|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
>> Paranoid Park .. บันทึกของอเล็กซ์
Paranoid Park เป็นเรื่องราวของ Alex.. เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้มีชีวิตอยู่กับสเกตบอร์ด ที่บังเอิญเกิดไปพัวพันกับคดีฆาตรกรรมเจ้าหน้าที่ดูแลทางรถไฟ.. นั่นคือ เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้
แต่เอาเข้าจริงๆ นี่มันไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด
มองดูเผินๆ Paranoid Park อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึง เหตุการณ์ที่ไม่ต้องการจำ จากความผิดที่ไม่ตั้งใจสร้าง ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคนๆหนึ่ง
หากแต่ว่า เรื่องราวที่อยู่ในหนัง มันมากกว่านั้น มันยังรวมไปถึง เรื่องราวของการก้าวผ่านเวลาช่วงๆหนึ่ง, ขอบเขตของผลกระทบ ที่เหตุการณ์ๆหนึ่ง จะสามารถทิ้งไว้ให้เจ้าของประสบการณ์ได้รับรู้และเรียนรู้ สิ่งที่ได้มานั้น ไม่ใช่แค่ตัวเหตุการณ์ หากแต่จะเป็นโลกทั้งใบที่หมุนโคจรอยู่ในหัวสมองของตัวละคร
สิ่งที่ตัวผู้เขียนชอบมากที่สุด ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ วิธีที่ใช้ในการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ น่าทึ่งที่วิธีการเล่าเรื่องแบบย้อนไปย้อนมาแบบนี้ เป็นวิธีที่เราเห็นมานักต่อนักแล้วจากภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ความรู้สึกที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ในส่วนนี้ มันรู้สึก "แปลกใหม่" อย่างบอกไม่พูด มันมีความ "สด" อยู่ในตัวอย่างน่าทึ่ง อย่างน้อย ก็ในสายตาของคน "เพิ่งหัดดูหนัง" อย่างผู้เขียนล่ะ
เพราะสิ่งที่มันนำเสนอ มันไม่ใช่แค่วิธีการเล่าเรื่อง แต่มันยังเป็นการสื่อถึง "วิธีคิด" ของตัวละครไปพร้อมๆกัน
ทุกๆนาทีที่ผ่านไป จากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่ง มันไม่ใช่แค่ "การเดินเรื่อง" จากเรื่องราวหนึ่งไปยังอีกเรื่องราวหนึ่ง มันยังเปรียบเสมือนการปลดล็อคประตูความคิดความอ่านของตัวละครไปทีละบาน สิ่งที่ Gus Van Sant ต้องการจากผู้ชม ไม่ใช่แค่ "เฝ้าดู" ตัวละครตัวนี้ แต่การที่ตัวคนดูเอง "กลายเป็น" ตัวละครตัวนี้
และเขาก็ทำสำเร็จ (อย่างน้อยก็กับตัวผู้เขียน) และก็ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่ง มาจากวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้
หนังเปิดฉากด้วย คำว่า "Paranoid Park" เป็นตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยดินสอ บนแผ่นกระดาษในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ซึ่งในฉากต่อมา เราถึงได้ทราบว่า เจ้าของลายมือนี้ เป็นเด็กผู้ชาย ที่มีท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปคนหนึ่ง และเขาก็กำลังที่จะเริ่ม "เล่าเรื่องราว" ของเขา
สมุดบันทึก ที่ไม่ได้มี "ความแปลก" หรือ "ความแตกต่าง" ไปจากสมุดบันทึกอื่นๆ .. แต่เรื่องราวที่อยู่ในนั้นต่างหาก ที่ทำให้มันมีความเป็น "พิเศษ" มากกว่าสมุดบันทึกเล่มอื่นๆ
คนเราจะ "พิเศษ" ได้ ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะภายนอกที่ "แตกต่าง" จากผู้อื่น สิ่งที่อยู่ในตัวเราต่างหากที่จะทำให้เรา "พิเศษ" กว่าคนอื่นๆ..
(อ้าว! นอกเรื่องไปซะงั้น เห่ย..)
ภาพต่อมา เป็นภาพการเล่นสเกตบอร์ด ของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง .. เป็นฉากที่ถ่ายใน Super 8mm ฟิล์ม เพื่อออกมาให้ดูแตกต่างจากฉากก่อนหน้านี้ ซึ่งสื่งที่รู้สึกแตกต่างจากฉากที่ถ่ายด้วยฟิล์ม 35mm ทั่วไป ก็คือ อารมณ์ "ดิบๆ" ที่ได้มาในฉากนี้
หนังเดินเรื่องไม่เท่าไหร่ ความน่าสนใจก็เกิดขึ้นแล้ว .. ความน่าสนใจที่ว่านี้ ก็คือ คำถามที่เกิดขึ้น กับฉากนี้ ว่าทำไม Van Sant ถึงเลือกให้ผู้กำกับภาพ Christopher Doyle เล่าเรื่องผ่านฟิล์ม Super 8mm ในฉากเหล่านี้
คำตอบของคำถามนี้ ของคนดูแต่ละคน แน่นอนว่า ก็แตกต่างออกไป โดยส่วนตัว จากที่เห็นในฉากต่อๆมา คิดว่า มันเป็นฉากที่เล่าถึงความคิดเรื่อยเปื่อยของอเล็กซ์.. สื่งที่อยู่ในหัว ที่ไม่ได้บันทึกลงหน้ากระดาษ
เรื่องราวเริ่มขึ้นจริงๆ ด้วยเสียงบรรยายของอเล็กซ์ ซึ่งเป็นการบรรยายเล่าเรื่องราวของ Paranoid Park ซึ่งสรุปแล้ว ก็เหมือนเป็นที่ชุมนุมของนักสเก็ตทั้งหลาย จริงๆ สนามพารานอยด์แห่งนี้ คงไม่ได้ซ่อนสัญลักษณ์อะไรไว้หรอก.. แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ตัวผู้เขียนอด "คิดลึก" ไม่ได้ .. ประโยคที่ว่านี้ มันอยู่ในบทสนทนาของอเล็กซ์กับเพื่อน ตอนที่อเล็กซ์แสดงความไม่มั่นใจในความพร้อมของเขาด้วยคำพูดว่า "I don't think I'm ready for it" และไอ้ประโยคที่พูดถึงก็คือ สิ่งที่เพื่อนคนนั้นตอบอเล็กซ์กลับไป "No one is ready for Paranoid Park"
ด้วยความที่เข้าใจในตอนท้ายว่า หนังเรื่องนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหนังประเภท coming of age .. เรื่องราวของการก้าวผ่านระหว่างวัย.. ทำให้ย้อนมาฉุดคิดกับประโยคนี้ .. มันอดที่จะคิดไม่ได้ว่า Paranoid Park.. สิ่งที่เป็นจุดกำเนิด ต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมด มันก็เปรียบเสมือน โลกภายนอก โลกของความเป็นผู้ใหญ่.. การก้าวเข้าไปใน Paranoid Park อนึ่ง เปรียบดั่งกับการเผชิญหน้ากับโลกภายนอก ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของขั้นตอนการเปลี่ยนวัยจากวันรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่.. จากวัยที่รักที่จะใช้ชีวิตอยู่กับสังคมแคบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง มาสู่วัยผู้ใหญ่ที่ต้องเรียนรู้กับการ "เผชิญหน้า"
แต่ก็นั่นแหละ.. ตัวผู้เขียนอาจ "คิดลึก" ไปเองก็ได้
หนังเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ แต่บอกได้ตรงนี้ด้วยความมั่นใจเลยว่า ถึงหนังเรื่องนี้ จะเดินเรื่องแบบ "เรื่อยๆ" แต่ก็ไม่เคย "เรื่อยเปื่อย".. ในทุกๆฉาก มีสื่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่อย่างแน่นอน บางครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้น ก็รับรู้ได้ด้วยการ "ดู" แต่ในหลายโอกาส สิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความเปลี่ยนแปลงข้างใน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึกนึกคิด ซึ่งจะรับรู้ได้ ก็ด้วยการ "รู้สึก"
มีอยู่ช่วงนึงของหนังที่สามารถนำมาเป็นตัวอย่างในจุดนี้ได้ เป็นซีน 2 ซีนที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่ความรู้สึกที่ได้กลับต่างกันมากมาย
เป็นฉากในตอนที่อเล็กซ์ โดนเรียกตัวไปสอบปากคำในห้องพักครู ฉากนึง เป็นฉากที่อเล็กซ์เดินไปที่ห้อง อีกฉากเป็นฉากตอนอเล็กซ์เดินออกมาจากห้องนั้น ความเหมือนของสองฉากนี้ คือ การที่กล้องจับภาพตัวละครเดินอยู่ ฉากนึง เดินไป อีกฉาก เดินกลับ.. แต่ความรู้สึกของสองฉากนี้ ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ความเยี่ยมของซีนนี้ ยังอยู่ที่การใช้เพลงประกอบฉาก และความยาวของสองฉากนี้.. เป็นการใช้องค์ประกอบและการคุมจังหวะหนังที่ไม่ใช่แค่ เก๋ไก๋ แต่ฉลาดเลิศอย่างมาก
ในฉากที่อเล็กซ์เดินเข้าไป ฉากนี้ถูกใช้เพลงจังหวะเร็วมาประกอบ ซึ่งแทนด้วยอารมณ์ของตัวละครที่ยังไม่มีอะไรให้วิตก (แต่ก็เริ่มหวั่นๆ) แต่พอมาฉากเดินกลับออกมาจากห้องนั้น หลังการสอบปากคำที่น่าอึดอัด ซีนนี้กลับมีเพลงในจังหวะช้าๆหม่นๆ มาใช้ประกอบซีน เพื่อแทนความรู้สึกอีดอัด ความตระหนก ของตัวละคร.. แถมความยาวของสองฉากยังต่างกันอีกด้วย ทั้งๆที่ระยะทางเดินไปและระยะทางเดินกลับ มันก็เท่าเดิม แต่ Van Sant กลับยืดความยาวของฉากตอนเดินกลับด้วยการสโลว์โมชั่นฉากนั้น
ซึนตอนเดินออกมานี่แหละ..ที่ออกมา "เรื่อยๆ" แต่ไม่ "เรื่อยเปื่อย".. ภาพของตัวละครเดินออกมาช้าๆ ในการถ่ายแบบสโลว์โมชั่น.. อาจจะดูเหมือนเป็นฉากที่ "เรื่อยๆ".. แต่ความรู้สึกของผู้เขียน ณ จุดนั้น มันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ทั้งความรู้สึกอึดอัด ความรู้สึกวิตก ความรู้สึกว่า เวลาช่างยาวนานเหลือเกินกว่าจะ "ออก" มาจากที่ "จุดนั้น" ได้.. ซึ่งทั้งหมด ก็คือความรู้สึกของตัวละครอเล็กซ์
ถิอได้ว่า มันเป็นวิธี (เทคนิค) ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความรู้สึกของตัวละครอเล็กซ์ได้อย่างดี เพราะเราทุกคน ก็คงผ่านสถานการณ์เช่นเดียวกันกับอเล็กซ์มาแล้ว สถานการณ์ที่ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่ต้องวิตกคิดหนัก มันรู้สึกนานมาก กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า หนังเรื่องนี้ ได้เล่าเรื่องย้อนไปย้อนมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงกระบวนการเรียบเรียงความคิดของตัวละครตัวนี้ ไม่ใช้วิธีการเล่าเรื่องเอาความเก๋อย่างเดียว มันทำให้เราได้เห็นว่า ในบรรดาเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เรื่องไหน ที่ถูกเล่ามาก่อน เรื่องไหนใช้เวลาเล่าเป็นเวลานาน.. อนึ่ง จะบอกเป็นนัยๆว่า เหตุการณ์ใดเขาจำได้ดี เหตุการณ์ใดเขาจำได้แม่น เรายังรู้สึกได้อีกว่า สิ่งที่อเล็กซ์เล่ามา มันมีอะไรซ่อนอยู่ มันยังมีอะไรที่เขาไม่ยอมพูดออกมา.. เพราะท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร หรือคนในวัยใด มันก็ไม่ใช่เรื่องราวที่จะเล่าออกมาได้อย่างง่ายๆ.. มันเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่แค่เก๋ไก๋ แต่ชาญฉลาดอย่างมาก.. ในการดึงคนดู ให้รู้สึกร่วมไปกับตัวละคร
เรายังจะพบอีกว่า วิธีการเล่าเรื่องของอเล็กซ์นั้น เขาเริ่มที่ Paranoid Park เป็นจุดแรก อนึ่ง จะบอกว่า สถานที่แห่งนี้ คือ จุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด แล้วเขาก็เริ่มขยายความ เล่าถึงคนรอบข้าง ทั้งเพื่อนของเขา แฟนสาว รวมไปถึงคนในครอบครัว
ถึงจุดนี้ ความน่าติดตามในตัวหนัง อยู่ที่.. ความน่าติดตามว่าอะไร คือ สิ่งที่จะนำตัวละครตัวนี้ ไปสู่คืนที่เกิดเหตุการณ์นั้น .. หนังเดินเรื่องเข้าไปใกล้จุดไคลแมกซ์ขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ หนังกลับข้ามไปสู่เหตุการณ์หลังจากคืนเกิดเหตุ .. ความรู้สึกตรงนี้ แทนที่จะเป็นความน่ารำคาญใจ ที่อยู่ๆ หนังกลับเล่าข้ามตอนไป มันกลับกลายเป็น ความเข้าใจ และเห็นใจในตัวละคร อเล็กซ์ .. เรายังไม่รู้หรอก ว่า จริงๆแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา.. เรารู้เพียงแต่ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก และตัวอเล็กซ์เอง ยังไม่พร้อมที่จะเล่ามันออกมา
มีอยู่ตอนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ที่น่าสนใจอย่างมาก นั่นคือ การรีบู๊ต หรือ การเริ่มเล่าเรื่องขึ้นมาใหม่
มันเป็นฉากที่มีคำว่า "Paranoid Park" ปรากฏอยู่เป็นตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยดินสอบนหน้ากระดาษ เหมือนกับฉากเปิดเรื่องเป๊ะๆ แรกๆก็นึกว่า เป็นการนำฉากมาฉายซ้ำ แต่สถานที่ รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ กลับไม่เหมือนกับฉากเปิดเรื่องเลย .. ในฉากต่อมา เราถึงได้ทราบว่า อเล็กซ์กำลังจะเริ่มเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
และครั้งนี้ เขาก็นำเราไปสู่เหตุการณ์นั้น โดยไม่มีการอ้อมค้อมใดๆเลย..
สภาพของตัวผู้เขียนตอนนั้น คือ ความนิ่ง ความเงียบ ในความอึ้ง กับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
น่าแปลกที่ จุดไคลแมกซ์ เป็นจุดที่ขาดความสมจริงมากมาย แต่เรากลับไม่แคร์ในจุดบกพร่องนี้เลย วินาทีนั้นเอง ที่ตัวผู้เขียนตระหนักได้ว่า สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องการให้คนดูมีอารมณ์ร่วม ไม่ได้อยู่ที่ตัวเหตุการณ์ แต่เป็นความรู้สึกของตัวละคร
ในความคิดเห็นของตัวผู้เขียน ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ผลงานที่เยี่ยมที่สุด ในบรรดาผลงานที่ผ่านมา ของ Gus Van Sant (เท่าที่เคยชมมา) มันเป็นผลงานที่ให้ความรู้สึกแก่ผู้เขียนว่า Van Sant ได้มาถึงจุดที่เขาสามารถจูนแนวทางการทำหนังของตัวเอง ให้เข้าถึงคนดูหนังธรรมดา (อย่างตัวผู้เขียน) ได้แล้ว
องค์ประกอบเด่นๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังอยู่ที่การใช้ภาพแทนคำพูด (ฉากฝักบัวเป็นฉากที่ทรงพลังมากที่สุดในเรื่อง) รวมไปถึงการเลือกใช้เพลง และดนตรีประกอบ ที่เลือกใช้เสียงต่างๆ มาเรียบเรียงเป็นดนตรีประกอบ
โดยปกติแล้ว ดนตรีประกอบในภาพยนตร์ส่วนใหญ่ จะถูกเรียบเรียงมาเพื่อให้ "กลมกลืน" กับตัวหนัง แต่ใน Paranoid Park บางฉากกลับเลือกใช้ดนตรีที่ "โดด" ไปจากตัวหนังโดยสิ้นเชิง เช่น การใช้ดนตรีเพลงร็อคหนักๆ มาใช้ประกอบซีน การใช้เสียงหวีดร้องมาประกอบฉากที่อเล็กซ์ถูกสอบปากคำ เพื่อให้อารมณ์ความรู้สึก "อีดอัด" ฯลฯ ซึ่งอาจจะฟังดู "แปลก" และ "โดด" ไป แต่น่าทึ่งที่มันกลับเพิ่มอารมณ์ให้กับฉากนั้นได้เป็นอย่างดี
ถึงตรงนี้ แม้ว่า เหตุการณ์คืนนั้น ได้ถูกเล่าไปแล้ว แต่จริงๆแล้วหนังมันเพิ่งเดินเรื่องไปแค่ครึ่งทางเท่านั้น นี่อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะบอกว่า แก่นหลัก ของหนังเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเหตุการณ์
หลังจากจุดนี้ไป หนังก็เริ่มเดินเรื่องเข้าสู่ประเด็นของ ผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลง ของอเล็กซ์ หลังเกิดเหตุการณ์ ซึ่งก็รวมไปถึงเรื่องของแฟนสาว ในส่วนนี้ รู้สึกได้เลยว่า ความน่าสนใจเริ่มที่จะเหือดหายไปจากจอทีละนิด
แต่ไม่นานนัก.. หนังก็เข้าสู่ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือ แรงผลักดันที่ทำให้อเล็กซ์ ระบายเรื่องราวต่างๆลงสมุดบันทึก.. สิ่งที่เป็นจุดกำเนิดของสมุดบันทึกเล่มนี้ ต้นเหตุของการเล่าเรื่องของอเล็กซ์ครั้งนี้ .. น่าทึ่งไหมล่ะ ที่ตอนจบของหนังเรื่องนี้ มันก็คือ การเริ่มต้นของเรื่งราวทั้งหมด
ในตอนท้าย.. ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ได้ให้บทสรุปอะไรเลย เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น.. เราไม่รู้เลยว่า สุดท้ายแล้ว ทางตำรวจปิดรูปคดีอย่างไร.. หรือเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนั้นกับตัวอเล็กซ์เอง..
เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรก Paranoid Park ไม่ใช่เรื่องของ "เหตุเกิดที่ Paranoid Park"
แต่มันเป็น "บันทึกของอเล็กซ์"
A
Create Date : 01 พฤษภาคม 2551 |
|
17 comments |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 0:06:12 น. |
Counter : 2504 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: POGGHI 2 พฤษภาคม 2551 12:36:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง IP: 41.233.109.218 2 พฤษภาคม 2551 12:47:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 2 พฤษภาคม 2551 15:59:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 8 พฤษภาคม 2551 11:59:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง IP: 41.233.116.108 8 พฤษภาคม 2551 22:17:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: yatiko IP: 118.173.158.13 9 พฤษภาคม 2551 16:24:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง 14 พฤษภาคม 2551 6:37:50 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Cairo, Egypt
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนดูหนังธรรมดาๆคนหนึ่ง
แต่ชอบดูมากๆ
เฉลี่ยแล้ว ดูหนังวันละ 1.2536 เรื่อง (เวอร์)
TOP 10 OF 2009 .. as of Jul. 21 1. Revanche 2. Lake Tahoe 3. Anvil! The Story of Anvil 4. Du levande (You, The Living) 5. Üç maymun (Three Monkeys) 6. L'heure d'été (Summer Hours) 7. Up 8. Forbidden Lie$ 9. Tokyo Sonata 10. Harry Potter and the Half-Blood Prince
TOP 10 OF 2008 .. FINAL!! 1. Waltz with Bashir 2. Wendy and Lucy 3. Man On Wire 4. Dear Zachary: A Letter to a Son About His Father 5. Paranoid Park 6. The Edge of Heaven 7. Young@Heart 8. Happy-Go-Lucky 9. Hunger 10. Let the Right One In
|
|
|
|
|
|
|
เรายังไม่มีโอกาสได้ดู แต่พออ่านแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนหนังเรื่อง Brick เลยน่ะ (ซึ่งมันอาจจะต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้)