|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
>> Lars and the Real Girl ... ผู้ ห ญิ ง ข อ ง ล า ร์ ส
หลายครั้งหลายครา.. ที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจะมาพร้อม พล๊อตเรื่องสุดจะเจ๋ง อ่านดูแล้ว หวังไว้ได้เลยว่า ภาพยนตร์ที่เป็นเจ้าของพล๊อตเรื่องนี้ มันต้องเยี่ยมแน่นอน..
บางครั้ง.. ผลสรุป มันก็ออกมาตรงกับความคาดหวัง
บางคราว.. ผลที่ออกมา กลับไม่สามารถ ดีได้สุดๆ ตามที่คาดไว้
และบ่อยครั้งทีเดียว.. ที่มีภาพยนตร์ กับพล็อตเรื่อง ครอบคลุมความเยี่ยมยอดในทุกๆส่วน แต่พอถูกนำมาขยายความเป็นหนังชั่วโมงครึ่ง ผลงานที่ออกมาให้ได้ชม กลับย่ำแย่ ห่างไกลจากความเยี่ยมของพล็อตเรื่องเหลือเกิน
แต่จะมีสักกี่ครั้งเชียว ที่จะเจอภาพยนตร์ ที่มาพร้อมกับพล็อตเรื่อง ที่อ่านดูแล้ว พาลจะทำให้เกิดความลังเลใจ.. ว่ามันจะออกมาเวิร์กได้อย่างไร.. แต่สิ่งที่ได้รับ กลับเป็นผลงานที่ เยี่ยมยอด อย่างน่าเหลือเชื่อ..
Lars and the Real Girl คือ (หนึ่งใน)ภาพยนตร์(เหล่า)นั้น
Lars and the Real Girl เล่าเรื่องของ ลาร์ส ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับชีวิตเหงาๆ มาตลอดชีวิต ถึงขั้นว่า มันทำให้ลาร์ส เข้าใจไปว่า ความเหงา คือ ตัวตนของเขา
หากความเหงาของนังมิว ถูกนิยามด้วยคำว่า เ-ี้ย..
ความเหงาของลาร์ส ก็คงบอกได้คำเดียวว่า โคตรเ-ี้ย..
เพราะผลกระทบที่มันได้ทิ้งไว้ให้กับ ลาร์ส มันไม่ใช่แค่ ความคิดที่ว่า "โลกนี้ ไม่มีที่ให้กับเขา" อย่างที่นังมิวมันรู้สึก.. แต่มันถึงขั้นที่ "ลาร์ส" ต้องสร้างโลกส่วนตัวของตัวเองขึ้นมา.. ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก.. ใครๆก็มีโลกส่วนตัว.. แต่ที่ร้าย ก็คือ เขาได้ตัดตัวเองออกจากสังคม และไม่เหลือความสัมพันธ์ใดๆกับ "โลกของความเป็นจริง" ที่อยู่รอบตัวเขา..
วิกลจริต.. หรือ "mental disorder" คงสามารถนำมาใช้ได้ในกรณีนี้
หากนังมิว มันขาดความรักจากไอ้โต้งไม่ได้ฉันท์ใด..
ลาร์ส ก็ขาด "ความรัก" ไม่ได้ฉันท์นั้น
(มิว; ทำไมต้องเอากรูมาเปรียบอีกแล้วว้าาา)
เพราะสุดท้าย.. โรคจิตหรือไม่.. ยังไง ลาร์ส ก็ยังเป็น "มนุษย์" คนหนึ่ง ที่ยังต้องการ "ความรัก"
ทางออกของลาร์สในเรื่องนี้ ก็คือ การสั่งตุ๊กตาหุ่นเหมือนจริงมาตัวหนึ่ง.. และเล่นบทพระเจ้า ขีดเขียนพรหมลิขิตของตุ๊กตาตัวนี้ ให้เป็น "เนื้อคู่" .. ให้เป็น "ผู้หญิงของฉัน".. โดยเรียกชื่อ"อีฟ"ของเขาตัวนี้ว่า "บียอนคา"..
หนังใช้เวลาในการเล่าเรื่องในจุดนี้ ไม่นาน.. เพื่อที่จะไม่ให้หนังเยิ่นเย้อไปจนน่าเบื่อ.. แต่ด้วยความสามารถของผู้กำกับ Craig Gillespie และผู้เขียนบท Nancy Oliver รวมไปถึงการแสดงขั้นเทพของดาวรุ่ง Ryan Gosling (ที่นับวัน จะยิ่งเพิ่มพูนบารมีของนักแสดงที่ดี ขึ้นเรื่อยๆ).. แค่เวลาเพียงไม่มาก .. หนังก็ประสบความสำเร็จไปแล้ว กับการผูกมัดคนดู ให้เข้าใจ และเริ่มที่จะรู้สึกผูกพันในตัวละคร "ลาร์ส"
หลังจากนั้น หนังก็เดินเรื่อง โยงไปเล่าเรื่องของ "คนรอบตัว" รวมไปถึง "สังคมรอบข้าง".. ของลาร์ส
ในช่วงนี้นี่เอง.. ที่เกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดหมายขึ้นมา..
ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ในส่วนของเนื้อเรื่องหรอก.. ไม่สปอยจ้า.. เอ๊ะ หรือสปอยหว่า..
สิ่งที่ไม่ได้คาดหมายนั้น ก็คือ การที่หนังเรื่องนี้ ได้เล่าเรื่องต่างๆของมัน ในมุมมองที่ไร้เดียงสา.. มากๆ.. มองโลกในแง่ดีมากมาย
แรกๆ มันก็เป็นข้อด้อยเล็กๆของหนังนะ.. เพราะมันเกิดความรู้สึก "ไม่จริง" (fake) ขึ้นมาตะหงิดๆ.. แต่พอหนังเดินเรื่องมาเรื่อยๆ ไอ้ข้อด้อยข้อนี้ มันก็จางลงไปเรื่อยๆ.. จนกระทั่งถึงจุดที่หนังเรื่องนี้ ปิดฉากตัวเองลง.. ถึงได้เข้าใจว่า ไอ้การมองโลกในแง่ดีมากๆของหนัง จริงๆสร้างผลกระทบ(ในแง่บวก) ให้กับตัวหนังมากมาย
มาถึงจุดนี้ มันจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า .. ทั้งๆที่หนังมีส่วนผสมของ "การมองโลกในแง่ดี" จนเกินจริง.. อะไรทำให้หนังเรื่องนี้ "เวิร์ก" ในสายตาของผู้เขียน
ก่อนที่จะอธิบายเป็นส่วนๆ.. ขอตอบสั้นๆว่า สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้ผล นั่นก็คือ "ความจริงใจ" ของคนทำหนังเรื่องนี้..
ส่วนแรกที่ต้องพูดถึง ก็คือ บทภาพยนตร์ของ Nancy Oliver ที่หยิบยกเอาประเด็นของ ผู้ป่วยทางจิต มาเล่าในบทภาพยนตร์ที่มี "อารมณ์ขำขัน" ปนอยู่.. แถมยังนำมาเป็น ตัวละครหลัก ในเรื่อง.. ลองถ้าว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขาดความจริงใจจากผู้เขียนบทไป.. หนังคงกลายเป็นหนังเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ได้ให้อะไรกับคนดูเลย นอกจากความรู้สึก offensive ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร
(แหม .. ไม่อยากหยิบอะไรมาเปรียบเทียบเลย.. มันเป็นนิสัยที่ ไม่ดี ไม่ควรทำ.. แต่จูริง ไม่ใช่ "ชี".. พอมาถึงจุดนี้ มันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นหนังที่เกลียดมากๆที่สุดเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว .. I Now Pronounce You Chuck and Larry.. นอกจากจะไม่ตลกแล้ว ยังเสแสร้งแกล้งรักเกย์ได้อย่างหน้าด้านๆ ด้วยใจความที่ได้จากหนังเรื่องนี้ว่า.. "เฮ้.. หนังของเราอยากบอกให้สังคมรู้ว่า ให้โอกาสให้กับกลุ่มเกย์หน่อยนะ.. เขาก็เป็นคนเหมือนๆกัน.. แต่อย่าลืมนะ ว่า "คน" กลุ่มนี้ มันช่างแปลกประหลาดแค่ไหน".. คำว่า เป็นแค่หนังตลก ไม่ใช่ข้ออ้าง ที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจาก ความผิดชุ่ยๆข้อนี้)
จำ The Other Sister ได้ไหม.. หนังเรื่องนั้น ก็นำเอาตัวละคร "ผู้ป่วยทางจิต" มาเป็นตัวละครหลักในการเดินเรื่องเช่นเดียวกัน.. แต่ด้วยความที่ "ไม่ได้มีความเข้าใจใน ผู้ป่วยทางจิต".. (ถึงจะตั้งใจดีก็เถอะ).. ทำให้ตัวละครกลายเป็นแค่ สิ่งมีชีวิต ที่มีการกระทำแปลกไปจากคนธรรมดา.. ถือเป็นการทรยศตัวละครของตัวเองโดยตรง และเป็นการดูถูกคนดูโดยทางอ้อม
แต่ Nancy Oliver รักตัวละคร ลาร์ส มากๆ .. ไม่เคยมองว่า ลาร์ส เป็นสิ่งแปลกปลอมที่หายใจได้.. ไม่เคยมอง ลาร์ส ในมุมมองที่เย้ยหยัน.. ไม่เคยคิดทรยศ ตัวละครของเธอตัวนี้.. แต่ก็ไม่ได้ "โอ๋" ตัวละครตัวนี้จนเกินไป.. ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ จากการเขียนของเธอนั้น.. ในทุกสถานการณ์ เธอเข้าใจเสมอว่า ลาร์ส เป็นคนๆหนึ่ง ที่มีหัวจิตหัวใจ แต่ด้วยโชคที่ไม่เข้าข้าง.. ด้วยสภาพแวดล้อมที่ ลาร์ส เติบโตมา มันทำให้เขากลายเป็น "ผู้ป่วย" ทางสังคม..
นอกจากนี้ บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังถูกเขียนออกมาได้ชัดเจนในเรื่องของ "เส้นแบ่ง" ระหว่าง *ตลก* ที่ไม่กลายเป็น *ตลกไร้สาระ* .. หรือการสร้างอารมณ์ *ดราม่า* โดยไม่บีบอารมณ์จนโอเวอร์ จนกลายเป็น *ความฟูมฟาย*
ผลที่ได้รับก็คือ บทภาพยนตร์ที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนดูได้พร้อมๆกับความประทับใจ.. พูดกันง่ายๆ ก็คือ หนังเรื่องนี้ ทั้งขำ ทั้งซึ้ง..
ตัวผู้กำกับเอง ก็ควรได้รับคำชมไปเท่าๆกัน.. บทภาพยนตร์ดีๆ อาจจะถูกขับไปลงเหว หากผู้กำกับ ไม่เก็ทอารมณ์ของหนัง หรือเก็ท แต่ไม่สามารถควบคุมให้ตรงออกมาตรงตามที่ควรจะเป็น.. บทดีๆ หากคนที่มีหน้าที่แปลงออกมาเป็นรูปเป็นภาพ ไม่มีฝีมือ.. มันก็ดีได้แค่ใน หน้ากระดาษ..
ยิ่งว่า เป็นบทที่มีความ "แปลก" อยู่ในตัว.. หากไปอยู่ในการกุมบังเหียนของคนอื่น.. ตัวหนังอาจจะถูกแต่งเติมสีสันจี๊ดๆ (ชอบนักแหละ หนังอิ้นดี้สมัยนี้) ซึ่ง "อาจจะ" ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นอกจาก จะยิ่งทำให้คนดูรู้สึกเหินห่างกับเนื้อเรื่อง กับตัวละคร..
(กำลังกัดใครอยู่หรือเปล่านี่)
แต่ Craig Gillespie กลับเลือกที่จะเล่าเรื่องราว ในมุมมองธรรมดาๆ ง่ายๆ ตรงๆ ซึนทุกซีน ควบคุมได้อยู่หมัด ไม่ใช่แค่ว่า อารมณ์ของซีนไหนจะต้องออกมาเป็น "ยังไง" แต่เขายังสามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี ได้อีกว่า "เท่าไหร่".. ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ ถึงบทจะดีอยู่แล้วก็เถอะ..
สิ่งหนึ่งที่อยากจะพูดถึงด้วยความชื่นชม.. ก็คือ ความเอาใจใส่ จากผู้เขียนบทและผู้กำกับ ที่มีต่อ ตัวละครตัวหนึ่งของเรื่อง Bianca.. ในสายตาของพวกเขา Bianca ไม่ใช่ตุ๊กตาบำเรอสุข.. เธอไม่ใช่แค่ ส่วนประกอบของฉาก.. เธอคือ ตัวละครของพวกเขาอีกตัวหนึ่ง
และ Lars and the Real Girl จะไม่ดีได้อย่างนี้ ถ้าหากขาดกลุ่มนักแสดงนี้ไป .. ไม่ว่าจะเป็น Patricia Clarkson, Emily Mortimer, Kelli Garner, Paul Schneider.. ไม่มีใครถูกกลบ.. ความเด่นของนักแสดงแต่ละคน มีให้เห็นเท่าๆกัน..
มาถึงส่วนสำคัญที่สุด ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ เวิร์ก.. นั่นก็คือ การแสดงที่เยี่ยมยอด.. อีกครั้ง.. ของ Ryan Gosling.. นี่เป็นตัวอย่างของคำว่า "ตีบทแตก" ได้เป็นอย่างดี.. เพราะตัวละครตัวนี้ มันมีความซับซ้อนทางจิตใจมากมาย และมันก็ไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีเรื่องของการที่ตัวละครตัวนี้ มีลักษณะของอาการ mental disorder เข้ามาเกี่ยวอีกด้วย.. มันต้องใช้ความละเอียดอ่อน และความใส่ใจ จากนักแสดงในระดับสูงทีเดียว เพื่อที่จะไม่ให้ ตัวละครตัวนี้ออกมากลายเป็นตัวตลก.. Ryan Gosling ผ่านโค้งอันตรายนี้มาได้ และเขาก็ทำได้ดีอีกด้วย.. สิ่งที่ Ryan Gosling มอบให้ตัวละครตัวนี้ ไม่ใช่แค่ น้ำหนัก 10 กิโล หากแต่ว่าจะเป็นการเพิ่มชีวิตจิตใจให้กับตัวละคร ให้คนดูสามารถรู้สึก และเข้าถึงตัวละคร ลาร์ส ได้ง่ายขึ้น..
(ไม่ทราบว่า ถูกมองข้ามในเวทีออสการ์ ไปได้อย่างไร)
แม้ว่า หนังเรื่องนี้ จะมีจุดศูนย์กลาง อยู่ที่ตัวของ ลาร์ส และผู้หญิงของเขา .. แต่ตัวหนังก็ไม่ได้ละเลย ในเรื่องของ คนและสังคมรอบข้าง.. เพราะในท้ายสุด เราก็พบว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของ ลาร์ส.. หากแต่จะเป็นเรื่องของ "สังคม".. และความสามารถของ "สังคม" ในการเยียวยารักษาจิตใจคนๆหนึ่งที่บอบช้ำมาได้
บอกตรงๆ.. นี่ไม่ใช่ สิ่งที่คาดหวังไว้ว่าจะได้รับ จากหนังที่มีพล็อตเรื่องแบบนี้เลย..
A
Create Date : 17 เมษายน 2551 |
|
23 comments |
Last Update : 18 เมษายน 2551 7:50:39 น. |
Counter : 3262 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: haro_haro IP: 203.153.163.34 18 เมษายน 2551 8:48:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 18 เมษายน 2551 10:26:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: POGGHI 18 เมษายน 2551 13:52:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: TG IP: 125.24.230.227 19 เมษายน 2551 23:52:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง 20 เมษายน 2551 0:23:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy IP: 125.24.76.54 20 เมษายน 2551 6:25:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง 20 เมษายน 2551 6:46:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง 20 เมษายน 2551 6:47:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลัดดี้มันเดย์(จริงๆ) IP: 124.120.62.195 20 เมษายน 2551 18:23:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 21 เมษายน 2551 15:33:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง (ขี้เกียจลอกอิน) IP: 41.233.114.185 21 เมษายน 2551 23:03:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลัดดี้มันเดย์(น่ะ) IP: 124.121.244.101 22 เมษายน 2551 11:53:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 22 เมษายน 2551 13:47:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: อามิกา IP: 125.26.199.227 27 กรกฎาคม 2551 3:22:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: ole IP: 202.139.223.18 11 พฤศจิกายน 2551 22:29:07 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Cairo, Egypt
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนดูหนังธรรมดาๆคนหนึ่ง
แต่ชอบดูมากๆ
เฉลี่ยแล้ว ดูหนังวันละ 1.2536 เรื่อง (เวอร์)
TOP 10 OF 2009 .. as of Jul. 21 1. Revanche 2. Lake Tahoe 3. Anvil! The Story of Anvil 4. Du levande (You, The Living) 5. Üç maymun (Three Monkeys) 6. L'heure d'été (Summer Hours) 7. Up 8. Forbidden Lie$ 9. Tokyo Sonata 10. Harry Potter and the Half-Blood Prince
TOP 10 OF 2008 .. FINAL!! 1. Waltz with Bashir 2. Wendy and Lucy 3. Man On Wire 4. Dear Zachary: A Letter to a Son About His Father 5. Paranoid Park 6. The Edge of Heaven 7. Young@Heart 8. Happy-Go-Lucky 9. Hunger 10. Let the Right One In
|
|
|
|
|
|
|
ยิ่งได้นักแสดงฝีมือ อย่างนี้ ก็ยิ่งน่าชม แฮะ