โลกของคคนานต์
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

Private Love ตอนที่ 8

-8-




ทันทีที่รถถึงที่หมาย ตาคู่สวยก็ถูกเบิกขึ้นจนโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นสถานที่ๆ นายเวหาเลี้ยวรถเข้ามาอย่างชัดเจน

“นี่คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?!”

“อ่อ...พอดีผมง่วงเลยขับรถผิดทางไปหน่อย” เวหาหันมายิ้มเผล่ แล้วยักคิ้วกวนๆ ใส่เธออีกครั้ง “คุณน่าจะดีใจนะที่ผมไม่ได้พาคุณไปโรง’บาล” ชายหนุ่มเท้าคางไว้ที่พวงมาลัยจ้องมองเธอด้วยประกายตาระยับเจ้าเล่ห์

“แต่มาคลินิกเนี่ยนะ!”

“เอาน่า...ไม่ใช่โรง’บาลสักหน่อย”

“แต่มันก็มีหมอเหมือนกันนั่นแหละ”

“อ้าว...ตกลงกลัวอะไรกันแน่ครับคุณหอม หมอหรือโรงพยาบาล”

“ใครว่าฉันกลัว ฉันแค่เห็นว่ามันไม่จำเป็นต้องมาต่างหาก” คนกลัวหมอปฏิเสธเสียงแข็ง

“อ๋อ...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพยักหน้ารับรู้ “ผมเข้าใจผิด?” เวหาเหลือบมองเสี้ยวหน้าดื้อรั้นของหญิงสาวน้อยๆ พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ใช่! คุณเข้าใจผิดไปเอง พาฉันกลับบ้านได้แล้ว” เธอออกคำสั่ง ใช้นัยน์ตาดุเชิงบังคับอย่างที่เคยใช้ได้ผลทุกครั้งกับน้องชาย โดยลืมคิดไปว่า...เขาไม่ใช่น้องชายของเธอ...

นอกจากจะไม่ทำตามคำสั่งแล้ว นายเวหายังเดินลงจากรถหน้าตาเฉย อ้อมมาเปิดประตูรถตรงฝั่งเธอออกกว้าง
“ถ้าไม่กลัวหมอก็ลงไปตรวจก่อนสิครับ”

“บอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น เสียเวลาเปล่าๆ ฉันมีงานต้องทำอีกตั้งเยอะ!” ไม้หอมตวาดเสียงใส่คนตรงหน้าเมื่อถูกขัดใจ พลางดึงประตูปิด

ทว่ามันกลับถูกยึดเอาไว้ จนไม่ขยับเขยื้อน
“นี่ปล่อยสิ แล้วพาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

“ยังกลับไม่ได้!” เสียงทุ้มต่ำที่ดังเน้นทุกคำชัดทำให้ไม้หอมต้องตวัดสายตาขุ่นขึ้นมองดวงหน้าคมที่มีแววจริงจังกว่าตอนที่หยอกเธอเล่นมากนัก และคำพูดที่ตามมาก็ทำให้เธอหาทางโต้ตอบเขาไม่ได้สักคำ

“ตอนนี้ผมไม่สนว่าคุณจะกลัวหมอหรือโรงพยาบาล แต่ผมกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า และถ้าคุณพอจะเข้าใจความเป็นห่วงของทุกคนที่มีต่อคุณ ผมว่าคงไม่เป็นการเสียเวลาถ้าจะทำสิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อความสบายใจของคนอื่นนะครับ”

เธออยากไม่เข้าใจ แต่ดันเข้าใจมันป็นอย่างดี...

ห่วงเหมือนที่เธอห่วงน้องชาย ห่วงเหมือนที่เธอห่วงใยลูกศิษย์ และห่วงเหมือนที่เธอเป็นห่วงทุกคนที่รักและผูกพัน...
ขึ้นชื่อว่าความเป็นห่วง มันถ่วงหนักอยู่ในใจไม่คลาย...

หญิงสาวจ้องตาคู่เรียวที่มองมาที่เธออย่างนึกประท้วง...ไม่มาเป็นเธอก็ไม่รู้หรอกว่าความกลัวมันเป็นยังไง แต่ถ้าเขาพูดแบบนี้แล้วเธอจะกล้าเห็นแก่ตัวทำลายความหวังดีของคนอื่นๆ ที่เขาอ้างได้อย่างไร

ไม้หอมจึงจำใจพยักหน้ายอมรับเบาๆ ด้วยสีหน้าดื้อดึง

เวหาอมยิ้มบางเมื่อเห็นท่าทางโอนอ่อนของหญิงสาว...ดีที่เธอพอจะเป็นคนมีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเค้นคิดกลเม็ดเด็ดๆ เอาไว้หลอกล่อเด็กดื้อจนปวดสมองแน่ๆ...

“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ไอ้หมอชัยเพื่อนผมมันมือเบา ฉีดยานี่แทบไม่รู้สึก เข็มก็ใช้เล่มเล็กๆ เหมือนของเด็กก็ได้อย่างมากแค่เจ็บจี๊ดๆ เหมือนโดนมดคันไฟกัดเท่านั้นเอง”

อีตาบ้า! อย่าบรรยายได้มั้ย ไม่ได้อยากฟัง!!!





เบื้องหลังม่านสีขาวที่ถูกกางกั้นเอาไว้บังสายตาของผู้อื่นตรงช่องประตู ไม้หอมเห็นร่างเงาของคนนับสิบที่มานั่งรอการตรวจรักษา ห้องสี่เหลี่ยมสีฟ้าหม่นที่เปิดไฟเอาไว้จนสว่างตาทำให้ความรู้สึกอึดอัดและหวาดหวั่นทุเลลงจนเหลือเพียงความผ่อนคลาย เธอจับตามองร่างสูงที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะตรงหน้าอย่างสำรวจ

ไปๆ มาๆ เธอก็โดนจับฉีดยาโดยชายหนุ่มหน้าตาผิวพรรณสะอาดสะอ้าน มีดวงตาเล็กเรียว จมูกโด่งเป็นสันแบบคนเชื้อสายจีน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้เธออย่างใจดี

“ผมฉีดยาแก้แพ้ให้แล้วสักพักอาการคงดีขึ้นนะครับคุณไม้หอม เดี๋ยวผมจะสั่งยาทานกับยาทาให้สักหนึ่งอาทิตย์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็กลับมาตรวจดูอีกทีนะครับ แล้วคราวหน้าให้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าแพ้ มันปลอดภัยกว่าเพราะไม่รู้ว่าอาการมันจะรุนแรงขึ้นหรือเปล่า”

ฟังแล้วไม้หอมนึกอยากบีบคอคนหวังดีที่เป็นต้นเหตุให้เธอเป็นอย่างนี้นัก หากคนที่ว่ายังต้องทำหน้าที่เป็นสารถีพาเธอกลับบ้านอีกนี่สิ
“แต่ฉันก็ไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้เลยนะคะคุณหมออย่างมากก็แค่ปากพอง ”

“ก็อย่างที่บอกไปล่ะครับ บางรายมีอาการก็รุนแรงมากจนอันตรายถึงชีวิต หรือบางรายตอนแรกๆ แพ้ พอตอนหลังมาไม่แพ้ก็มี แต่มีน้อยครับเพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงเอาไว้ก่อน” หมอหนุ่มบอกพลางจดรายละเอียดลงในระเบียนประวัติคนไข้

“นั่นสิ ไม่บอกแล้วจะรู้ได้ไงว่าแพ้พริก เห็นจ้อกับคุณแม่ว่าชอบนักชอบหนา” เสียงทุ้มที่ดังแทรก มาพร้อมกับเงาร่างดำๆ ที่พาดผ่านทางศีรษะ ไม้หอมแทบไม่รู้ตัวเลยว่านายเวหามายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่

“ฉันพูดเพราะอยากเห็นครูอารมณ์ดี แล้วถึงจะกินฉันก็ไม่กินเกือบหมดถ้วยอย่างที่คุณตักให้ฉันหรอก!” ตาคู่สวยช้อนขึ้นมองคนตัวสูงที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องตรวจ แล้วกอดอกจ้องเธอด้วยใบหน้ากวนอารมณ์

“นี่แหละโทษของคนโกหก” ว่าแล้วยักคิ้วใส่หน้ากวนลูกตาเธออีกหน

“นาย!” ริมฝีปากบางเม้มลงเมื่อหาทางตอบโต้ไม่ได้...แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่โกหกเพราะประสงค์ร้ายกับใครนะ!

“เฮ้ยๆ คุณไม้หอมเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะแพ้ขนาดนี้หรอก ของแบบนี้มันเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกัน” หมอชาญชัยพยายามแก้ต่างให้คนไข้ของตนเองด้วยรอยยิ้ม “นายน่าจะรู้ คุณน้อยก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ประโยคที่ตามมาทำเอาเวหานิ่งไปชั่วอึดใจ

คุณน้อย?

ชั่วแวบหนึ่งไม้หอมคล้ายจะเห็นดวงตาคมหม่นลง ก่อนที่เขาจะกลบเกลื่อนมันไปด้วยการฉีกยิ้มจนตาหยี “คร้าบๆ คุณหมอทราบแล้วคร้าบ แล้วตกลงเรียบร้อยแล้วใช่ไหมฉันจะได้พาคุณหอมไปส่งสักที?”

“รับยาที่หน้าเคาเตอร์แล้วกลับได้เลยครับ” หมออารมณ์ดีหันมาบอกเธอด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ เอ่อ...ขอถามอะไรหน่อยสิคะ?”

“ครับ?”

“ถ้าฉันพาเด็กมาฉีดยาที่นี่ เด็กก็จะไม่เจ็บเหมือนกันใช่ไหมคะ...เอ่อ...คือฉันเห็นว่าคุณหมอมือเบาดี แล้วเด็กที่ดูแลอยู่ก็ชอบร้องโวยวายเวลาต้องไปฉีดวัคซีนทุกที” ไม้หอมอธิบายเมื่อเห็นสายตาฉงนของชาญชัย

“หรือครับ?” หมอหนุ่มยังไม่คลายความสงสัยบนใบหน้าลง

“เอ๊ะ! หรือเป็นเพราะคุณหมอใช้เข็มฉีดยาเด็ก ฉีดยาให้ฉันคะ?”

ทันทีที่ได้ยินคำถาม ชาญชัยก็หันหน้าไปมองตัวการที่ชอบทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิด แล้วอมยิ้มขำ
“คุณหมอหัวเราะอะไรคะ?!”

“คุณไม้หอมคงโดนเวหามันหลอกเอาแล้วล่ะครับ ผมไม่เอาเข็มเด็กฉีดยาให้ผู้ใหญ่หรอกครับเพราะมันไม่มีประโยชน์ มันใหญ่กว่ากันไม่ถึงศูนย์จุดสองมิลด้วยซ้ำไป ความรู้สึกคงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกครับ แต่ที่ไม่รู้สึกเจ็บมากนัก คงเพราะอุปาทานไปเองมากกว่า ผมว่า...วิธีนี้ได้ผลนะ เวหาหลอกมาหลายคนแล้ว ก็บอกไม่เจ็บเหมือนคุณไม้หอมทุกราย” ว่าแล้วคุณหมอก็กลั้วหัวเราะเสียงดัง จนคนฟังหน้าม้านด้วยความอับอาย

คนต้นเหตุค่อยๆ หันมาสบตาคู่ดุที่จ้องเขาอย่างกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ แล้วส่งยิ้มแหย
“แฮะๆ ถ้าผมไม่บอกอย่างนั้น แล้วคุณหอมจะยอมฉีดยาเหรอครับ”

“ฉันไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องให้นายสร้างเรื่องมาหลอกล่อนะ!”

เวหามองหน้าใสๆ ที่ติดดื้อรั้นอย่างหงุดหงิดในใจ ก่อนหว่านคำถามที่ไม้หอมไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองได้อีกต่อไป “แต่กลัวโรงพยาบาลกับหมอแล้วก็เข็มฉีดยาเนี่ยนะ...ถ้าผมไม่หลอกล่อ แล้วจะได้มาหาหมอไหมครับ”

“ก็ฉัน...” ไม้หอมอึกอัก

“คุณทำไม?” เมื่อได้ทีเวหาก็สาวเท้าเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีขึงขัง

“ฉัน...”

“พูดมาสิครับ อ้ำอึ้งทำไม!” คนได้ทีแกล้งตีหน้าดุ แต่คงไม่ดุพอเพราะพอเคลื่อนเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรกลับโดนสวนอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ก็นายมาพูดแทรกแบบนี้ แล้วฉันจะได้พูดมั้ยล่ะ!!!” ไม่ว่าเปล่าหญิงสาวก็สะบัดปลายเท้ากระแทกข้อเข่าของคนที่ต้อนเธอจนจนมุมด้วยความรำคาญจนพาลลงเท้า

ร่างสูงสะดุ้งโหยงกระโดดออกจากจุดเกิดเหตุทันควัน
“โอ๊ย! ผู้หญิงใจร้าย ทำร้ายผู้ชายตาดำๆ หน้าหล่อๆ ได้ลงคอ” เวหาต่อว่ากระโดดเหยงๆ เป็นกระต่ายขาเดียวพลางเอามือกุมตรงจุดที่โดนประทุษร้ายด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ไม้หอมยกยิ้มเย้ยอย่างคนมีชัย “นี่แหละ โทษฐานของการโกหก!”





“เอ๊า...นี่ยาของนาย ส่วนซองนี้ของคุณไม้หอมนะครับ” หมอหนุ่มอารมณ์ดีจัดแจงยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุยาของแต่ละคนมาให้ หลังจากที่เขาทำแผลให้เวหาเสร็จเรียบร้อยไปแล้วเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

“ไอ้หมอ แล้วฉันจะพิการไหมวะ” คนถามทำหน้าละห้อย ลูบแผ่นพลาสเตอร์กันน้ำที่ติดแผลตัวเองปอยๆ

“เว่อร์! แผลเท่ารอยหมัดกัดจะทำนายพิการได้ยังไงยะ จริงไหมคะคุณหมอ?” เธอซัดเสียงใส่เวหาด้วยความหมั่นไส้ ก่อนหันไปขอคำยืนยันจากชาญชัย

หมอหนุ่มไล้แนวกรามของตัวเองอย่างใช้ความคิด “อืม...ถ้าแผลเน่า คงต้องตัดขา”

“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ?!”

“ครับ” ชาญชัยตอบด้วยสีหน้าจริงจังออกจะเคร่งเครียดไปด้วยซ้ำ ไม้หอมเริ่มวิตก

“เห็นไหมล่ะ...คุณหอมต้องรับผิดชอบผมไปชั่วชีวิต”

“ฉัน...” พอได้ยินคำตัดพ้อพร้อมสีหน้ากึ่งจริงจังกึ่งสลดเธอก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเผลอทำผิดร้ายแรงลงไป...

“ฉันขอโทษ”

เวหาเลิกคิ้วหนาขึ้นด้วยความแปลกใจ ที่เคยคิดมาตลอดว่า คนตรงหน้าเป็นพวกไม่ยอมใคร เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่...มันกลับไม่ใช่...

“ฉันไม่คิดว่าจะทำให้คุณบาดเจ็บและเป็นอันตรายถึงขนาดนี้ ขอโทษนะ...”

บางที...เธออาจจะเป็นคนดีกว่าที่เขาคิด...ล่ะมั้ง...

“แต่...เรื่องรับผิดชอบชีวิตคุณนี่ฉันไม่ไหว”

หา!

ไม่รอให้ตั้งตัว นิ้วเรียวๆ ก็จิ้มพรวดลงมาตรงบาดแผล จนร่างสูงสะดุ้งสุดตัว เจ็บจนน้ำตาเล็ด เวหาตวัดสายตามองคนหน้าใสแต่ใจร้ายที่กำลังฉีกยิ้มแล้วเยี่ยมหน้าเข้ามาใกล้

“ทำอะไรของคุณน่ะ!”

“อ้าว...ก็ฉันจะช่วยให้มันเน่าเร็วขึ้นไง” ว่าแล้วไม้หอมก็จิ้มสั่งสอนนายเวหาไปอีกหลายหน จนคนทนเจ็บไม่ไหวต้องเบี่ยงขาหลบแล้วเอามือป้องปิดเอาไว้

“โอ๊ย! คนอะไรใจร้าย ทำแล้วไม่รับผิดชอบ”

“ก็คุณยังไม่ได้โดนตัดขาสักหน่อย แล้วแผลบ้าๆ นี่ก็ยังไม่ได้เน่าด้วย...จริงไหมคะคุณหมอ” เธอหาแนวร่วมด้วยการหันไปส่งยิ้มกับชาญชัย

หมอหนุ่มอมยิ้มรับ “ครับ”

เวหาขึงตามองเพื่อนอย่างเคืองขุ่น...ไอ้หมอนะไอ้หมอแปรพักตร์ก็ไม่บอก...

“นี่คุณ...หายเจ็บก็พาฉันไปส่งที่บ้านได้แล้ว” ไม้หอมออกคำสั่ง ก่อนหันไปถามชาญชัย “เอ่อ...คุณหมอคะค่ารักษาเท่าไหร่คะ?”

ชาญชัยเหลือบมองคนเจ็บเหมือนขอคำปรึกษา

“โธ่ ไม่ต้องจ่ายหรอกครับคุณหอม ไอ้หมอมันไม่เก็บเงินเราหรอก”

“ฉันไม่ได้ถามคุณ เอ่อ...คุณหมอเป็นคนรักษาต้องถามคุณหมอสิคะ”

“อ้อ...ไม่ต้องหรอกครับ คนกันเองแท้ๆ เพื่อนเวหาก็เหมือนเพื่อนผมล่ะครับ ผมไม่เคยคิดค่ารักษากับเพื่อนหรอก อีกอย่างคลินิกเรามีนโยบายรักษาคนไข้ฟรีทุกวันศุกร์อยู่แล้ว เด็กๆ ที่คุณไม้หอมว่าก็พามารักษาที่นี่ได้ฟรีเหมือนกันนะครับ”

“แหมเกรงใจจัง แต่ต้องขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” เธอยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มหวานแทนคำขอบคุณ

“ดีใจล่ะไม่ว่า โอ๊ย!” เวหาเหน็บแนมด้วยความหมั่นไส้ ก่อนต้องร้องเสียงหลงเมื่อมีวัตถุลึกลับลอยมากระแทกบาดแผลเข้าจังๆ

เจ้าของวัตถุลึกลับกัดฟันฉีกยิ้มเย็น “ใช่ ฉันน่ะดีใจ๊...ดีใจ ที่ได้เจอคนใจดีมีเมตตาอย่างคุณหมอ รู้แล้วก็พาฉันกลับบ้านสักที” เธอออกคำลั่งพลางถอนนิ้วออกจากบาดแผล แล้วก้าวขายาวๆ เดินออกจากห้องตรวจไป

หมอหนุ่มอมยิ้มขำ เขยิบเข้ามาใกล้คนเจ็บ “คุณไม้หอมของนายนี่โหดชะมัด”

ใช่...ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ชอบใช้กำลัง!





ใช้เวลาไม่นาน เวหาก็พาไม้หอมมาถึงหมู่บ้านที่เธออาศัยโดยสวัสดิภาพ...บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงถูกปลูกติดกันนับสามสิบหลัง เป็นหมู่บ้านที่ครูสาวอธิบายว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของโรงเรียน

“คนแถวนี้เคยจ้างช่างมาซ่อมบ้านบ้างไหมเนี่ย?” ชายหนุ่มถามคนข้างๆ หลังจากนั่งเงียบกันมานาน ขณะกำลังเคลื่อนรถไปตามถนนซอยเล็กๆ ที่มืดสนิทไร้แสงไฟ ทว่าเขาสังเกตเห็นกระเบื้องมุงหลังคาหลายสิบแผ่นแตกละเอียดอยู่บนเส้นทางที่ผ่านมา เชื่อแน่ว่าบ้านแถวนี้คงกำลังทรุดโทรมไปตามๆ กัน

“ไม่มีคนทำหรอกคุณ กว่าจะทำอะไรสักอย่างกับตัวบ้านได้ ต้องเขียนจดหมายขออนุญาตรวมถึงเบิกค่าใช้จ่ายกับครูชลที่เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโรงเรียน กว่าจะได้ซ่อมกันเป็นจริงเป็นจังก็คงราวๆ สองสามปีนั่นล่ะ”

“สามปี! โรงเรียนคุณทำไมทำอะไรชักช้ากันขนาดนี้ล่ะ ครูคนอื่นไม่ลำบากแย่เหรอ อยู่บ้านไม่มีหลังคาวันดีคืนดีฝนรั่วลงมา ถ้าโชคร้ายกว่านั้นหน่อยอาจมีพวกยอดมนุษย์ไต่ลงมาทักทายก็ได้”

“อะไรของคุณพวกยอดมนุษย์?”

“ก็โจร ขโมย หรือไม่ก็ตีนแมวไงคุณ ความจริงคนพวกนี้ความสามารถเป็นเลิศนะคุณหอม ลองคิดดูสินอกจากจะต้องมีวิชาตัวเบาไต่ขึ้นบ้าน ยังมีมนต์เอาไว้สะเดาะประตูอีก ตากับความจำก็ไวผิดมนุษย์มองปราดเดียวบอกได้หมดข้าวของอะไรอยู่ที่ไหน แถมยังเป็นนักคำนวณมืออาชีพ รู้ไปหมดอะไรถูกอะไรแพง ของชิ้นไหนเป็นของจริงของเก๊ บางคนเป็นหมัดเป็นมวยอีกต่างหากเอาไว้ชกหน้าเจ้าของบ้านที่ดันตื่นขึ้นมาเจอไง แล้วบางคนก็วิ่งเร็วยิ่งกว่านักวิ่งโอลิมปิกเหรียญทองซะอีกนะ ตำรวจไล่ตามทีเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ แบบนี้น่าจะเรียกว่ายอดมนุษย์ไหมล่ะ”

“แต่ไม่มีหัวคิด ไม่หัดทำเรื่องสร้างสรรค์ วันๆ มีแต่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน อย่างนี้ยังน่าจะเรียกว่า ‘ยอดมนุษย์’ อีกไหมคะ”

อุ้ย!...ไร้ซึ่งอารมณ์ขัน...

คิดได้ดังนั้น เวหาจึงค่อยๆ พับแผน ‘ชวนสาวเจ้าหัวเราะ’ ลงกระเป๋าไป
เขาหัวเราะแห้งๆ แล้วชวนคุยต่อ “เอ่อ...แล้วครูส่วนใหญ่เขาทำยังไงล่ะครับถ้าอยากซ่อมบ้าน”

ไม้หอมผ่อนหายใจเบาๆ “ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาอยู่แล้วล่ะ ส่วนใหญ่ไปซื้อบ้านเอาเองหรือเช่าหอพักมากกว่า เศรษฐกิจของโรงเรียนมันย่ำแย่ เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีใครยอมให้เบิกจ่ายอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ พวกครูเลยพากันลาออกไปกว่าครึ่ง นักเรียนก็มาสมัครเรียนน้อยกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้ ส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนยากจนทั้งนั้น อะไรๆ ก็แย่ตามๆ กันไปหมด”

เวหาเหลือบมองเสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่ไม่ได้ตีหน้าทุกข์ใจกับเรื่องที่กำลังพูดสักเท่าไหร่ด้วยความสงสัย

“แล้วคุณไม่ลาออกกับเขาบ้างเหรอ โรงเรียนก็ทำท่าจะไปไม่รอดแล้วนี่” เขาลองถามดู คาดว่าจะได้คำตอบเชิงสร้างสรรค์สังคมอย่างที่เคยได้ยินจนชินหู อาทิเช่น ‘สงสารเด็กนักเรียนที่เหลืออยู่เลยขอทำหน้าที่จนถึงที่สุด’ หรือ ‘เห็นแก่อนาคตของชาติเลยทิ้งเด็กตาดำๆ ไปไม่ลง’ และตอนท้ายสุดก็ต้องปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรมโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น...

แต่ไม้หอมเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ชวนให้เขาต้องพิศวงงงงวยได้ทุกครั้ง

“จะออกทำไมเล่า ฉันกะจะใช้ความเป็นครูเก่าที่อยู่จนวาระสุดท้ายต่อรองราคาขายกับเจ้าของโรงเรียนสักหน่อย ประมาณว่าหนูผูกพันกับที่นี่มากกรุณาลดให้หนูสักล้านสองล้านเถอะค่ะ เอ่อ...พอดีฉันรู้มาว่าเจ้าของเขารักโรงเรียนนี้มาก และถ้าต้องเลือกระหว่างครูที่ดูมีท่าทีจะรักโรงเรียน กับนายทุนที่หวังจะทุบโรงเรียนทิ้งเพื่อทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ฉันว่า...เขาน่าจะขายให้ฉันนะ” ไม้หอมอธิบายเมื่อเห็นหน้าตาประหลาดใจของเวหา

“หมายความว่า คุณจะเทคโอเวอร์โรงเรียน?”

“ใช่”

“ทั้งๆ ที่ไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าเทอมเด็กเนี่ยนะ!”

“หยาบคายจริงๆ เลยคุณ เรื่องวันนี้มันแค่ขัดข้องทางเทคนิคเฉยๆ ฉันกับเพื่อนกำลังช่วยกันเก็บเงินอยู่ไงล่ะ”

“โรงเรียนไม่ใช่ราคาถูกๆ นะคุณ”

“ฉันรู้น่ะ”

“แล้วเรื่องบริหารโรงเรียนล่ะ?”

“ฉันมีเพื่อนที่เรียนมาทางนี้ คิดว่าพอจะไหว้วานได้บ้าง” ตอบแบบขอไปที

เวหาอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง เขาไม่ปฏิเสธว่าความคิดของไม้หอมฟังดูดี แต่มันไม่ต่างอะไรกับฝันเฟื่องของเด็กๆ เพราะเธอคิดง่ายๆ โดยไม่ได้เตรียมการอะไรเอาไว้เลย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไร รับมือกับอะไรบ้าง...แค่อยาก ก็ทำ...

อยากหัวเราะ แต่ขำไม่ออกเพราะความคิดที่ใหญ่เกินตัวของเธอ สำหรับเขา...มันมีทางเป็นไปได้...

“นี่คุณไม่ขำเหรอ?”

หา!?

เวหาหันกลับมามองหน้าไม้หอมที่จ้องเขาด้วยนัยน์ตาสวยดุเช่นเคยด้วยความฉงนหนัก จนคิ้วหนาขยับผูกเข้าหากัน

“ที่พูดเมื่อกี้...ฉันล้อเล่นนะ” เธอบอกด้วยสีหน้าขึงขัง

เวหาจำต้องฝืนเปิดปากแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้
ไม่ใช่ไร้ซึ่งอารมณ์ขัน หากอารมณ์ขันของเธอคงอยู่ลึกเกินคนธรรมดาจะหยั่งถึง...แล้วทำไมเขาจะต้องมาตามจีบ ‘วัตถุประหลาด’ ขนาดนี้ด้วยล่ะเนี่ย!!




บ้านหลังที่ไม้หอมอาศัยอยู่เป็นหนึ่งในสองของบ้านที่แยกออกห่างจากหลังอื่นๆ และดูเก่าทรุดโทรมพอตัว เวหาค่อยๆ ชะลอรถลงหน้าบ้านหลังในสุดของหมู่บ้านที่เกือบร้าง เพ่งมองไปยังบ้านไม้เก่ากรุที่ปิดไปสนิท ยังดีที่ข้างบ้านหลังติดกันเปิดไฟจนสว่างโล่แบ่งปันแสงสว่างไปยังทางเดินขึ้นบ้านของครูสาว

ทันทีที่ประตูรถถูกเปิดออก เสียงดังซู่ของลมโกรกที่โบกสะบัดใบของต้นมะขามหน้าบ้านไม้ก็พัดเข้ามาในตัวรถ เวหารู้สึกถึงความเย็นที่ต้องผิวจนขนลุกชัน เลยหันไปถามคนที่กำลังก้าวลงจากรถ

“บ้านคุณมีผีสิงรึเปล่าเนี่ย”

คนถูกถามหันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนตอบ “มี แต่ชินแล้ว”

“ชิน! ชินกับผีเนี่ยนะ” คนร่างใหญ่อุทานแล้วเอามือลูบแขนเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายที่เริ่มปวดหนึบขึ้นมา

“อ้อจริงสิ...วันนี้ขอบคุณมากนะสำหรับหลายๆ เรื่อง” เธอบอกพลางก้าวลงจากรถ

“งั้นคุณหอมก็เป็นหนี้บุญคุณผมน่ะสิ” ตะโกนไล่หลังไปอย่างไม่ยอมจบบทสนทนาง่ายๆ

ไม้หอมชะโงกหน้ากลับเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “เปล่า...ความจริงคุณยังเป็นหนี้ฉันอยู่อีกอย่าง”

“หา?”

“ก็คุณเอาหัวเป็นประกันว่าครูจะไม่ต่อว่าฉันไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้น...” รอยยิ้มนั้นกว้างขึ้นอีกเท่าตัวในความคิดของเวหา

โอ้! ไม่นะ เขาต้องเสียศีรษะอันเต็มไปด้วยมันสมองชาญฉลาดให้กับวัตถุประหลาดอย่างคุณหอมเหรอนี่... เวหาหน้าซีดจินตนาการภาพไม้หอมถือมีด ฉีกยิ้มเหี้ยม แล้วพูดว่า ‘ส่งหัวนายมาถ้าไม่อยากตาย’ จนแผ่นหลังเบียดเข้ากับประตูด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว

“เราเจ๊ากัน”

“เห๋?”

“ฉันไม่ได้ติดหนี้บุญคุณใคร แล้วคุณก็ไม่ได้ติดค้างอะไรฉัน เราหายกัน ลาก่อน” ว่าแล้วปิดประตูรถดังปัง ก่อนที่ร่างสูงบางจะเดินเร็วๆ ตรงไปยังบ้านที่มืดสนิทนั่น

เวหามองตามเบื้องหลังร่างบางไปด้วยความรู้สึกประหลาด มันประหลาดพอๆ กับที่เขาสงสัยว่ามันเคยมีไดโนเสาร์อยู่ในโลกจริงหรือเปล่านั่นล่ะ

ยังไม่ทันได้พิจารณาอะไรมากไปกว่านั้น เงาร่างดำๆ ใหญ่ๆ สูงกว่าหญิงสาวที่กำลังปิดประตูบ้านลงราวสองคืบก็ปรากฏขึ้นตรงปลายบันไดด้านล่าง...เวหาเบิกตาขึ้นมองด้วยความตกใจ




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 20:58:56 น.
Counter : 385 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kakanan
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอความกรุณา
อย่านำภาพถ่าย, บทความ,
งานเขียน รวมถึงข้อความต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
ใน Blog แห่งนี้ ไปใช้เผยแพร่
ไม่ว่าส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์
ก่อนได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรนะคะ

Friends' blogs
[Add kakanan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.