[Japan Diary] เมื่อเครื่องบินลงจอด..
เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินนาริตะตอนเวลา 3 โมง
สิ่งแรกที่เราเรียนรู้จากหน้าต่างเครื่องบินคือ เวลา 3 โมงที่ญี่ปุ่นช่วงนี้ ช่างเหมือนเวลา 5 โมงเย็นบ้านเราเสียเหลือเกิน
นอกจากเวลาที่ไวกว่าบ้านเราไป 2 ชม. แล้ว ท้องฟ้าที่ญี่ปุ่นก็เร็วกว่าบ้านเราเหมือนกันแฮะ
....
พอลงจากเครื่องบิน เราก็เลือกเดินตามผู้โดยสารส่วนใหญ่ไป แน่นอนว่าทุกคนต้องมุ่งหน้าไปยังจุดตรวจคนเข้าเมืองแน่ๆ
และนี่คือด่านที่ประชาชนชาวไทยผู้ไม่มีวีซ่าไปก่อนหวาดกลัว
เอาเข้าจริงถึงพาสปอร์ตจะประทับตราว่าเราไปเที่ยวมาหลายที่แล้วนะ แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวแน่ๆ มาแป๊บๆ เดี๋ยวเราก็กลับไทยแล้ว เป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ ไม่โรบินฮู้ดแน่ๆ
ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเราจะผ่านตม.ได้อย่างสวยงาม
พอถึงคิวเราที่ต้องยื่นใบ immigration ให้กับตม.
ตม.ก็ทำหน้างง พร้อมกับวงไปที่ที่อยู่เราในใบขาเข้าญี่ปุ่น
ที่อยู่ที่เราเขียนไปเขียนว่า "Bamboo Apartment" รึคุณตำรวจคงจะสงสัยว่า นักท่องเที่ยวทำไมไม่พักโรงแรม แย่ล่ะ...
ก็อธิบายไปว่า เป็นที่พักที่เราจองจากเวปไซต์ชื่อ airbnb .........
พออธิบายไปแล้วก็อ้าว...แล้วคุณท่านจะรู้จัก airbnb มั้ยนะ
(แล้วก็มาตกใจว่า อ้าวอิ airbnb นี่มันจะน่าเชื่อถือเหมือน agoda/ booking.com มั้ยหว่า)
ตม.ก็ทำหน้า งงๆ (แย่ล่ะ.......)
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ย..! เราพิมพ์ใบคอนเฟิร์มห้องมา เลยยื่นให้คุณ ตม.แทนการตอบคำถาม
ท่านตม.ก็ชี้ไปที่รูป host แล้วถามว่านี่คือใคร เราก็บอกว่า
- นี่ไง คนในรูปคือเจ้าของห้องพักของเราไง
- นี่ไง มีชื่อ ที่อยู่เจ้าของห้อง มีเบอร์โทร.ด้วย
( คิดในใจว่า นี่ไงถ้าเปิดไปอีกหน้าจะมีราคาค่าห้องที่จ่ายไปด้วยนะ ไม่ได้พักฟรีนะจ๊ะ ไม่ได้รู้จักใครจ๊ะ ไม่โรบินฮู้ดเลยนะ)
ท่าน ตม.ก็จดอะไรขยุกขยิกลงบนใบขาเข้า แล้วก็แปะสติ๊กเกอร์ลงบนพาสปอร์ต
เย้..! เป็นช่วงเวลา 2 นาทีที่หวาดเสียวมาก (คือค่าตั๋วหนูแพง ให้หนูเข้าเหอะ please...)
*บทเรียนที่ควรจำ คราวหน้าต้องพิมพ์ไปจองโรงแรมติดไปด้วย และเก็บไว้ในที่ที่หยิบได้สะดวก
เมื่อผ่าน ตม.มา สบายใจล่ะ แต่ยังมีภารกิจที่ต้องทำต่อใน สนามบินอีก
1. ต้องหาซื้อ JR Kanto Pass ที่ JR East Service Center
อันนี้ไม่มีปัญหา Kanto Pass สามารถเดินไปซื้อได้เลยทันที
ปัญหาอยู่ที่ JR East อยู่ตรงไหน ?
เดินไปสอบถามตรง information เจ้าหน้าที่ทำหน้างงเล็กน้อยแต่ก็ตอบด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นว่า ให้เราลงบันไดลงไปชั้นล่างสุดจ๊ะ
และที่สุดปลายบันไดเลื่อนก็จะมีคุณป้าญี่ปุ่นที่แต่งตัวเหมือนแม่บ้าน คอยบอกทุกคนที่ลงบันไดเลื่อนว่า
"ขอบคุณมากค่ะ" "ระวังกระเป๋านะคะ" (โปรดทำเสียงและท่าทางนอบน้อมแบบคนญี่ปุ่น)
เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สร้างความประทับใจได้จริงๆ (แม้ตอนหลังเราจะขึ้นลง 2-3 รอบ จนคุณป้าแค่ยิ้มๆ แทนล่ะ )
เมื่อลงบันไดมาชั้นล่างสุดก็จะเป็นโซนรถไฟออกจากสนามบิน ข้างๆ มี JR Service Center ที่มีคนต่อแถวยาวเฟื้อยรออยู่
JR Kanto Area Pass ราคา ใบละ 8300 เยน ต้องระบุวันที่ใช้และต้องใช้ติดต่อกัน 3 วัน
หน้าตาก็จะเป็นกระดาษมี 4 หน้า
แล้วก็มีรายละเอียดพวกการใช้งานและแผนที่เส้นทางที่ใช้คันโตพาสได้
ตัวบัตรด้านนี้คือด้านที่เราต้องโชว์ จนท.
พอได้ Kanto Pass แล้วก็จองที่นั่ง JR ไปเลยที่นี่ก็ได้ สะดวกดี เพื่อความรวดเร็ว (ต่อตนเองและผู้ที่ต่อคิวด้านหลัง) เราว่าน่าจะทำโน้ตจด วันที่ เวลา และสถานีต้นทาง-ปลายทาง ยื่นให้ จนท.เลย
หน้าตาบัตรจอง JR จะมีกี่สิบเที่ยว จนท.ไม่ว่า เอากันเต็มที่เลยจ้า
นอกจากบัตรเบ่ง JR แล้ว ยังสามารถหาซื้อบัตรสารพัดประโยชน์อย่าง Suica ได้ที่นี่อีกด้วย (ที่จริงเราแอบปันใจไปให้ความน่ารักของบัตร passmo มากกว่าหน่อยนึง แต่เพื่อความสะดวกเลยซื้อเจ้าเพนกวินซุยกะที่นี่เลย)
บัตร Suica ราคา 2,000 ¥ แบ่งเป็นค่ามัดจำ 500¥ และใช้ได้จริง 1500¥
เอาไว้สำหรับขึ้นรถไฟ จ่ายเงินร้านสะดวกซื้อ หรือจ่ายเงินที่ตู้กดน้ำก็ได้ (เพราะบางทีเราไม่มีเหรียญพอก็สะดวกดีนะ)
2. ไปไปรษณีย์เพื่อไปรับซิมมือถือที่สั่งซื้อเอาไว้
ถึงที่พักเราจะมี pocket wi-fi ให้ใช้ฟรีๆ ตลอดการเดินทาง แต่เราก็ยังคิดว่ามีอินเตอร์เน็ตเผื่อไว้บ้างก็น่าจะดี เราเลือกแบบใช้งานได้ 1 GB สั่งซื้อทางเน็ตแล้วไปรับที่ไปรษณีย์ที่สนามบินได้เลย หรือบางคนจะให้ส่งไปที่ โรงแรมก็ได้แล้วแต่สะดวก ไปรษณีย์ที่สนามบินนาริตะเทอร์มินอล 2 อยู่ชั้น 3 ชั้นเดียวกับเคาร์เตอร์เช็คอิน
3. หาเคาเตอร์ที่ขายบัตร Tokyo Metro & Toei Subway pass
หน้าตาแบบนี้
แต่หลังจากเดินขึ้น-ลง อยู่หลายรอบก็ไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหน เลยตัดใจ ไว้ไปซื้อ 1 day pass เอาก็ได้ (แม้อันนี้จะถูกกว่า ) ใครรู้ว่าซื้อที่ไหนบอกพิกัดเค้าหน่อยนะ
หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจในสนามบินเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้าที่พักกันเสียที
ที่พักของเราไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง แต่อยู่ในย่านชานเมืองหน่อย สามารถไปได้ด้วยรถไฟสาย Keisei หรือก็คือสายเดียวกับทางไปสนามบินเนี่ยแหละ
ดังนั้นไม่น่าจะยาก แต่เราก็นั่งผิดสาย โธ่! คือเราควรจะต้องนั่ง sky-access แล้วเราก็จำแต่ sky นี่แหละ ผลคือ ข้าพเจ้าดันไปนั่งสาย Skyliner จ้า (Skyliner คือรถไฟด่วน จอดแค่ 3 สถานีและมุ่งเข้าสู่ใจกลางเมืองโตเกียว)
1.) อิสกายไลเนอร์นี่ด้วยความเป็นรถด่วน มันจึงแพงที่สุด (ดีค่ะ หลงทั้งที หลงไปในเส้นที่แพงที่สุดเลยจ๊ะ)
2.) ยังไม่พอจ้า นอกจากนางจะหลงไปในรถที่แพงที่สุด นางยังหลงไปเข้าตู้จอง ซึ่งอิตู้จองนี้ที่นั่งจะแพงกว่าปกติเป็นพันๆ เชียวจ้า (ดีค่ะ จะจ่ายแพงต้องจ่ายให้สุด)
ทีนี้เรารู้ตัวได้ว่าขึ้นรถไฟผิดเพราะเราไปนั่งที่นั่งจองของพ่อหนุ่มจี้ปุ่นคนนึงเข้า เราเลยเอะใจว่า เอ....รถไฟธรรมดามันไม่มีตู้จองนะ (ข้าพเจ้าเพิ่งสำนึก ณ ตอนนั้นเองว่า ผิดสายแหงๆ)
เลยถามพ่อหนุ่มจี้ปุ่นว่า นี่รถไฟสายสกายไลน์เนอร์ใช่มั้น (- คำตอบคือใช่) แทบกรี๊ดเลยจ้า...
ทีนี้ต้องมาเปิดไกด์บุ๊คว่ารถไฟคันนี้จะไปจอดที่ไหน สถานีที่จอดใกล้สุดคือ สถานี Nippori (ไว้ลงสถานีค่อยหาทางคลำไปที่พักเอา)
แต่ประเด็นที่กังวลตอนนั้นคือ เรานั่งตู้จอง..
ตู้จองต้องมีตรวจตั๋ว และตู้จองต้องแพง และเราไม่ได้จอง เราจะโดนปรับไหมหว่า... แล้วถ้าปรับต้องแพงแหงๆ เลย
โอ๊ย.. ตอนนั้นคือกังวลมาก (กลัวตังค์หมดก่อนวันอันควร )
ที่จริงแล้ว ระหว่างตู้จะมีประตูที่สามารถเปิดไปตู้อื่นได้ แต่ตอนนั้นเราคิดว่าประตูตู้จองนี่มันต้องล็อคและเปิดออกไม่ได้แน่ๆ (ความจริงคือ ประตูเปิดได้ และง่ายมาก * อันนี้สำหรับคนที่ขึ้นผิดตู้ เราก็แค่เปิดประตูแล้วย้ายไปนั่งตู้ที่ถูกต้องแค่นั้นเองจ่ะ)
และแล้ว นายตรวจก็มา เราเลยอธิบายว่า นี่ ..เราใช้ Suica แล้วมันก็ให้เราเข้ามาได้ แล้วเราก็ขึ้นผิดสาย เราควรจะขึ้นสายสกายเอสเซสตะหาก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าตู้นี้เป็นตู้จอง
นายตรวจ (ผู้ที่น่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้มาเป็นร้อยๆ รอบ) กล่าวด้วยร้อยยิ้มอันอารีว่า "โอ...โอเคจ๊ะ รถไฟคันนี้จะสิ้นสุดที่ UENO ส่วนสถานีหน้าคือสถานี Nippori จะใช้เวลาราว 43 นาที ส่วนตู้นี้เป็นตู้จอง ถ้าคุณจะนั่ง ก็แค่จ่ายค่าจองมา 1,230 เยนเท่านั้นเองจ๊ะ"
ติ๊ง! เสียงในหัวดังเหมือนพบทางสว่าง และแล้วปัญหาความกลุ้มใจที่นั่งรถไฟผิดสายและผิดตู้ก็แก้ไขได้ด้วยเงิน ทุนนิยมจงเจริญ!
ถ้าไม่นับเรื่องที่นั่งผิดสาย ตู้นี้ก็ดีนะเป็นตู้จองที่นั่งสบายดี มีที่เสียบสายชาร์ตแบตด้วย แถมเร็วอีกต่างหาก เหมาะกับคนที่พักใจกลางเมือง เพราะถ้านั่งรถไฟธรรมดาก็ชั่วโมงกว่าแหน่ะ ถ้าไม่ได้นั่งผิดสายเราก็คงไม่ได้ลองนั่งรถไฟแบบนี้หรอกเนอะ
ที่สถานี Nippori ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงกว่าๆ แต่ท้องฟ้ามืดตื๋อ
(รูปแรกที่ถ่ายที่แผ่นดินญี่ปุ่น ขณะต่อแถวหาทางกลับไปสถานีแถวที่พัก)
การกลับหาที่พักไม่ยากอย่างที่คิด เพราะยังไงก็ตามเราก็ยังอยู่ในเส้น Keisei
ที่สถานี Keisei-Tateishi อันเป็นสถานีเป้าหมาย อากาศด้านนอกเย็นเฉียบ พยากรณ์อากาศในมือถือบอกว่า 17 องศา (ซึ่งเราคิดในใจว่ามันต้องต่ำกว่านั้นแน่ๆ )
สถานีนี้น่าจะเรียกว่าเป็นชุมชนชานเมือง คนส่วนใหญ่ก็กำลังปั่นจักรยานบ้าง เดินกลับบ้านบ้าง
เราก็ลากกระเป๋าไปตามแผนที่ ที่host ให้มา เสียงล้อบดกับถนนดังจนเราเริ่มรู้สึกเกรงใจชาวบ้านเลยแฮะ
ผ่านศาลเจ้า โรงเรียนอนุบาล คลินิกเด็ก คลินิกหมอฟันสำหรับเด็ก (แถวนี้เป็นย่านเด็กรึ)
จนกระทั่งถึงประตูสีแดงอันเป็นที่พักของเราในคืนนี้ (ภาพประตูเอามาจากเว็บ airbnb)
สำหรับวันแรก เราตื่นเต้นมามากพอแล้ว คืนนี้คงพักผ่อน เดินหาของกินแถวที่พัก พรุ่งนี้ค่อยสำรวจเมืองโตเกียวกันต่อ ติดตามได้ในตอนต่อไปนะจ๊ะ..
Create Date : 11 ธันวาคม 2557 |
Last Update : 17 ธันวาคม 2557 16:32:31 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1645 Pageviews. |
|
|
ชอบที่บอกเรื่องท่าทางนอบน้อมของเจ้าหน้าน่ะค่ะ
ชื่อของที่พักนี่ ดูเหมือนไม่ใช่ที่พักจริงๆแหละ ดีนะที่เอาไปจองไปยืนยันด้วย