เรื่องดีๆ ระหว่างพี่น้อง..ทำให้นึกถึงต้นส้มแสนรัก
--------------------------------------------------------
credit pic : //www.tonyken.com/entertain/news_dtail.php?id=167
++บรรยากาศงานคอนเสิร์ตดงบังชินกิ เพิ่งผ่านไปเมื่อวาน (15 ก.ย.49) อย่างที่เคยบอกไว้ตอนแรกว่า จะไปดูให้ได้ แต่ก็ตัดใจไม่ไป แต่ก็ตามข่าวงานคอนจากเพื่อน ๆ ในบอร์ดมา ก็ได้ข้อมูลมาเยอะแยะเลย ทั้งที่ประทับใจก็มี ทั้งที่ไม่สบอารมณ์เลยก็มี แต่จากที่ฟังจากหลายคนเล่า รู้สึกว่า SJ จะสนุกกว่านะเนี่ย..อิอิ
++แต่ยังไงพวกเค้าก็มาเล่นคอนให้ดูกันแล้วนี่เน๊อะ หวังว่าครั้งหน้าหรือปีหน้า เราจะได้ไปดูน้ะ ในแบบที่สมบูรณ์และพร้อมกันทุกคนเลย.... จะมีวีซีดีคอนครั้งนี้ขายมั้ยเนี่ย หึ ชั้นอยากได้....จบเรื่องคอนดงบังเพียงเท่านี้ เพราะเปิ้ลไม่ได้ไปดู...จบข่าว ฮ่า... ------------------------------------------ ++เผอิญได้เข้าไปอ่านในกระทู้ห้องอะไรจำไม่ได้แล้วจากเว็บพันทิพ ดอท คอม เค้าเอาเรื่องที่เป็นฟอเวิร์ด เมล์มาลงให้อ่านกัน ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับความรักของสองพี่น้อง ระหว่างที่อ่านก็น้ำตาซึมทุกช่วงอายุ พออ่านจนจบ น้ำตาก็ไหลอาบแก้มเลย...ลองอ่านกันดูนะคะ ด้านล่างเลยค่า ----------------------------------------------------- **เรื่องดีๆ ระหว่างพี่น้อง**
6 ครั้งที่ฉันต้องหลั่งน้ำตาให้น้องชายของฉัน ... > > ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน > > แต่ละวัน พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ > > ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี > > วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน > > ... จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง > > พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง > > โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน > > "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด > > ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน > > พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า > > "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ" > > พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น > > ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้ แล้วพูดว่า > > "ผมขโมยเองครับ" > > ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง > > พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย > > พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน > > "ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย" > > คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ > > หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย > > กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก > > น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า "พี่ครับ > > ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว" > > ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ > > หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง > > ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
> > เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น > > เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ > > ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน > > คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน > > ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ" > > แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า > > "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน" > > ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า > > "ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" > > พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ > > "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน > > พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้" > > คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้านเพื่อขอยืมเงิน > > ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า > > "ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้" > > แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ > > ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด > > น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น > > และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว > > ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ > > "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ... ผมจะไปหางานทำ แล้วจะส่งเงินมาให้พี่" > > ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ... > > ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ...
> > ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน > >รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้าง ... > > ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 > > วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก > > เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ" > > ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? > > ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ > > ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ... > > ฉันถามเขาว่า > > "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" > > น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ > > ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี" > > ฉันน้ำตานองหน้า ค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง > > และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ > > "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม" > > จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง > > เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า > > "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" > > ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี ...
> > วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า > > หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว > > เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก > > หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า > > "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" > > แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก > > วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ > > น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ" > > ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา > > ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ > > ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม > > "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..." > > น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา > > น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
> > หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง > > หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน > > ... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ > > ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม > > น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... > > เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง" > > สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว > > เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ... > > แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา > > วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ... เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล > > ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล > > น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า > > "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! > > ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" > > คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา > > "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน > > ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด" > > น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน รวมทั้งสามีของฉันด้วย ... ฉันบอกกับน้องว่า > > "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." > > "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
> > เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี > > เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน > > ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า > > "ใครคือคนที่คุณรักและเคารพที่สุดในชีวิตนี้" > > น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ... > > และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ > > "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง > > เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน และเดินกลับบ้าน > > วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง > > และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล > > เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว > > เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... > > นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม "ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ" > > เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน > > คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... > > "ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ" > > ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
> > จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา > > คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ > > แต่สำหรับคนคนนั้น อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง > > ...ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน > > หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม --------------------------------------------------------------
++ไม่รู้ทำไม พออ่านเรื่องนี้จบ ทำให้นึกถึงวรรณกรรมเยาวชนเรื่องโปรดสุด ๆ เรื่อง ต้นส้มแสนรัก (My Sweet Orange Tree) ขึ้นมา เขียนโดย โจเซ่ วาสคอนเซลอส มีเด็กชาย ตัวน้อยแสนซน ช่างซัก ช่างถาม อยากรู้ไปหมด ชื่อ เซเซ่ (โจเซ่) ชีวิตของเซเซ่มีสีสันและเรื่องราวมากมายนับตั้งแต่ที่เขาบอกกับพี่ชายของเขาว่า ฉันไม่รู้ว่าจะบอกพี่ดีหรือเปล่า วันนึงฉันจะเล่าเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งให้พี่รู้
++ต้นส้มแสนรักไม่ได้เน้นเรื่องเกี่ยวกับพี่ชาย น้องชายมากนัก ออกจะเป็นส่วนเสริมที่ทำให้ชีวิตการเรียนรู้วัยเด็กจนเติบโตขึ้นของเซเซ่มีความหมาย เป็นปกติทั่วไปที่พี่ชายก็ต้อง ดูแล คอยสอนน้องชายตัวเอง เซเซ่กับพี่ชายโททอก้าก็เหมือนกัน...
อยากจะคิดว่าต้นส้มเพื่อนใหม่ของเซเซ่เป็นเหมือนกับความคิด ความอ่าน ความในใจลึก ๆ ที่กำลังมีพัฒนาการไปสู่วัยเติบใหญ่ เพียงแต่เซเซ่ยังไม่รู้ตัว เหมือนที่เขาพูดกับพี่ชายว่า ลุงเอ็ดมันโดต่างหากที่พูดเรื่องนี้กับฉัน เขาบอกว่า ฉันเป็นเด็ก แก่แดด และว่าฉันกำลังจะถึงวัยที่มีเหตุผลในไม่ช้านี้ แต่ฉันไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างกันเลย
++การได้อ่านเรื่องดี ๆ ระหว่างพี่น้องข้างต้น ทำไมถึงทำให้นึกถึงเรื่องต้นส้มแสนรักนะหรือ....ก็เพราะทั้งสองเรื่องนี้ ทำให้เราร้องไห้เหมือนกันนะซิ แม้ว่าเรื่องแรกเราจะซึ้งในความรักที่น้องชายยอมเสียสละทุกอย่างให้พี่สาว จนอดน้ำตาซึมไม่ได้ ต้นส้มแสนรักก็เหมือนกัน อดที่จะร้องไห้โฮ ๆ กับความไร้เดียงสาของเซเซ่ จนทำให้เขาต้องโดนพ่อตี และอีกหลาย ๆ อย่าง แม้ว่าเนื้อหาจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกัน คือ การเอาคนอ่านอยู่
มีใครบ้างที่อ่านทั้งสองเรื่องนี้แล้ว ไม่ร้องไห้หรือน้ำตาซึม คงแทบจะไม่มี เพราะด้วยเนื้อหาการเล่าเรื่องก็ฉุดดึงเอาอารมณ์ร่วมของคนอ่านออกมาได้อย่างน่าประหลาด คนอ่านจะมีน้ำตาแห่งความสงสาร เห็นใจ ตื้นตัน ชื่นชม ฯลฯ ออกมาก็คงจะไม่แปลก
อยากบอกว่า เรื่องต้นส้มแสนรักเป็นหนังสือเรื่องแรกที่ทำให้เราร้องไห้น้ำตาซึมด้วยความสงสาร บางครั้งก็ดีน้ะ การร้องไห้น่ะ พอหยุดร้องไห้ อารมณ์เราก็รู้สึกดีขึ้น ไม่เหมือนการร้องไห้กับเรื่องของตัวเอง แม้ว่าจะหยุดร้องไห้แล้ว อารมณ์บางครั้งยังไม่ดีขึ้นเลย จมดิ่งลงไปอีกก็มี อาจเพราะเป็นตัวเราเอง แต่การร้องไห้เพราะอะไรสักอย่าง หรือใครบางคน มันเป็นอารมณ์ร่วมแบ่งปันความทุกข์ ความสุข ณ ช่วงเวลานั้น ๆ พอผ่านไปสักพักบางคนก็ลืม บางคนก็ยังจำได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เก็บเอาอารมณ์ต่าง ๆ ของคนอื่น มาเป็นอารมณ์ของตัวเอง...น้อยมาก เราเป็นคนนึงที่เก็บเอาอารมณ์ต่าง ๆ ที่พบเจอนั้นไว้ในความทรงจำ ถ้าความทรงจำเริ่มเลือนลาง ก็มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ คือการรื้อฟื้น กระตุ้นเตือนให้จำได้อีกครั้ง...ด้วยคำพูด ภาพ การอ่าน ...
++เราอ่านต้นส้มแสนรักจบครั้งแรกตอนอยู่ ม.1 ตอนนั้นรู้สึกเลยว่า อยากได้ต้นส้มของตัวเองมั่ง แต่ตอนนั้นที่บ้านมีแต่ต้นกล้วยกับมะละกอ...แป่ว พอได้ไปบ้านเพื่อนคนนึง พ่อเค้าชอบเพาะกล้าไม้ เราก็ไปเห็นเข้า อยากได้ต้นส้ม พ่อของเพื่อนเลยให้ต้นส้มต้นเล็ก ๆมา ตอนนั้นยังไม่รู้อะไร...ก็นึกว่ามันจะต้นโตเหมือนในหนังสือ แบบไม่สูงมาก แต่เราก็ขึ้นไปเล่นบนต้นมันได้ แปลกแต่จริง ผ่านไป 1 ปี ...ต้นใหญ่ขึ้นนิดเดียวจากตอนแรกที่ได้มา เหอะ...อะไรกันนี่ ตอนนั้นยังสงสัยเลยว่า ต้นนิดเดียวไหงออกลูกสีส้ม ๆ แล้ว เราก็ไม่ได้ถามที่บ้านหรอกนะ เก็บไว้ในใจ จนมีโอกาสไปบ้านเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง "ลุงคะ ต้นส้มที่ลุงให้เปิ้ลไปน่ะ มันใช่ต้นส้มจริง ๆ หรือเปล่า" "ใช่สิ ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ แล้วกินลูกมันหรือยังล่ะ" "กินได้ด้วยเหรอ แล้วทำไมมันไม่โตละลุง" "นั่นมันต้นส้มจีน มันไม่โตไปกว่านั้นแล้วล่ะ เออ ลุงก็นึกว่าหนูรู้ 555 นึกว่ามันจะต้นโต ๆ เหรอเนี่ย" ...............................แป่ว.............................. สรุป อุตส่าห์รดน้ำทุกวัน โตเท่าเนี๊ย....ชั้นจะไม่ได้ขึ้นต้นส้มจริง ๆ เหรอเนี่ย เศร้า......พอขึ้น ม.3 ต้นส้มก็หายไป จำไม่ได้ด้วยสิ อาจน้อยใจที่เราไม่ได้ดูแลอย่างดีเหมือนตอนก่อนจะรู้ว่า "มันไม่โตไปกว่านี้แล้ว" โอย ฟังคำนี้ของลุงแล้วเศร้าใจ
|