ตุลาคม 2558

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
19
21
22
25
26
27
28
29
30
31
 
หน้าตากับหน้าที่ เลือกอะไรดี



ในชีวิตคนเรามันเป็นวงจรนะ เกิดมาครั้งหนึ่งก็มาวนรอบหนึ่ง เกิด เกิดมาแล้วก็โตเป็นเด็ก แล้วไปวัยรุ่น จากนั้นเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ แต่งงาน ทำงาน แก่ เจ็บ แล้ว ก็ตาย จะมีแหวกแนวไปบ้างก็ตรงแถวๆโตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานแล้วก็ทำงาน เพราะบางคนก็ไม่แต่งงานทำแต่งาน บางคนก็แต่งงานแล้วไม่ต้องทำงาน ไปนั่งทำหน้าที่ศรีภรรยาและแม่ปล่อยให้ภาระการหาเลี้ยงครอบครัวเป็นของฝ่ายชายไป ในทุกที่ทุกสังคมมักได้ยินเรื่องการผิดศีลข้อสาม กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณีสิกขาปะทังสมาทิยามิ อยู่บ่อยๆ หันซ้ายแลขวา ก็ต้องได้ยินเรื่องผิดผัวผิดเมียกิ๊กคนนี้กั๊กคนโน้นอยู่เนืองๆ บ้างก็ทุกข์หนัก กินไม่ได้ ไม่เป็นอันทำอะไร คอยติดตามกระแสข่าวคนข้างตัวอย่างใกล้ชิด จนบางทีไม่มีมูลก็จินตนาการผูกเรื่องไปเองจนคิดเป็นตุเป็นตะว่ามันคือเรื่องจริงคิดเลยเถิดจนเครียดไม่เป็นอันทำอะไร บ้างก็ใช้ไม้หน้าสามตูมเดียว ไม่แยกทางก็หัวแบะ เปลี่ยนภพชาติไปเกิดใหม่ก็มี แต่มีน้อยที่พอรู้ว่าคู่ของตนไปมีคนอื่นอีกคน ความสัมพันธ์จะจริงจังระดับไหนก็แล้วแต่ แล้วยังหัวเราะเริงร่า เหมือนไม่มีปัญหาได้ เรื่องแบบนี้ปรึกษาใครเพื่อหาทางออกก็คงไม่ได้คำตอบที่ดีที่สุดเพราะไม่มีใครเป็นเหมือนใคร100เปอรเซ็นต์
เข้าเรื่องดีกว่าย้อนกลับไปหลายปีมาแล้วเกือบสิบปีแล้วมั้ง จู่ๆกลางดึกมีโทรศัพท์ดังขึ้นกว่าจะหาโทรศัพท์รับสายสายก็วางไปแล้ว แต่พอดูเลขหมายกลายเป็นน้องหมอฟันที่รู้จักกัน ก็แปลกใจเหมือนกันตีสองมีเรื่องอะไรด่วนหรือโทรผิด เลยกะว่าถ้ามีธุระด่วนคงโทรมาเอง แต่ยังงงว่าไม่ได้สนิทมากมายจนต้องมีเรื่องด่วนที่จะโทรหากันกลางดึกจะโทรมาเรื่องอะไรหว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีโทรศัพท์ดังอีกเลยทั้งคืน เราเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ผ่านไปอีกหลายเดือน กลางดึกบังเอิญเข้าเวรยังไม่นอนก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น คิดว่าคงเป็นที่ทำงานเลยได้ทันรับสาย แต่เปล่าเป็นเบอร์ของหมอฟันรุ่นน้องที่รู้จักกันเบอร์เดิมโทรเข้ามา
เรา: หวัดดีค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ
ปลายทาง: มีค่ะ เป็นเรื่องระหว่างเราสามคน พรุ่งนี้ว่างมั้ยอยากคุยด้วย
เรา : ( งง มากแต่ขี้เกียจคุยพรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้เพราะคนที่คุยปลายทางเท่าที่รู้เป็นคนรักเพศเดียวกับหมอฟันรุ่นน้องเจ้าของเบอร์ที่โทรมา )OK ซักทุ่มเจอกันที่....( เรานัดไปร้านที่เรารู้จักเพราะขี้เกียจหลงทางหาร้าน เราประเภทไม่ค่อยซอกแซก นัดทุ่มจะกลายเป็นสามสี่ทุ่มซะงั้น )
ตื่นเช้ามานึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าจะมีเรื่องอะไร เพราะครั้งสุดท้ายที่เคยให้ดูฟันก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีหินปูนนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นเรื่องฟันนี่คงต้องกราบงามๆในฐานะที่นึกถึงคนไข้ดึกดื่นค่อนคืน ในเมื่อเดาไม่ถูกคิดไม่ออกก็รอตอนเย็นแล้วกัน เปลืองเวลาและความคิดในการทำภาระกิจอันยุ่งเหยิงในแต่ละวันซะเปล่าๆ พอใกล้เวลานัดหมายก็ขับรถไปจอดหน้าร้านเดินเข้าไปเจอหมอฟันรุ่นน้องกับคู่รักเพศเดียวกันนั่งรอเราอยู่ ท่าทางสีหน้าไม่ค่อยดี
เรา : หวัดดีค่ะน้องม่วย อจ.ก้อย ( ขอใช้ชื่อเบี่ยงเบนแล้วกัน )
ทั้งสอง : หวัดดีค่ะ
อจ.ก้อย :ที่โทรหาพี่เพราะก้อยมีเรื่องไม่สู้ดีของน้องม่วย กับสามีพี่ คือก้อยดูมาซักระยะแล้ว ทีแรกบอกว่าคบกันเป็นพี่น้อง แต่มาเห็นหลายๆอย่างในมือถือ ข้อความที่ส่งถึงกันมันไม่ใช่พี่น้องธรรมดา แล้วมันไม่ใช่แต่คำพูด ข้อความ มันเกินเลยมี Physical เข้ามาด้วย
เรา :( เงียบไปสักครู่ จะพูดอะไรดีล่ะ งงมาก เพราะสามีเคยบอกให้ไปตรวจสภาพปากและฟันกับหมอม่วยที่โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ไม่กี่เดือนยังพูดคุยปกติเนียนมาก แล้วที่อจ.ก้อยบอกว่ามันเกินเลยมีPhysical เข้ามาด้วย ก็ไม่รู้ว่าPhysical ระดับไหนอย่างไร ตอนนั้นยังมึนอยู่ )
ม่วย: พี่ ม่วยขอโทษคือม่วยคุยกับพี่เค้าแล้วสบายใจ แล้วตัวเค้าโตๆกอดแล้วเหมือนกอดพ่อม่วย (แล้วก็ยกมือพนมไหว้เราพร้อมกล่าวขอโทษ )บลาๆๆๆๆ
เรา : แล้วเหตุการณ์มีมานานแล้วยัง (เราก็นึกไม่ออกนะจะถามไรดี เพราะเรื่องที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องน่ารู้ซักเรื่อง )
ม่วย :หลายปีแล้ว
อจ.ก้อย :ต้องบอกพี่มาเจอจะได้รู้แล้วก็จะต้องให้ม่วยยอมรับกับพี่ว่าจะไม่ทำอีก บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ม่วย : ต่อไปม่วยจะไม่ทำอีก
เรา: แต่ก่อนพี่กับม่วยก็ดีๆกันอยู่ ก็เห็นเป็นน้องตลอดมา เอาเป็นว่าถือว่าอโหสิและจะเชื่อว่าม่วยจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้อีก วันนี้ขอกลับก่อน เพราะนี่ก็ดึกแล้ว
หลังจากไหว้ร่ำลาตามมารยาทเราก็เดินออกจากร้านขับรถกลับบ้าน เรื่องแบบนี้ของคนรอบข้างเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาให้ได้ยินตลอด วันนี้เจอกับตัวเองเต็มๆ ไม่ใช่แบบมีคนมากระซิบ นี่ชั้นเห็นสามีเธอไปนั่งdrinkกับ....หรือชั้นเห็นสามีเธอจับมือเดินกับ....ซึ่งจริงเท็จถูกตัวผิดตัวตาฝาดหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่อันนี้มายอมรับกันต่อหน้าเลยแบบไม่ต้องคิดซับซ้อนแปลว่าจริงแท้แน่นอน พอถึงบ้านเห็นหน้าคู่กรณีในบ้าน ก็ได้แต่อึ้งจะพูดหรือถามอะไรดีล่ะก็สารภาพกันมาเต็มๆแบบนั้น และอีกอย่างคำบอกเล่าที่จะพูดจะตอบออกมาจะเชื่อได้อีกหรือเปล่าเนี่ย เก็บแรงนอนดีกว่ายังมีงานและเรื่องลูกต้องคิดต้องทำอีกเยอะ
เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กับคู่กรณีในบ้านเลยเพราะเกรงลูกจะได้ยินได้รับรู้ แต่ที่แปลกหลังจากที่นัดมาคุยกันไม่ถึงเดือน ก็มีการส่งforward ข้อความที่น้องม่วยส่งมาsweet หวานแหววกับสามีมาให้ตลอดจากเบอร์น้องม่วย ก็ยังนึกไม่ออกว่าส่งมาให้ดูเพื่ออะไร แต่ไม่นานก็พอจะเดาได้ เพราะอาจารย์ก้อยโทรมาเล่าให้ฟังว่า ทั้งคู่ยังคบหาไปเที่ยวค้างอ้างแรมกันอีก เพราะจับได้ว่าโกหก บลาๆๆๆๆๆๆๆ จึงทำให้เข้าใจลางๆว่าหลังจากบังคับมาสารภาพผิดแล้ว เราไม่ได้ดำเนินการอะไรแต่อย่างใด จึงอาจส่งข้อความมากระตุ้นให้ลุกมาทำอะไรเพื่อให้ทั้งคู่ยุติความสัมพันธ์ จนท้ายสุดต้องโทรมาเล่าให้ฟังว่าทั้งคู่ยังคบหากันอยู่
จริงๆหลังจากนี้ก็เริ่มมีคำพูดของคนรอบข้างพูดจาแปลกๆซึ่งมารู้ภายหลังว่าทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างเปิดเผย แต่เพื่อนฝูงหรือเพื่อนทีทำงานไม่มีใครกล้าเล่าให้ฟังตรงๆ
กลับมานั่งทบทวนว่าต้องตามกระแสลุกมาไล่ล่ายุติความสัมพันธ์ของคนทั้งสองหรือ ก็ได้คำตอบว่า การกระทำอย่างนั้นทำเพื่อต้องการให้ได้คนกลับมา คิดต่อไปว่าเราจะไปตามเอาคนที่ไม่ได้เห็นความสำคัญของเรากลับมามันมีประโยชน์อย่างไร นอกจากทำให้คุณค่าความเป็นคนของเราหดหายไปกับการวิ่งตามแล้ว ยังทำให้ต้องเจียดเวลาจากหน้าที่ในงานประจำและหน้าที่ในฐานะเป็นแม่ไปอีกด้วย เพราะตอนนี้ลูกกำลังจะสอบentrance จากที่เคยเห็นชีวิตคู่หลายๆคนที่ประสพปัญหาทำนองนี้ บางคนทุกข์หนักเพราะกลัวความมั่นคงในชีวิตล่มสลายถ้าเลิกกันจะอยู่อย่างไร ทำให้เราตั้งใจกับตัวเองตั้งแต่มีลูกคนแรกว่า จะอย่างไรเสีย ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอ ทำให้เราพยายามเก็บหอมรอมริบไม่เลิกจากงานประจำเผื่อว่าเหตุการณ์ข้างหน้าไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จะได้ไม่ทุกข์ว่าความมั่นคงในชีวิตขาดหายต้องพยายามไขว่คว้าหลักยึดจนหมดความสุขหมดความเป็นตัวตนไป บางคนมองว่ารู้สึกเสียหน้า อับอาย รู้ไปถึงไหนก็อายถึงนั่น เพราะฉะนั้นต้องยื้อแย้ง ยุติความสัมพันธ์นั้นเสีย เรากลับมีมุมมองว่า ถ้าเราห่วงหน้าตาในสังคม แล้วการที่ลุกไปไล่ล่าแบบกึ่งเสียสติ แน่นอนคนเราจะดราม่าเก็บอารมณ์ได้มากขนาดไหนเชียวมันยิ่งดูน่าอับอายและไร้สาระเหมือนตัวตลกมากกว่า และเรื่องแบบนี้คนที่ควรอับอายควรเป็นหมอฟันม่วยกับสามีเรามากกว่าไม่ใช่ตัวเรา เว้นแต่ค่านิยมของสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือหน้าที่การเป็นแม่ เพราะถ้าเรามัวแต่ใช้เวลาในชีวิตไปกับการตามล่า มันจะเบี่ยงเบนความสนใจและดึงเวลาที่จะต้องทำต้องเตรียมหลายอย่างต่อการentrance ของลูก และแน่นอนความไม่มั่นคงในอารมณ์ของคนในครอบครัว ถ้าหากมันส่งผลต่อช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของลูกเราคงจะยอมรับได้ยากกว่าเรื่องที่เผชิญอยู่แน่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ในเวลานั้นคือจดจ่อกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของลูกและตัดเรื่องที่เผชิญนั้นออกไปจากสมองเพราะมันคือหน้าที่ที่สำคัญที่สุดตรงหน้าขณะนั้น ส่วนหน้าตาในสังคมว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่เราคิดจินตนาการไปมากมาย แท้จริงแล้วถ้าเราไม่ได้ใส่ใจก็ไม่สามารถรู้สึกอะไรได้เลย เพราะไม่มีใครจะทำให้เรารู้สึกได้เท่าเรารู้สึกเอง จริงๆตัวตนเรามันว่างเปล่า และว่าไปแล้วเราไม่ใช่คนสำคัญระดับที่ใครๆจะต้องกล่างถึงเป็น talk of the town เพราะฉะนั้นหน้าตาเป็นแค่สิ่งสมมุติเราจินตนาการไปเองว่ามันคือเรื่องสำคัญเพราะฉะนั้นทางออกของเราจึงคิดว่าคนที่เดือดร้อนกับเรื่องนี้ น่าจะเป็นคนที่ลุกมาจัดการอะไรต่างๆให้ความสัมพันธ์ยุติเพื่อช่วงชิงหมอม่วยกลับไป คนที่เดือดร้อนน่าจะเป็นคนสองคนที่ต้องพยายามหาช่องทางลักลอบเจอกันมากกว่า และอีกอย่างถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อยากพบเจออีกในภพชาติต่อไป ก็ขอไม่รับกรรมนั้นมาผูกติดกับจิตไว้จะดีกว่า เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องมาจองเวรกันอีก ......มาถึงตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้วว่าระหว่างหน้าที่กับหน้าตา จะเลือกอะไรดี


สารบัญ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=jungbb&month=16-10-2015&group=2&gblog=2



Create Date : 23 ตุลาคม 2558
Last Update : 24 กรกฎาคม 2559 19:54:23 น.
Counter : 427 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jungbb
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments