ประชาธิปไตย และที่มาของเหลืองและแดงตามความคิดเห็นของเรา
ประชาธิปไตย และที่มาของเหลืองและแดงตามความคิดเห็นของเรา เราไปตอบกระทู้นี้ไว้ที่พันทิปค่ะ ในห้องสมุด รู้สึกดีมากมายที่ได้ไปแสดงความคิดเห็นที่นั่น เพราะถ้าเอาข้อความเหล่านี้ไปลงที่ราชดำเนินคงกลายเป็นกระทุ้ทะเลาะเบาะแว้งอีก ใครอยากตามไปอ่านความคิดเห็นคนอื่นเชิญได้นะคะ //www.pantip.com/cafe/library/topic/K7735173/K7735173.html ส่วนเราขอรวบรวมทุกความเห็นของเรามาเรียบเรียงไว้ที่นี่ค่ะ ____________________________ ในความคิดเห็นจองคนที่ศึกษาระบบระบอบมาไม่ได้มากมายนัก อาศัยอ่านหนังสือบ้าง ตามข่าวสารบ้าง อาจไม่ครบถ้วยทุกมุม แต่ก็พยายามจะหาข้อมูลในระดับหนึ่งเพื่อทำความเข้าใจกับคนทุกๆฝ่าย
แล้วเราก็ได้ประมวณผลออกมาเป็นความคิดเฉพาะตัวของเราดังนี้ค่ะ
ประชาธิปไตย คืออะไร ???
ตามความเห็นประชาชนธรรมดาๆ ที่ได้รับการศึกษาระดับหนึ่ง ( ที่หลายๆคนบอกว่าเป็นการศึกษาที่ไม่ได้ให้ความรู้ด้านนี้ได้ดีนัก ) เราถือว่าคือหนึ่งในชนชั้นกลางค่ะ มีหน้าที่ทำมาหากิน เลี้ยงครอบครัวเสียภาษี ดูแลคนในปกครอง และใช้จ่ายเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เฉกเช่นเดียวกับคนทุกชนชั้นในประเทศไทย
เราติดตามข่าวสารบ้านเมืองตามสมควร ไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย ตามความสามารถในการเช้าถึงสื่อได้มากกว่ากลุ่มรากหญ้า "บางคน" ขอย้ำช้ดๆตรงคำว่าบางคน นะคะ
ในความเห็นของเรา เรามองว่า ประชาธิปไตยคือ การที่คนเราทุกคนในสังคมที่ปกครองโดยระบบนี้มีสิทธิและเสรีภาพที่เท่าเทียม มีสิทธิในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น และมีสิทธิในการเรียกร้องและปกป้องสวัสดิภาพและสิทธิของตัวเองตามความเหมาะสม และแน่นอนว่าในสังคมที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก การที่ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นก็ย่อมต้องเกิดการขัดแย้งเพราะเราเชื่อว่าเมื่อใดที่มีคนได้ประโยชน์ย่อมต้องมีคนเสียผลประโยชน์เสมอ
เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยจึงต้องมีกลไกในการตัดสินความขัดแย้งในเรื่องของการแสดงออกและความคิดเห็นที่แตกต่างโดยการยึดหลักเสียงข้างมากหรือเสียงส่วนใหญ่
และการปกครองระบอบนี้จะสำเร็จและไม่ก่อให้เกิดปัญหาก็ต่อเมือเสียงส่วนน้อยให้การยอมรับในการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่หลังจากที่ตนเองได้แสดงความคิดเห็นของตนไปแล้ว
แต่ประชาชนในสังคมไทยมีหลายล้านคนจะมาให้ยกมือโหวตเสียงกันทุกครั้งเวลาจะทำอะไรก็คงไม่สะดวกนัก นั่นจึงนำมาซึ่งการเลือกผู้แทน
และการเมืองแบบไทยๆ ผู้แทนหรือท่าน ส.ส. ทั้งหลายก็ดันไม่ใช่ผู้แทนที่แท้จริง เพราะเวลาตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างก็มิได้คำนึงถึงคนที่เลือกท่านเท่าไหร่นักแต่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่โดยเพื่อไม่ให้น่าเกลียดมากนักก็จะพยายามหาเหตุสนับสนุนความชอบธรรมให้กับตนเองหรือไม่ก็สร้างนโยบายเชิงทุนนิยมเพื่อให้ผลประโยชน์แก่ผู้ที่เลือกท่านเหล่านั้นมาบ้าง เพื่อมิให้เจ้าของผู้แทนเหล่านั้นเกิดการต่อต้าน อีกทั้งยังเป็นการซื้อใจประชาชนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป
ที่นี้ทำไมถึงมีเหลืองหรือแดง
มันเกิดจากคนที่เสียผลประโยชน์กลุ่มหนึ่ง คือ เสื้อเหลือง
แกนนำของเสื้อเหลือเมื่อย้อนกลับไปดูก็จะพบว่ามีความสัมพันธ์มากมายกับอดีตนายก แต่เมื่อวันนึงที่ความสัมพันธ์นั้นสะบั้นลง ผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็เกิดเหตุ "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" ปรากฏการณ์แฉระดับชาติก็เกิดขึ้น
แล้วประชาชน เจ้าของเสียง บางคนก็ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รู้ ประชาชนที่เคยศรัทธาบางส่วนก็เริ่มเสื่อมศรัทธา และประชาชนบางส่วนที่ได้รับข้อมูลเหล่านั้นก็เริ่มเกิดการรวมตัวขึ้น เพราะรู้สึกถึงความไม่ชอบธรรมของท่านอดีตนายก
อีกทั้งกรณีขายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้วพยายามที่จะทำก็ได้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนบางกลุ่มเป็นวงกว้าง และเมื่อประชาชนที่มีความไม่พอใจในตัวท่านอดีตนายก หลายๆกลุ่มมารวมกัน การป้อนข้อมูลให้ประชาชนที่มีอคติอยู่แล้วให้เพิ่มความรุนแรงและเกลียดชังมากขึ้นก็เป็นเรื่องง่าย
เหมือนเช่น เราเห็นคนคนนึงกำลังขโมยของ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการขโมยครั้งแรกของเค้า แต่เมื่อมีใครสักคนมาบอกว่า เฮ้ย ฉันก็เคยโดนมันขโมยนะ อีกคนก็บอกว่าคราวก่อนมันทุบรถฉัน จากการที่เราเห็นแค่แง่เดียวว่าเค้าไม่ดี เมื่อมีคนป้อนข้อมูลว่าเค้าไม่ดีในแง่อื่นๆอีกมันก็สามารถเชื่อได้โดยง่าย โดยที่บางทีข้อมูลที่ได้รับจริงบ้างเท็จบ้างก็ไม่รู้ แต่จากประสบการณ์ร่วมที่มีมันก็เพิ่มน้ำหนักให้ข้อมูลเหล่านั้นน่าเชื่อถือ
เมื่อคนเลื้อเหลืองรวมพลกันได้มากเข้า การปลุกเร้าจากแกนนำอันเข้มข้น สถานการณ์สภาพแวดล้อมก็ก่อให้เกิดความฮึกเหิม และเริ่มรู้สึกว่าประชาธิปไตยมันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง เพราะคนที่เราเลือกเข้าไปมันไม่ได้ทำหน้าที่ตามอย่างที่เราอยากจะให้ทำ มันไม่ได้เป็นตัวแทนของเราอย่างแท้จริงจึงเกิดการเมืองภาคประชาชนขึ้น และเริ่มขับไล่นักการเมืองที่พวกเขาเชื่อว่า " โกง " ออกไป
หลังจากการชุมนุมอดีตท่านนายกก็ยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่เหล่าประชาชนเสื้อเหลืองก็ยังคิดว่า มันไม่ถูกเพราะยังมีประชาชนอีกมากที่ไม่ได้รับข้อมูลการทุจริตของทักษิณ และด้วยอำนาจเงินที่ทักษิณมี อีกทั้งนโยบายต่างๆที่ทักษิณทำ มันได้ซื้อเสียงชาวบ้านระดับรากหญ้าไว้แล้ว อีกทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งที่กระชั้นชิด จนทำให้พรรคการเมืองอื่นๆตั้งตัวไม่ติด จึงทำให้หลายๆพรรคการเมืองพากันบอยคอตไม่เข้าร่วมการเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็เป็นที่มาของการเลือกตั้งระหว่างพรรคการเมืองกับช่องไม่ลงคะแนน ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทยที่ ปรากฏว่าหลายจังหวัดประชาชนที่ออกไปเลือกตั้งแต่กาไม่ลงคะแนนสูงกว่าผู้แทนที่ได้รับเลือก
ดังนั้นประชาชนจึงรู้สึกว่าคุณ สส ที่ได้รับการเลือกตั้งในคราวนั้นไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอย่างแท้จริง
เหตุการณ์ก็ชุลมุนจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 19 ก.ย. เมื่อทหารออกมาปฏิวัติที่หน่อมแน้มที่สุด และประเทศก็อยู่ใต้การปกครองของคณะปฏิวัติและรัฐบาลที่มากทหารแต่งตั้ง เพื่อร่างรัฐธรรมมูญปี 50
ซึ่งรัฐธรรมมูญปี 50 นี้ถูกร่างขึ้นมาจากความกลัว ความกลัวการคอรัปชั่น จึงมีกฏหมายหลายๆข้อเพื่อป้องกันการทุจริตต่างๆ แต่ด้วยความกลัวที่มากเกินไปจึงทำให้มีกฏหมายบางข้อที่ลงโทษคนผิดชนิดเอามันทั้งยวง อย่างเช่นกฏหมายยุบพรรค ซึ่งได้สร้างปัญหามากมายในภายหลัง
จากนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้ง พรรคเดิมภายใต้ชื่อใหม่ ก็ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนอีกเช่นเดิม และเหตุการณ์มันก็คงจะจบลงโดยง่ายถ้ารัฐบาลที่ควรได้รับคัดเลือกเข้ามาเพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองแก้ปัญหาประเทศชาติกลับมุ่งมั่นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นภารกิจแรก ๆ จึงปลุกเสื้อเหลืองให้ตื่นตระหนกอีกครั้ง ( ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากความกลัว )
จึงนำมาซึ่งการชุมนุมอีกครั้ง แนวทางการเรียกร้องก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนมาถึงกรณีของจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ การโค่นล้มอำนาจของทักษิณ
ทีนี้ก็เกิดเรื่องสิค่ะ เหล่าประชาชนบางกลุ่มที่เริ่มรำคาญกับพฤติกรรมของเสื้อเหลือง รวมถึงกลุ่มคนที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบของเสื้อเหลืองมารวมกับประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชน ทั้งที่เลือกเพราะยังมีความศรัทธาในทักษิณ และเลือกเพราะชอบในการบริหารงาน คนกลุ่มนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมเสื้อเหลืองไม่จบ ทำไมเสื้อเหลืองไม่หยุดในเมื่อพวกเค้าเลือกตั้งแล้ว และเค้าก็เลือกแล้วที่จะเอาพรรคพลังประชาชน ทำไมเสื้อเหลืองไม่ยอมรับความคิดเห็นของพวกเค้า เสื้อเหลืองก็รุนแรงขึ้นในการเรียกร้องมากขึ้นจนนำไปสู่การปิดสนามบินซึ่งยิ่งเพิ่มจำนวนคนต่อต้านเสื้อเหลืองให้มากขึ้น
รวมถึงเมื่อมีการปลุกระดมจากคนใกล้ชิดทักษิณเป็รแกนนำให้หมุ่เสื้อแดงเพื่อผลประโยชน์ของทักษิณและพวกพ้องของตนด้วยส่วนนึง
และทุกอย่างก็วนเข้าสู่พฤติกรรมเดียวกับเสื้อเหลือง คือเสื้อแดงที่เบื่อหน่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดงที่มองว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตยและมองว่าการที่เสื้อเหลืองไม่ยอมรับการเลือกตั้งคือการต่อต้านประชาธิปไตย ประกอบกับการให้ข้อมูลที่บิดเบือนบ้าง ข้อมูลด้านเดียวบ้าง กับกลุ่มชนเสื้อแดง ก็ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงมีความฮึกเหิมมากขึ้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นคล้ายๆกับตอนเสื้อเหลืองนั่นแหละ อาศัยอารมณ์ร่วมของผู้ชุมนุม โดยอาศัยหลักการว่า
" ศัตรู ของศัตรู คือมิตร " เหมือนๆกันทั้งแดงและเหลือง
จนเมื่อพรรคการเมืองถูกยุบและ ปชป. ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลก็ทำให้เกิดข้อครหาว่าที่ผ่านมาการชุมนุมของเสื้อเหลืองนี่เพื่อ ปชป. หรือไม่
จึงเกิดการต่อต้านการขึ้นเป็นรัฐบาลของ ปชป. อย่างรุนแรง รวมถึงการฉวยโอกาสของทักษิณด้วยที่ต้องการกลุ่มประชาชนเพื่อปกป้องความผิดของตน และทำให้ตนสามารถกลับประเทศได้โดยไม่มีความผิดและได้รับเงินที่ถูกอายัดคืน
จึงนำมาสู่การโฟนอินครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเลียนแบบพฤติกรรมทุกอย่างของเส้อเหลือง เพราะมีบรรทัดฐานจากการดำเนินคดีกับคราวเสื้อเหลืองว่าช้าเหลือเกินจนดูเหมือนไม่ได้โดนลงโทษใดๆ
แต่เสื้อแดงจะรุนแรงกว่าเสื้อเหลืองก็ตรงที่คนที่เข้ามาชุมนุมส่วนหนึ่งคือประชาชนชาวรากหญ้า ที่รู้สึกว่าเมื่อทักษิณอยู่ตัวเองอยู่ดีกินดีกว่านี้ ชาวบ้านที่ยึดมั่นในความกตัญญู ว่าในเมื่อเค้าดีกับเราเราก็ต้องปกป้องเค้า อีกทั้งเราเชื่อเหลือเกินว่าการที่สามารถดึงคนกลุ่มนี้มาร่วมได้นอกจากจะมาด้วยศรัทธาแล้วกำลังเงินของแกนนำหรือที่เรียกว่าท่อน้ำเลี้ยงนั้นต้องถึงพอสมควร เพราะเค้าคงไม่ได้มีเงินถุงเงินทั้งจะมานั่งชุมนุมโดยไม่ทำมาหากินได้
และกลุ่มประชาชนกลุ่มนี้แหละที่ควบคุมยากนัก เพราะเค้ามาด้วยศรัทธา และอารมณ์โกรธแค้นในความรู้สึกที่คนที่เค้ารักถูกทำร้าย
ที่นี้เมื่อความรุนแรงและความแตกแยกเกิดเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ คำว่าจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยก็เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นความแค้น ความอยากเอาชยะ จนบางคนลืมถึงจุดมุ่งหมายที่ตัวเองมาชุมนุมตอนแรกไปหมดสิ้น
ที่นี้ปัญหาที่หนักที่สุดก็ตกอยู่กลับประชาชนธรรมดาๆ อย่างเราๆนี่แหละ คนทำมาหากิน ที่จะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็ดดนจับเป็นตัวประกันอย่างช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้นในมุมมองของเราตอนนี้ การชุมนุมทั้งหลายตอนนี้มันไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตยแล้วค่ะ
จริงอยู่จุดเริ่มของมันอาจใช่ แต่ตอนหลังมันกลายหมดแล้ว ประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยเหล่าแกนนำ ที่นี้มาเรื่อง ท่อน้ำเลี้ยง และระบบอำมาตย์ในความคิดน้อยๆ ของเรา
เรามองอย่างนี้นะคะ ( ผิดถูกก็ชี้แนะได้ค่ะ )
เรามองว่า จุดเริ่มของเสื้อเหลืองที่เราบอกคือเริ่มจากสนธิโดนปลดจากรายการเมืองไทยรายวัน ( หรือเปล่าจำชื่อได้ไม่แม่นนะคะ ) และความขัดแย้งกันเองกับทักษิณ จึงเกิดการจัดรายการนอกสถานที่ขึ้น
ที่นี้ก็มีแฟนรายการตามไปดูไปฟัง ซึ่งแน่นอนว่าสนธิก็มีจิตวิทยาในการพูดที่ดี รวมถึงการพูดในเชิงข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือ จึงก่อให้การความเชื่อถือในตัวสนธิมากขึ้น และขยายวงออกไป
หลังจากนั้นก็มีการพยายามจัดรายการผ่านเคเบิ้ล คือ ASTV ซึ่งเคเบิ้ลนี้เรามองว่าคนที่จะสามารถรับชมได้ต้องมีฐานะระดับนึงคือเป็นคนในระดับชนชั้นกลางเป็นส่วนมาก ( ต่างจากเสื้อแดงที่เริ่มต้นสื่อสารกับประชาชนด้วยรายการความจริงวันนี้ ที่สามารถรับชมได้ทางทีวีทั่วประเทศ ) ทีนี้ชนชั้นกลางซึ่งรายได้บางคนถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ซึ่งหลายๆคนโดนภาษีต่อปีไม่ใช่น้อย พอได้รับข้อมูลที่มีการอ้างอิงข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือ ( ไม่ฟันธงนะคะว่าจริงไม่จริง ) ว่าทักษิณโกงภาษี ก็เกิดความอ่อนไหวและตื่นตัว
ทีนี้กลุ่มเสื้อเหลืองจากคนที่สนธิปลุกระดมและป้อนข้อมูล ก็ถูกร่วมกลุ่มด้วยกับกลุ่มของรัฐวิสาหกิจ จำนวนจึงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทีนี้เรามองอย่างนี้นะคะ เราเห็นความต่างของเสื้อเหลืองและแดงอย่างนี้คือ
อย่างที่ใครๆชอบพูดว่า เสื้อเหลืองส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ในขณะที่เสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของคนรากหญ้า
ถ้าจากภาพข่าวเราก็จะพบว่า ในเบื้องต้นกลุ่มคนเสื้อเหลืองโดยมากจะเป็นผู้หญิง ประมาณอาซิ้ม และพวกคนแก่ ประเภทอาแป๊ะ และกลุ่มวัยทำงาน
ที่นี้พอการชุมนุมเข้มข้นขึ้นและทางแกนนำต้องการเผด็จศึก ก็เกิดนักรบศรีวิชัย ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มนี้เราเชื่อว่า " จ้าง "ค่ะ
แต่เมื่อเรามองอย่างนี้ เราจึงคิดว่าการชุมนุมของเสื้อเหลืองจึงอาจจะใช้เงินสนับสนุนไม่มากเท่าเสื้อแดง เพราะเรามองว่าผู้ชุมนุมค่อนข้างมีฐานะพอสมควร ฉะนั้นถ้ามีท่อน้ำเลี้ยงก็อาจไม่มากนัก ซึ่งก็อย่างที่หลายๆคนรู้ว่าหลังเกิดเสื้อเหลือง คนใกล้ล้มละลายอย่างสนธิก็สามารถผงาดสื่อได้อีกครั้ง สือผู้จัดการ สามารถอยู่รอดได้ เพราะฉะนั้นถ้าสนธิจะเป็นคนจัดจ้างผู้ชุมนุมในบางส่วนก็เหมือนเป็นการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจตัวเองก็ไม่น่าจะแปลก อีกทั้งทาง ปชป เองก็เห็นประโยชน์จากกลุ่มเสื้อเหลืองชัดเจนก็อาจเป็น ปชป ก็เป็นได้ อันนี้เรามองในแง่ว่าผลประโยชน์ที่จะได้ถ้าเสื้อเหลืองชนะการชุมนุมนะ
เห็นได้จากว่าหลังอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกเสื้อเหลืองก็สลายไปเลย และไม่มีการชุมนุมเรียกร้องอะไรอีก
ซึ่งต่างกับเสื้อแดง ที่แม้จะมาด้วยศรัทธาแต่ก็ต้องการายได้เลี้ยงปากท้อง จึงต้องมีการอัดฉีดเงินพอสมควรกับการดำรงชีพได้
ทีนี้เรื่องของอำมาตย์ เป็นผู้สนับสนุน หรือไม่นั้น เรียนตามตรงว่าเราไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง แต่เราพิจารณาจากการติดตามสื่อหลายๆ สื่อ ทั้งหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เนต เราจึง "คิดว่า" มันเป็นแค่ข้ออ้าง
ทำไมเราถึงคิดอย่างนั้นหรือค่ะ เพราะเราอาจได้ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะปักใจเชื่อได้ว่าระบบประชาธิปไตยล้มเหลวเพราะอำมาตย์ เพราะเรายังไม่เคยเห็นการเคลื่อนไหวจากอำมาตย์อย่างชัดเจนโดยเฉพาะการสนับสนุนเสื้อเหลือง นอกจากข้ออ้างจากเสื้อเหลืองที่พยายามทำให้คนเข้าใจว่าตนเองได้รับการสนับสนุนจากคนในวังหรือคนข้างวัง ซึ่งเรามองว่าอาจเป็นไปได้ที่เสื้อเหลืองเองก็ต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุนว่าตนเองกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง
เราจึงขอมองว่าอำมาตย์เป็นข้ออ้างไว้ก่อน โดยเฉพาะการล้มล้างระบบอำมาตย์โดยการนำเรื่องของชนชั้นมากล่าวอ้าง เพื่อให้ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่โดยมากเป็นชาวรากหญ้าที่อาจมีความคับแค้นใจถึงความไม่เท่าเทียมในชนชั้นอยู่แล้วส่วนหนึ่งเกิดความคล้อยตามได้โดยง่าย
เพราะเรามองไม่เห็นว่าการมีหรือไม่มีองคมนตรี ( ไม่พูดถึงรายบุคคลนะคะ ) จะเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องประชาธิปไตยตรงไหน ( เรามองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพียงแต่เรายังไม่เห็น ) เพราะอย่างที่ทราบว่าหน้าที่หลักขององคมนตรีคือการเป็นที่ปรึกษาในหลวง และที่มาขององคมนตรีก็คือการแต่งตั้งโดยในหลวง เพราะฉะนั้นเราจึงมองว่าคนที่มีสิทธิจะไล่องคมนตรีออกก็คือในหลวง
ซึ่งการที่เสื้อแดงไปขับไล่องคมนตรีจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกกล่าวหาว่า พาดพิงในหลวง
ทีนี้ถ้าเสื้อแดงต้องการให้มันชัดเจนว่าองคมนตรีคนไหนไม่ควรอยู่ในตำแหน่ง ก็ควรเอาความผิดขององคมนตรีท่านนั้นออกมาให้ชัดแจ้ง ไม่ใช่เพียงการกล่าวอ้างจากแกนนำ และถ้าความผิดขององคมนตรีชัดแจ้งจริงเราเชื่อว่าในหลวงที่ทำทุกอย่างเพื่อคนไทยมาตลอดก็ย่อมมี พระวินิจฉัย เองว่าควรให้องคมนตรีแบบนี้อยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่ (ใช้ศัพท์ถูกไหมไม่แน่ใจนะคะ )
ดังนั้นในความคิดเห็นของเรา อำมาตย์ เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเพราะมันยังไม่ชัดเจนพอในความรู้สึกของเรา เป็นเพียงข้ออ้างให้สถานการณ์ครุกรุ่นสูงสุด และบีบให้ประชาชนที่มีความคับแค้นใจในเรื่องชนชั้นและห่วงประชาธิปไตยต้องเลือกว่าจะเอาระบบอำมาตย์หรือประชาธิปไตย
และในที่สุดการกระทำครั้งนี้เรามองไม่เห็นใครได้ประโยชน์นอกจากท่านทักษิณ ( ขอโทษคนที่สนับสนุนด้วยที่เราคิดแบบนี้จริง )
เพราะเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายลงก็ยิ่งเป็นเหตุให้ทักษิณมีข้ออ้างในการขอลี้ภัยได้ง่ายขึ้น
กล่าวคือ ไม่ว่าเสื้อแดงจะชนะ หรือ แพ้ คนที่มีแต่ win-win ก็คือทักษิณ
ถ้าเสื้อแดงชนะ ทักษิณก็สามารถกลับประเทศไทยได้ โดยอาจจะล้างมลทินและรื้อคดีมาพิจารณาใหม่จนอาจจะหลุดทุกคดีได้
ถ้าเสื้อแดงแพ้ ทักษิณก็จะสามารถขอลี้ภัยทางการเมืองอยู่ที่ประเทศที่ 3 ได้
เราไม่ได้หมายความว่าเสื้อแดงคือคนที่มาเพื่อทักษิณ แต่ผลประโยชน์ทั้งหลายมันไปตกที่ทักษิณอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้เราอยากให้ทุกๆสีกลับมาหยุดแล้วคิดใหม่อีกที ว่าที่เรียกร้องกันอยู่ตอนนี้ เรียกร้องอะไรและเพื่ออะไรที่แท้จริง จุดยืนจริงๆว่าประชาธิปไตยตรงไหนที่เรารู้สึกว่ามันผิด มันไม่ใช่จากที่ควรจะเป็น
ทำไมเราถึงไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจและเสนอแนะแนวทางอย่างถูกต้องเหมาะสม และให้การศึกษาในเรื่องประชาธิปไตยอย่างจริงๆจังๆ
การที่อภิสิทธิ์ลาออกวันนี้ แล้วคนอื่นขึ้นแทน เรื่องจะจบไหม มันจะกลายเป็นประชาธิปไตยหรือในเมื่อระบบมันยังเป็นแบบเดิม
ถ้าอภิสิทธิ์ยุบสภา การเลือกตั้งก็ยังคงเป็นระบบเดิมแบบเดิม คนที่เข้ามาก็หน้าเดิมๆ แล้วก็วนสู่วัฏจักรเดิมๆ มันก็ไม่จบอยู่ดี
เรามองว่าทำไมผู้ชุมนุมถึงไม่ยื่นข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาที่มากกว่าแค่การลาออกหรือยุบสภาละ ทำไมไม่ขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขการศึกษา หรือถ้าอยากเผยแพร่ประชาธิปไตยในแบบที่ตนเชื่อ ทำไมไม่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชน อย่างสันติ ค่อยๆเผยแพร่ไปเรื่อยๆ มันอาจไม่ได้ผลใน 24 ชั่วโมง หรือ 7 วัน มันอาจต้องใช้เวลาเป็นปี แต่เราเชื่อว่าผลลัพท์ที่ได้มันจะยั่งยืนกว่าเยอะ
การ ดีเบท กันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสม เสื้อเหลือง เสื้อแดง มาดีเบทกันเลยในเรื่องอุดมการณ์และแนวทางประชาธิปไตยล้วนๆ ว่าประชาธิปไตยเสื้อเหลืองเป็นอย่างไร เสื้อแดงเป็นอย่างไร จุดไหนเหมือน จุดไหนต่าง ให้ประชาชนตัดสิน อาจจะลงคะแนนเสียงหรืออะไรก็ตามแต่
ถ้าจุดไหนเหมือนกันก็ร่วมมือกันซะ ถ้าจุดไหนแตกต่างก็หาทางแก้และปรับให้เหมาะสมและอยู่ในจุดกึ่งกลางให้ได้ โดยรัฐบาลอาจทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน ในเรื่องสถานที่ การแก้ไขข้อกฏหมาย หรือ ในเรื่องนโยบาย
ทั้งแดง ทั้งเหลืองค่อยๆ ให้ความรู้กันไปเรื่อยๆ ให้ประชาชนตัดสินบนพื้นฐานของการได้รับข้อมูลทั้ง 2 ด้าน ส่วนรัฐบาลตอนนี้หน้าที่หลักคือหันไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องก่อนดีไหม
ส่วนคดีความต่างๆก็จัดการให้ถูกต้อง โปร่งใส และประชาชนก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่จับใครทีก็ไปกดดันให้ปล่อยแล้ว นิติรัฐ จะทำงานได้อย่างไร
ถ้าประชาธิปไตยของเสื้อแดงไม่ได้หมายถึงทักษิณ และประชาธิปไตยของเสื้อเหลือง ไม่ใช่ ปชป. มันน่าจะต้องมีทางออกสิ
นี่แหละความเห็นคนวงนอกที่มองประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่างเรา
จบแระ เหนื่อยมากๆกับบ้านเมืองตอนนี้
เราว่าเราเป็นกลางพอนะคะ ใครมาอ่านก็อย่ายัดเยียดสีไหนให้เราเลย เราพูดไปตามข้อมูลที่สมองน้อยๆเรามี อาจขาดตกบกพร่อง หรือ เข้าใจตรงไหนผิดไปบ้างก็ชี้แจงแนะนำมาค่ะ อย่ามาหยาบคายหรือเสียดสีเรา ถ้ายังมีความเป็นสุภาพชนเหลืออยู่
Create Date : 14 เมษายน 2552 |
Last Update : 14 เมษายน 2552 2:36:36 น. |
|
8 comments
|
Counter : 783 Pageviews. |
|
|