถึงตอนนี้ ดูน่าสนุก มีความสุขจริงๆ นะคะ .....


โดย: หนูชล วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:14:55:07 น.  

 
มันส์ และลุยมั่กๆๆค่ะเจ้าป้า..น่าอิจฉาจริงๆๆ

เดี๋ยวไปตามรอยมั่ง


โดย: ธูปหอมเทียนสว่าง วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:15:48:48 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยคนค่า ^^



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:16:25:19 น.  

 
ม่วน อีหลี..ครับ....


โดย: ดีใจที่ได้เจอ (ตี๋265 ) วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:17:25:27 น.  

 
อ่านไปขำไปค่ะ .... แอบลุ้นอยู่น๊อว่าจะมีรูปหนุ่มหล่อ
หน้าตาคมสันมาฝาก อ่ะไม่ยักมีเลยค่ะ ...แต่เดี๋ยวไป
ตามดูรูปกระทู้รูปใหญ่อีกรอบนะค่ะ ... เรื่องราวชวน
สนุกอยากไปเที่ยวจังเลยค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 13 ธันวาคม 2548 เวลา:21:02:16 น.  

 
เกือบจะได้ไปท่าแขกเหมือนกัน แต่เวลาไม่พอ ก็ขอบคุณที่มาลงร้อยเรื่องราว ที่ pantip รูปใหญ่กว่าเน้อ

ปล. หนุ่มลาวคมจริงอ่ะๆๆๆ


โดย: noom_no1 วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:0:26:38 น.  

 
แอบมาเที่ยว blog นี้บ่อยๆ
วันนี้ก็เป็นอีกครั้งนึง

ที่มาเที่ยวไปพร้อมกับ blog นี้


โดย: jukklu วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:16:29:32 น.  

 
ขอบคุณทุกท่านมากๆ นะคะ ที่แวะเวียนชมภาพและทักทายกัน




..................


โดย: กำปงพิราเทวี วันที่: 15 ธันวาคม 2548 เวลา:1:36:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กำปงพิราเทวี
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ สำหรับ
2 รางวัลใน BlogGang Award #2









Creative Commons License

ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย.
Friends' blogs
[Add กำปงพิราเทวี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.