Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
28 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
เฉพาะแฟนชิงชัง (ตอนที่ 50 ความลับไม่มีในโลก(จริง ๆ นะ))


ละคร ชิงชัง
บทประพันธ์ จุฬามณี
บทโทรทัศน์ ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์
กำกับการแสดง สันต์ ศรีแก้วหล่อ
ออกอากาศ ททบ.5


เฮ้อ...น้ำตากระจายไปหลายรอบ ต้องบอกว่าวันนี้ฉากใหญ่อยู่ที่พี่ยอดกับพระอิน แม้จะมีหลากหลายองค์ประกอบรายล้อมอยู่ก็ตาม
แต่คำสารภาพผิดของหลวงพี่อินกินใจจนอึ้ง พูดไม่ออก แต่น้ำตาไหลตลอด เพราะซึ้งกับความเป็นลูกผู้ชาย นักเลงจริงแม้จะอยู่ในสมณะเพศ

เรื่องราวจากอดีตไหลย้อนมาสู่ปัจจุบัน ดังสายน้ำที่ถาโถมเข้าใส่ชายผู้ไร้ความทรงจำอย่างชลาชลจนแทบหายใจไม่ทัน แต่ความทรงจำที่เขาถวิลหานั้น ช่วยให้เขาโผล่ขึ้นจากกระแสน้ำแห่งความไม่มีตัวตน ให้ตื่นลืมตามาพบกับความจริงที่เขาค้นหามานาน

ใครบางคนบอกเราว่า การกล่าวคำอโหสิกรรม ให้หมดเวร สิ้นกรรมแก่กันนั้น ควรกระทำในขณะที่ผู้ขออโหสิเป็นผู้กล่าวขึ้นมาเอง เมื่อนั้นคำกล่าวนั้นจะสัมฤทธิ์ผล ดังเช่นที่หลวงพี่อินกล่าวกับชลาชล หรือไอ้ยอดอดีตคู่ปรับตัวฉกาจ

ชอบนะ ชอบฉากในโบสถ์นี้มากเลย ชลาชลกับความสับสนในตัวเอง ความอยากรู้เรื่องราวในอดีต ไม่ได้ทำให้เขากลัวว่าจะต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง กล้าที่จะเดินหน้าเผชิญกับความจริง กล้าที่จะให้อภัย และอโหสิกรรม ให้กับคนที่ทำให้เขากับแม่อิ่มต้องพลัดพรากจากกันร่วมยี่สิบปี แต่ก็นะ เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ความคิดความอ่านย่อมโตขึ้นตามอายุขัย ใจที่เคยร้อน อยากได้ใคร่ดีก็เย็นลง ไม่ว่าจะเป็นทิดอินหรือไอ้ยอดแห่งท่าน้ำอ้อย

อ้อ ชอบที่หลวงพี่อินบอกกับไอ้ยอดว่า อาตมาบวชเพราะต้องการล้างบาปที่เคยก่อไว้ และสวดมนต์ภาวนาอุทิศผลบุญกุศลให้กับไอ้ยอดที่เข้าใจมาตลอดว่าตายแล้วนั้น เราเชื่อว่าผลบุญตรงนี้นี่เองที่ช่วยส่งให้ไอ้ยอดได้ดิบได้ดี แม้จะเคยทำไม่ดีไว้หลาย ๆ เรื่องในอดีตก็ตาม

วันนี้สงสารแม่อิ่มมาก เวลาเกือบยี่สิบปีที่เฝ้าคอยให้คนรักกลับ ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แม้จะเตือนตัวเองอยู่ว่า สามีของเธอนั้นตายแล้ว แต่เมื่อเจอหน้า วินาทีนั้นแม่อิ่มคิดอะไร ? สับสน งุนงง สงสัย ใคร่รู้ว่าเขาคือใครกันแน่ ? สำหรับเรา คิดว่าแม่อิ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ (เลยขอเป็นลมดีกว่า) เพราะความที่อยู่กับความเข้าใจมาตลอดว่าไอ้ยอดนั้นชีวิตหาไม่แล้ว แต่นาทีที่เจอหน้า แม่อิ่มกลับบอกตัวเองว่าเขาคือไอ้ยอด และเขายังไม่ตาย เขากลับมาหาเธอแล้ว

แต่ตอนนี้ผู้ที่จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลย
นังอุ่น เมื่อความจริงเริ่มกระจ่างชัดว่าไอ้ยอดยังไม่ตาย
ความลับที่เธอเก็บเงียบไว้มาตลอดนั้น กำลังจะถูกไขขึ้น
ความลับไม่มีในโลกใบนี้ มันพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ

การกระทำในอดีตที่เธอเคยคิดว่ามันไม่ผิดนั้น มันกลับมาหลอกหลอนให้ใจของนังอุ่นร้อนเป็นไฟ เมื่อผู้รับกรรมที่เธอเคยก่อไว้นั้น ไม่ใช่ใครอื่น คือเลือดในอกผู้ที่เธอรักดังแก้วตาดวงใจและเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลจากกระทำนั้นได้เลยหากต้องเผยความจริงให้ทุกคนได้รับรู้

"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"

ความรักของยงชัยกับก้อยไม่ผิดไปจากคำกล่าวของพระพุทธองค์เลยแม้แต่น้อย

อยากบอกคำนี้กับยงชัย และก้อย

"อดทนไว้นะทั้งสองคน เวลาจะช่วยเยียวยาบาดแผลเหล่านั้นได้ดี"


โมริสา

ป.ล.พรุ่งนี้เตรียมผ้าผืนใหญ่ไว้ซับน้ำตาด้วยนะ

ป.ล.ที่สอง วันนี้ความเห็นอาจติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้างต้องขออภัย
เพราะโมริสาปวดหัว ไม่ฉะบายยยยยยย


คำเตือน : นี่คือความคิดเห็นหลังดูละครจบ
ใครจะเห็นอย่างข้าพเจ้าหรือไม่ ไม่ใช่ความผิด
ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ไม่ผิดเช่นกันที่จะมีความเห็นเช่นดังที่กล่าวมาแล้ว

โปรดใช้วิจารณญาณ

โดย: โมริสา IP: 125.24.3.180 27 ตุลาคม 2552 23:01:42 น.

----------------------------------------------
เซ็งง่ะ! ....ไม่ได้ออกไปไหนเลยต้องรอดูชิงชัง
เซ็งง่ะ! ....เวลามันน้อย
เซ็งง่ะ! ....ร้องไห้บ่อย อายนะเฮ้ย
เซ็งง่ะ! ....มันจาจบง่ะ
เซ็งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง่ะ
โดย: ป้านางน้อย IP: 112.142.10.75 27 ตุลาคม 2552 23:50:31 น.



สวัสดีครับทุก ๆ คน..
ได้กลับมาทำงานที่บ้านเสียที อะไร ๆ มันก็เลย คล่องมือหน่อย......หิ้วววววววววว เมื่อวานมีนัดปรึกษางานกับคุณลีและเพื่อน ๆ ตอนสาย ๆ กว่าจะลาจากกันได้ เกือบบ่ายสามโมง ประมาณว่า พอมองนาฬิกาว่าเป็น บ่ายสองครึ่งกว่า ๆ ผมก็ ไปละนะ เดี๋ยวดูชิงชังไม่ทัน(จริง ๆ ก่อนหน้านั้นน่าจะคุยกันเรื่องงงานแต่ว่า ก็มีแต่เรื่องชิงชังเลยได้คุยงานกันห้านาทีเอง)...ขึ้นรถที่รังสิตได้ตอนเกือบสี่โมงเย็น ภาวนาในใจว่า ทันเถอะ ทันเถอะ ถึงบ้านทุ่มกว่า ๆ รื้อค้นหนังสือที่ซื้อมา..อาบน้ำ กินข้าว แล้วก็ นอนผึ่งพุง...

พอเพลงมา..จิ๊ดนึง ..โอ้ว แค่นี้เอง สงสัยจะเก็บเวลาเอาไว้โฆษณาแน่ ๆ เลยยยยยยยยยยย...อิอิ..

ก็อะนะ น้ำขึ้นให้รีบตัก..

เอาเป็นว่า เปิดฉากมาตอนเช้า พระเดินออกมาบิณฑบาตร ที่หน้าวัด..ฝนตกด้วย เป็นอะไรที่ทุ่มเทกันเต็มที่จริง ๆ ครับ แสดงว่า ตกก็ต้องถ่าย แต่ว่าไปมันก็ได้อารมณ์จริง ๆ เหมือนกันนะ เมื่อสมัยบวชพระอยู่ วันไหนที่ตื่นมาแล้วฝนตั้งเค้า ผมจะรีบห่มผ้าออกจากวัดเลย แบบถ้าตกระหว่างทาง กะดีใจหน่อย แต่ถ้าตกแล้วไม่ออกนะ แบบนั้นไม่ตื่นเต้นนนนนนนนนนนนนนน...

ตัดมาอีกที มีคนมาส่งข่าวว่าปิงแย่ ...ตามความเป็นจริง คงจะแห่กันไปทั้งครอบครัว แต่ว่า มีพระอาทิตย์ คุณแม่อิ่มและคุณแม่อารีย์(สมชื่อขึ้นหน่อย) ไปแค่สาม เหตุที่ไม่สามารถทำให้สมจริงนี้ พี่ศิริลักษณ์เคยอธิบายให้ฟังว่า...เอาไปก็ไปขโมยซีนกันเสียเปล่า ๆ ก็เลย..ใช้ตัวละครที่ควรใช้เท่านั้น..

..
และก่อนหน้านั้นพี่เขาก็โทรมาถามว่า.. ที่เตียงคนไข้ ให้พระอาทิตย์ชักบังสุกุลได้ไหม ..คำตอบจากผม คือ..กรณีเพิ่มความสลดสังเวชใจ ..ตามธรรมเนียมที่เคยเห็น ไม่มีนะ แถมเป็นพระใหม่เสียด้วย คงไม่เก่งกาจขนาดนั้น ถ้าจะมีก็ประมาณว่าโยมพ่อภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ นะ แต่เขาก็เปลี่ยนเป็นท่องบทบังสกุลแปลเพื่อบอกทางสวรรค์...บอกตามตรงว่าฉากนี้มันตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย แต่ว่า ก็พาให้น้ำตาคลอ ๆ ไปได้ และที่ชอบก็ตรงที่พระออกไปยืนร้องไห้นอกห้อง....

วันนี้ขอนำเสนอ ฉากต่าง ๆ ในละคร แต่มาในรูปแบบนวนิยาย...ซึ่งท่านที่เคยอ่านนิยายแล้วจะรู้ว่า ทางละครนั้นมีการเรียงฉากและขยี้อารมณ์กันใหม่....ซึ่งบางท่านก็ว่าดีกว่านิยาย และคอนิยายก็ว่านิยายซึ้งกว่า...


สำหรับฉากงานบวชในนวนิยาย.........

พระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากยอดไม้..พร้อมกับที่ขบวนแห่พ่อนาคจากบ้านไปวัดได้ก่อตัวเป็นทิวแถว..คณะนางรำอยู่ข้างหน้าตามด้วย แตรวง ถัดมาเป็นเด็กและผู้หญิงที่ถือเครื่องไทยธรรม สำหรับถวายพระในโบสถ์ยี่สิบแปดชุด..ยี่สิบแปดคนทำให้บดบังพ่อนาคสองคนที่นุ่งจีบสีขาวห่มครุยขิบทองเดินถือกรวยตุ้มพนมมือ.พร้อมกับภาวนา พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ..

แรกที่เดียว จะให้พ่อนาคขี่คอหาม แต่ หมอเรวัตรมาห้ามไว้ ด้วย..มีเหตุไม่ชอบมาพากล..

“เมื่อค่อนแจ้ง นายปิงฟื้นขึ้นมาคุณอิ่ม แล้วแกพยายามที่จะบอกกับนางพยาบาลว่าให้มาบอกกับคุณ ว่าพวกที่มันทำร้ายแก ก็คือกลุ่มคนที่มุ่งจะมาทำร้ายยงชัยกับอาทิตย์ ให้ระวังตัว เพราะพวกมันมีปืน”

เมื่อได้ยินเรื่องในตอนเช้าตรู่ อิ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำ..นึกแต่ว่า..เกิดอะไรขึ้น จนกระทั่ง..อดรนทนไม่ได้จึงต้องแอบไปกระซิบถามอาทิตย์

“ลูกมีเรื่องกับใครที่ไหนบ้างหรือเปล่า”

“มีอะไรหรือแม่”

“ระวังตัวหน่อยแล้วกัน พยายามเกาะน้องไว้ ตราบใดที่ยังไม่อยู่ในโบสถ์อย่าให้แยกไปจากกลุ่มคนเป็นอันขาด..ทั้งสองคน แม่ฝากน้องด้วยนะ อย่าบอกให้น้องรู้”

และตามปกติขบวนแห่นาคนั้นคนถือผ้าไตรจะต้องเดินตามหลังนาค แต่ขบวนนี้ อิ่มจัดแจงให้นาคสองคนเดินไปพร้อมกัน ด้านหน้าเป็นผ้าไตรที่ตนถือให้อาทิตย์และอุ่นถือให้ยงชัย..ส่วนประภาและปาริฉัตร ถือหมอนเดินขนาบข้างกับบรรดา ญาติ ที่ถือเสื่อสาดและอัฐบริขาร ล้อมหน้าล้อมหลังจนดูไม่สวยงาม..

“มันเป็นอะไรของมัน แล้วมันจะเดินถนัดได้อย่างไร”

มีเสียงซุบซิบให้ได้ยิน..

แม้จะรู้สึกตื้นตันในสิ่งที่มนุษย์ทำได้ยาก..คือได้เป็นทายาทกับพระพุทธศาสนา แต่อิ่มก็รู้สึกในหัวอกมีหลายอารมณ์ประเดประดังเข้ามาจนเธอแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้..เรื่องของเจ้ายอดตัดออกไป..เพราะทางบ้านนั้นก็คงจะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้เรื่องใหญ่นี่เสร็จสิ้นลงไปจึงจะเข้ามาพูดคุยกันได้...อีกเรื่องก็อุ่น เมื่อรู้ว่า คนที่มันคนรักใคร่เทิดทูนบูชากลับมา มันแทบกระโจนลงจากบ้านวิ่งไปหา ดีแต่เธอได้สั่งญาติที่อุ่นพอจะเกรงใจไปห้ามปรามไว้..แต่ถึงกระนั้นในดวงหน้าก็ยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มอย่างผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก

อิ่มนึกถึงเรื่องเลวร้าย ณ บ้านหนองโพธิ์ เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ที่อุ่นตามเจ้ายิ่งไป ก็เพราะ..ต้องการเป็นมารหัวใจตน อุ่นรักยอด รักมาตั้งแต่เด็ก ยันเป็นสาว..อนิจจา ชีวิตใครกำหนด ต่างคนก็ต่างเดินไปบนเส้นทางที่ไม่คิดฝัน ชีวิตเหมือนกอสวะในแม่น้ำลอยมากระทบกันแล้วแยกหายจากกันไปตามกาลเวลาและเหตุปัจจัย

อีกความรู้สึก อิ่มก็นึกถึงคนที่นอนเจ็บในโรงพยาบาลกับความพยายามที่จะทำหน้าที่ของพ่อบังเกิดเกล้าเป็นครั้งสุดท้าย..เอาชีวิตเข้าแลก เพื่อชีวิตของลูก..อนิจจาใจของพ่อที่ลูกควรจะรับรู้แม้เป็นพระคุณเพียงเศษเสี้ยวก็น่าสรรเสริญ

ผู้อีกคนซึ่งวันนี้ เธอน่าจะมา แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว..สงสารก็แต่มารดาตนเฝ้าชะง้อรอคอย ด้วยหวัง..กับคำว่าให้อภัย..

“ช่างใจดำผิดมนุษย์มนา น้าไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้” น้าทองแดงคนที่เคยอุปถัมถ์ค้ำชู อารีย์กับเอื้องอรุณ เปรยขึ้นมาเมื่อรู้ว่า อารีย์ไม่ยอมมาในงานนี้..

เมื่อขบวนแห่นาคเข้าเขตวัด กลับทำให้อิ่มยิ่งหนักใจยิ่งขึ้น..เพราะบริเวณนั้นมีผู้คนมากหน้าหลายตา มายืนรอร่วมบุญร่วมขบวนอนุโมทนา..บางคนอิ่มก็รู้จัก บางคนอิ่มคิดว่าน่าจะเป็นคนรู้จักของฝ่ายน้องๆ หรือไม่ก็เพื่อน ๆ ของพ่อนาคทั้งสอง..

และหมอเรวัตร ก็ทำหน้าที่เพื่อนแท้ให้เธอได้ซาบซึ้งใจอีกครั้ง เมื่อเห็นตำรวจห้านาย ยืนรอขบวนและเมื่อขบวนมาถึงตำรวจก็แบ่งกันเดินขนาบพ่อนาคข้างละสองคนสามคน..

“ขอบพระคุณนะคะ” อิ่มยกมือทำความเคารพเขาอีกครั้ง..หลังขบวนแห่นาค นำพ่อนาคเข้าประตูโบสถ์ไปนั่งพับเพียบรอคณะสงฆ์อุปัชฌาย์และกรรมวาจาร

“คุณอิ่ม.. ไม่น่ะ เราเพื่อนกันไง เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนซิ”

“ถ้าเขาสองคนเปรียบฉันเป็นแม่บังเกิดเกล้า คุณก็คงจะเป็นเหมือนพ่อเขา..ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ” อิ่มอดที่จะน้ำหูน้ำตาไหลไม่ได้ เมื่อระลึกความปรารถนาดีแต่หนหลังของผู้ชายคนนี้..

หมอเรวัตรยิ้มน้อยๆ..เขารู้ว่าแม้อายุจะเลยมาปูนนี้แล้ว ภายในหัวใจของอีกคนไม่เคยมีใครเข้ามาแทนที่คนที่หายสูญไป แล้วได้กลับมา ในเวลาค่ำคืนนี้ได้เลย..

“เสร็จงานนี้คุณน่าจะทบทวนผังชีวิตอีกสักครั้งนะครับ” หมอเรวัตรกระเซ้าตรงบันไดขึ้นโบถส์.. อิ่มยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะเลี่ยงเดินเข้าไปในโบสถ์เพื่อประกอบพิธีบวชให้เสร็จสิ้น

เมื่อไปถึงอิ่มใจหายวาบ ด้วยที่ตรงนั้น ไม่มีนาคยงชัย.. ยังไม่ทันที่อิ่มจะถามอีกคน พอดีเสียงปืนก็ดังก้องบริเวณด้านหลังอุโบสถถึงสองนัด

“ยงชัย ไม่นะ ไม่จริง”

เสียงหวี๊ดว๊าย ความโกลาหลของผู้คนเกิดขึ้นอีกครั้ง.. อิ่มยืนละล้าละลังพอดีกับที่นาคอาทิตย์ลุกขึ้นฉวยมือคนเป็นแม่ให้เดินกึ่งวิ่งตามออกไปทางประตูโบสถ์ด้านหลัง ..และเสี้ยวนาทีนั้น คนที่ผละเข้ามาเกือบจะชนกันเป็นคนที่ทั้งสองคิดว่าจะประสบเภทภัยอันตรายถึงชีวิต..

ใจเอย..ใจหาย..อันตรายมันหมายชีวิต..

หากมันปลิดชีพเจ้าได้ แม่คงตายตามกัน..

“ยงชัย !!ลูกแม่ ไม่เป็นอะไรนะ ใช่ไหม” อิ่มเข้าไปสวมกอดร้องห่มร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย..

“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา บุญรักษา เทวดาคุ้มครองนะลูก..แม่บอกแล้วใช่ไหมอย่าไปจากกลุ่มคน ทำไมหนูไม่เชื่อ ทำไมอาทิตย์ไม่ห้ามน้อง”..

อิ่มยังพร่ำพรรณาด้วยน้ำตานองหน้า จนหมู่ญาติ ต้องมาแยกตัวให้ไปสงบสติอารมณ์

เมื่อเหตุวุ่นวายยุติลง พิธีกรรมทางสงฆ์ก็เริ่มต้นขึ้นประหนึ่งว่า ในบริเวณวัดไม่เคยเกิดเรื่องร้ายชนิดคร่าเอาชีวิตคนหัวโล้นเกลี้ยงเกลานุ่งห่มผ้าสีขาวสะอาดตาที่กำลังกล่าว..

“เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ,ฯ”




เสียงคนข้างล่างอื้ออึงคล้ายตกอกตกใจอะไรบางอย่าง จนอาทิตย์ต้องรีบเดินไปที่นอกชาน ชาวบ้านที่มาร่วมงาน แรกทีเดียวนั่งอยู่เป็นวงต่างก็ลุกจากที่กรูไปรายรอบคนที่มาใหม่ นั่นก็คือคุณชลาชล บุตรสาวสองคนและยงชัย..

อาทิตย์รู้สึกฉงนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อตั้งสติได้ เขาได้ยินว่า

“ไอ้ยอด ไอ้ยอดจริง ๆ โว้ย..ไอ้ยอด มันยังไม่ตาย..” จากเสียงหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม จนสุดท้ายอิ่มที่นั่งใจคอไม่ดี กระโดดผึงรีบลุกขึ้นก่อนจะทรุดกายลงไปนั่งตามเดิม

“ไม่” หญิงสาวใจเต้นแรงยากจะควบคุม สุดท้าย..ก่อนที่สติสัมปัชชัญญะจะเลือนหาย หญิงสาวเห็นคนที่ตัวเองรอคอยถึงยี่สิบปี โผล่พ้นมาทางบันได โดยอาทิตย์ได้ยกมือไหว้ทำความเคารพ ตาสองคู่ประสานกัน สายตาของเขามีแววฉงนฉงาย..เขามองเธอเหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน..และที่สำคัญเธอรู้แล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยไม่รักเขาอย่างที่พูดไว้เลย..

“แม่อิ่ม ๆ ๆ” ความโกลาหลเกิดขึ้นที่บ้านริ่มแม่น้ำ แตรวงหยุดบรรเลงเพลง เพราะว่าความสนใจของชาวบ้านส่วนใหญ่ อยู่ที่ผู้มาเยือนในค่ำคืนนี้ อิ่มทรุดฮวบลงเมื่อเห็นหน้าคนที่ตนเองรักสุดหัวใจ ใจที่อยู่อย่างรอคอยแห้งแล้งเหมือนดินคอยฝนไม่สามารถกลั้นความดีใจไว้ได้ สติสัมปชัญญะดับหาย ก่อนจะได้รับการปฐมพยาบาลจากภรรยาหมอเรวัตรจนกลับลืมตายอมรับความจริงได้

“แม่อิ่ม ..” คนเป็นแม่ค่อย ๆ เรียกชื่อลูกสาว ด้วยเกรงว่าจะไม่สามารถระงับความดีใจไว้ได้อีก เมื่อตั้งสติได้อิ่มจึงร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเตา ซึ่งไม่แตกต่างจากตายังนางย้อย เมื่อมีคนไปแจ้งว่าเห็นไอ้ยอดกลับมาแล้ว ผู้เป็นพ่อกับแม่แทบจะหงายหลัง ก่อนจะวิ่งลงเรือนอย่างลืมแก่ลืมตาย..พอมาถึงยายย้อยก็กอดหน้ากอดหลังพร่ำรำพรรณว่า

“โธ่..ไอ้ยอดลูกแม่ เอ็งหายไปไหนมา เอ็งไปอยู่ที่ไหนมาตั้งยี่สิบปี เป็นตายร้ายดีไม่เคยส่งข่าว ไอ้คนใจดำ ไอ้คนใจดำ” ว่าแล้วนางก็ตีอกผู้ชายวัยสี่สิบกว่า ๆ ดังตั๊บ ๆ อย่างแค้นใจ..สายใยของความรักระหว่างพ่อแม่ลูกทำให้ชลาชลเองก็ร้องไห้โฮ ๆ เช่นกัน เหตุที่เขาร้องเพราะถึงเวลานี้เมื่อทุกอย่างกระจ่างเป็นอัศจรรย์เขาก็ไม่สามารถจดจำความรู้สึกต่าง ๆ ได้ เขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร นี่พ่อ นี่แม่ แล้วคนอื่น ๆ... เขายืนงงเป็นไก่ตาแตก..

เมื่อเหตุการณ์สงบ วงดนตรีที่อยู่ข้างล่างก็เล่นต่อไป วัยรุ่นที่ไม่รู้เรื่องก็กลับไปสนุกสนาน ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ฟื้นความจำกันอยู่ข้างบนเรือนดังเก่า

อิ่มมองร่างกำยำ ที่นั่งตรงหน้าด้วยกำลังหยั่งความรู้สึก ลูกสาวสองคนได้รับการแนะนำให้รู้จักคนเป็นปู่ เป็นย่าและคนอื่น ๆคงจะเป็นญาติ ๆ กันเพราะบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน

คุณชลาชลหรือเจ้ายอดเริ่มเล่าประวัติของตัวเองตั้งแต่วันที่ฟื้นคืนสติที่ศาลาท่าน้ำของวัด อิ่มนั่งฟังด้วยใจระลึก..

คนแก่บางคนก็ได้แต่อพิโธ อเน็จอนาจกับความเป็นมา ค่ำคืนนั้นตายังกับยายย้อยก็พาบุตรชายกลับไปที่บ้านพร้อมหลาน ๆ


ที่บ้านของตายังนายย้อย เมื่อลูกชายคืนเรือนอย่างอัศจรรย์ พ่อกับแม่ก็พาไปดูรูปถ่ายเก่า ๆ ที่บุตรชายเคยถ่ายไว้สมัยเป็นเด็ก นั่นรูปตัว นี่รูปน้องชายที่ตายไป แล้วผู้เป็นพ่อก็นั่งลำดับเรื่องราวถ่ายทอดให้ลูกชายฟังทุกอย่างเพื่อทบทวนความทรงจำ

แต่คุณชลาชล หรือเจ้ายอดของคนท่าน้ำอ้อยหาจำสิ่งใดได้..นอกจากแววตาดีใจของผู้หญิงคนนั้น มันทำให้เขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แฝงมาด้วย

“นั่นคือนังอิ่ม เมียเอ็ง” ตายังเองก็รู้สึกไม่สนิทสนมกลมเกลียวเหมือนเมื่อก่อนด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ของลูกชายในวันนี้ดูดีมีราคา อากัปกิริยาก็คนละชั้นกับเขาเสียแล้ว

“ช่วยเล่าให้ผมฟังโดยละเอียดที่สุดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น”

“นังอิ่ม”

“อิ่ม” ชลาชลทบทวนชื่อจนกระทั่งคล่องปาก แล้วผู้เป็นพ่อกับแม่ก็เล่าตามที่ตัวเองรู้และเข้าใจ






และค่ำคืนนั้น เจ้ายอดหรือชลาชล ก็ให้ผู้เป็นพ่อและแม่ช่วยบอกเล่าความเป็นมาแต่หนหลัง..ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นอย่างละเอียด..

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาเดินเลาะถนนริมแม่น้ำมุ่งตรงไปที่วัด หวังที่จะพบใครสักคนที่มีเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อได้พบตัวเขาจึงก้มกราบ อย่างคนที่พอรู้ธรรมเนียม

“กลับมาแล้วรึ” พระภิกษุวัยเดียวกัน นั่งอยู่บนแท่นหินใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ด้วยอาการสำรวม สงบ แววตาของท่านมีความเมตตาและกรุณา..

“ครับ ผมมีเรื่องจะรบกวนถามท่านนะครับ”

แล้วหนุ่มใหญ่นามชลาชล ก็ได้บอกเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบมา..จนถึงวันนี้..

“รู้แล้วได้อะไรไม่รู้แล้วได้อะไร” พระภิกษุวัยกลางคนยิ้มในวงหน้าพอทำให้อีกคนรู้สึกเป็นมิตร..ถ้าเอากันตามจริง เมื่อยี่สิบปี ก่อนคนสองคนที่เผชิญหน้ากัน ก็คือศัตรูคู่อาฆาต

“ถ้าโยม อยากรู้จริง ๆ ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร อาตมา จะเล่าให้ฟัง แต่โยมต้องสัญญา ว่าเมื่อรู้แล้ว โยมจะไม่เก็บกลับไปเสียใจ เสียดาย หรือว่ากล่าวโทษใครในภายหลัง อันที่จริง เรื่องนี้ มีอาตมา มีโยมอิ่ม โยมอุ่น และน้องชายของโยมที่เสียชีวิตนั่นรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี”

แล้วพระภิกษุก็เริ่มเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคนความจำเสื่อมนามชลาชลให้ได้รับรู้..วัยเยาว์เป็นเพื่อนเล่นกัน..โตขึ้นมาบวชร่วมอุปัชฌาย์ กินข้าวบาตรเดียวกัน รักสาวคนเดียวกัน ..ก่อนที่อีกคนจะใช้เล่ห์เหลี่ยมทำเสน่ห์ยาแฝด ทำให้ผู้หญิงอีกคนต้องแปดเปื้อน ..หนีตามกันลงจากเรือนด้วยฤทธิ์ดำกฤษณาไปตกระกำลำบาก..และคนที่สูญเสียก็ตามไปเอาคืน ไปตามจองล้างจองผลาญให้ฉิบหายวายวอดหมายชีวิตและผู้หญิงคนนั้นคืนมา..เมื่อตกที่นั่งลำบาก...ชีวิตของไอ้ยอดถูกใส่ร้ายว่าเป็นเสือปล้นก่อนจะลับหายไป ..พร้อมกับที่ตนเองก็ไม่ได้ผู้หญิงคนนั้นไว้ในครอบครอง..และสุดท้ายเพื่อบูชาหัวใจรัก ไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ เขาขอบวช มอบกายถวายชีวิตในพระพุทธศาสนา

“ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็มีเท่านั้นนี้ อาตมาเล่าตามจริง บางเรื่องอาจจะเข้าใจถูกบ้าง บางเรื่องอาจคิดไปเอง..ในเวลานั้น ใช้แต่อำเภอใจเป็นผู้ตัดสินถูกผิดไม่ได้คิดอะไร..เมื่อโยมกลับมาแล้ว..ก็ลองถามตัวเองซิ ว่าจะมีประโยชน์อะไรกับใคร นอกจากพ่อกับแม่ของตนที่ตกระกำลำบากมานาน ลำพังโยมอิ่ม เขาสบายไปแล้ว เด็กสองคนแม้ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูกตัว..และอาตมาก็ยืนยันได้ว่า เด็กสองคนมีความกตัญญูรู้คุณคน พอที่จะไม่ทำให้ผู้มีอุปการคุณเดือดเนื้อร้อนใจ .. เอาง่าย ๆ ปัจจุบันนี้เขามีความสุขกันตามประสา..ถ้าไม่ได้ รักใคร่ปรารถนาเขาอย่างแรงกล้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาตมาก็แนะนำว่าต่างคนต่างอยู่เถอะ ไม่มีประโยชน์อะไร ชีวิตผ่านมาถึงปูนนี้แล้ว หาอริยะทรัพย์ติดตัวดีกว่า เรื่องระหว่างเรา ที่ผิดต่อกัน อาตมาขออโหสิกรรม”

ชลาชลยกมือพนม

“ผมก็ขออโหสิกรรม อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันเลยครับ”

ชลาชลลุกเดินออกมาจากร่มโพธิ์ด้วยความรู้เบาสบายกว่าตอนเข้าไป ..เมื่อรู้แล้วอดีตสำหรับเขากับที่นี่ ไม่ได้ดีเลิศอะไร ยิ่งทำให้เขารู้สึกสำนึกผิด..ต่อคนหลาย ๆ คน...ความชั่วที่ทำลงไปในวันนั้นเพราะความขาดสติ..เพราะโมหะบังตา..จึงได้มาครอบครองด้วยความทุกข์ตรม.




เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เห็นคนเจ็บนอนเรียงราย..พระยงชัยก็นึกสลดสังเวชใจขึ้นมา..นึกถึงพุทธประวัติท่อนที่ว่า เจ้าชายสิทถัตถะ เห็นเทวทูตสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย..และเห็นสมณ..จึงนึกว่าสมณคือหนทางแห่งความไม่ตาย จึงได้ตัดสินใจออกบวช..พระยงชัยยืนอึ้ง มองไปรายรอบเตียงคนเจ็บอีกครั้ง ตรงนั้นมีแต่ทุกขเวทนา..มีคราบน้ำหูน้ำตาของคนที่มาเฝ้าไข้..นึกไปถึงบทสวดมนตร์ทำวัตรเช้าแปล ที่ว่า พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์..ทุกคนต้องเจอความทุกข์ ทุกข์ประจำ คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ไม่มีใครหนีพ้น ส่วนทุกจร มีมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับบุญกรรม..และนี่คือหน้าที่ของพระที่ต้องอธิบาย..

หากหลวงลุงมาด้วยคงจะชี้ ในสิ่งที่เห็น..
พระหนุ่มสองพี่น้อง..เดินไปหยุดที่เตียงคนป่วย ผู้ซึ่งถือว่ามีพระคุณเป็นอย่างมาก..ด้วยช่วยให้แคล้วคลาดจากเจ้าสัญชัย

“หลับสนิท” พระอาทิตย์พิจารณาดูรูปพรรณ ของคนเจ็บอีกครั้ง ใบหน้าที่บวมเป่งคงด้วยฤทธิ์หมัดในคืนนั้น หรือจะเป็นพระโรคเก่ารื้อรัง..

พอดีกับที่นางพยาบาลประจำห้องเดินเข้ามาหา

“หลวงพี่เป็นญาติกับคนเจ็บหรือคะ”

พระภิกษุพยักหน้า..ตอบรับ

“อาการเป็นอย่างไรบ้าง” พระยงชัยถามนางพยาบาล ด้วยอาการสำรวมน้ำเสียงเป็นที่สุด..

“ช้ำในนะค่ะ ต้องพักผ่อนมาก ๆ แต่โรคข้างในรักษายากหน่อยนะคะ..เป็นตับแข็ง พิษสุราเรื้อรัง..ถ้ากลับไปดื่มเหล้าอีก ก็เตรียมใจไว้ได้เลย”

พระภิกษุสองรูปมองหน้ากัน...อย่างปลงอนิจจัง..ชีวิตใครก็ชีวิตใครเถอะ..

“อ้อ หลวงพี่พอรู้ไหมคะ..คือ..คนเจ็บเพ้อคะ..เพ้อมาหลายครั้งแล้ว..หนูคิดว่าคงเป็นจิตใต้สำนึกนะคะ คงกำลังห่วงใครสักคน..”

“เพ้อว่า”

“ถ้าจำไม่ผิดแกเพ้อว่า อารีย์ ..อารีย์...อย่าเอาลูกไป ..” เมื่อได้ยินดังนั้นพระอาทิตย์ถอยหลังไปหนึ่งก้าวทำให้พระยงชัยต้องถอยตามไปแล้วบีบข้อมือไว้ อยู่ด้วยกันมานาน ย่อมรู้ว่าอีกคนบอบบางกับเรื่องพวกนี้ขนาดไหน.

“อาตมาขอตัวก่อนแล้วกัน” ว่าแล้ว พระยงชัย ก็จับข้อมือ ดึงพระอาทิตย์ออกมาจากเตียงคนป่วย.

เมื่อไกลตาผู้คน พระอาทิตย์ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลพราก ๆ อีกครั้ง..

“อายเขา” พระยงชัย พยายามยืนบังด้วยคงไม่งามนักหากมีคนเห็นพระหนุ่มยืนร้องไห้..

“ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย...ทำไม..ทำไมชีวิตผมต้องเป็นอย่างนี้..” อารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจซึ่งนอนนิ่งอยู่ในเรือนใจ แสดงอำนาจอีกครา..

“ยังไม่สายนี่ ก็ยังดีกว่าที่จะไปยืนคารวะหลุมฝังศพมั้ง” พระยงชัย พยายามพูดให้ติดตลก..เพื่อให้อีกคนละอารมณ์นั้น

หลังจากนั้น พระสองพี่น้องก็ขอเข้าพบคุณลุงเรวัตร

“โยมลุงรู้ใช่ไหมว่า คนเจ็บคือโยมพ่ออาตมา” พระอาทิตย์ถามทันทีเมื่อเห็นหน้าผู้มีพระคุณอีกคน..

หมอเรวัตรพยักหน้า

“เคยเห็นกันสมัยอยู่ปากน้ำโพ ก็นานแล้ว แล้วแม่ของท่านก็มากำชับว่าให้ช่วยดูแลให้ดี เพราะเป็นพ่อของท่าน..ลุงหมอก็พยายามเต็มที่นะ ลำพังโรคเก่า ถ้าไม่ถูกทำร้ายนี่ก็นับว่าหนักนะ..แต่นี่มาถูกซ้อมอีก ก็เลยยิ่งรักษายาก มันช้ำข้างใน ..แต่ไม่ต้องห่วงนะ ลุงจะพยายามให้เต็มที่”

“ขอบพระคุณคุณลงมากนะครับ”

“ความสุขของหลาน ก็คือความสุขของลุงเหมือนกัน กลับวัดเถอะ..อย่าห่วงทางนี้เลย”

ขณะนั่งรถกลับมาวัด พระอาทิตย์พยายามใคร่ครวญว่าเรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร..ซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีพ่อกับไม่มีพ่อ ชีวิตมันจะแตกต่างกันไหม..ถ้าเขาอยู่กับพ่อกับแม่แท้ ๆ ชีวิตจะเป็นอย่างไร และทำไมเขาจะต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไปถามหลวงลุงท่านก็ว่าเวรกรรม..เคยทิ้งขว้างลูกแต่อดีตชาติมาชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ด้วยเหตุเดียวกัน..

“ชีวิตคนเรา นะท่าน....เกือบจะบั้นปลายนั่นแหล่ะถึงได้รู้ จริง ๆแล้วไม่มีอะไร สิ่งสมมุติ มายา หลอกให้หลงไปวัน ๆ ไร้แก่นสาร สุดท้ายมาตัวเปล่า ก็ไปตัวเปล่า ไม่เหลืออะไร ยิ่งถ้าไม่ได้สร้างบุญกุศลคุณงามความดี ชีวิตคนมันก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง หากิน หาเสพ วนเวียนจนตายไปเปล่า”..

เมื่อรถมาส่งที่วัด พระอาทิตย์ก็เอ่ยถามพระยงชัย ว่า

“เบื่อ ผมไหม วัน ๆ มีแต่เรื่อง พลอยให้ท่าน เหนื่อยหน่ายใจไปด้วย”

พระยงชัยมองหน้าอีกคน ก่อนจะตอบว่า

“เราสองคนเหมือนเงาตามตัวกัน..แม้จะเกิดคนละท้อง..คนละที่ แต่รักกันยิ่งกว่าพี่น้อง..เราคงทำเวรทำกรรมร่วมกันมามั้ง สุขหรือทุกข์ของอีกคน มันจึงได้พลอยแบ่งปันกันไปด้วย..และวันนี้ผมก็รู้สึกอยาก
จะทำอะไรดี ๆ เกี่ยวกับชีวิตพระ ๆนี่บ้าง...เผื่อบางทีถ้าท่านตัดสินใจไม่สึก ผมก็อาจจะไม่สึกไปกับท่าน”..

“พูดจริง” พระอาทิตย์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง..

พระอาทิตย์นำเรื่องคำกล่าวของพระยงชัยไปเล่าให้หลวงลุงอินได้รับ ..

“เส้นทางเดินของพระ..มันต้องมีเหตุ เห็นปัญหา..ดวงปัญญา แบบอริยะจึงจะเกิด..คิดทางโลก กับคิดอย่างทางธรรมมันต่างกันท่าน มองเห็นเหมือนกันแต่รู้สึกไม่เหมือนกัน..กว่าจะเห็นทุกข์มันไม่ใช่ของง่าย...และมันก็ไม่ง่ายที่คนอายุเท่านี้จะคิดได้ ตอนที่หลวงลุงอยู่ในวัยนี้ หลวงลุงก็มีความรัก..เมื่อไม่สมหวัง..หลวงลุงไม่ปรารถนาที่จะได้อยู่เคียงกับใครทั้งสิ้น”

พระภิกษุวัยเดียวกับแม่ ทวนความหลังให้ฟัง

“บัดนี้อารมณ์รักชอบ ชิงชัง เจ้าคนที่ทำให้เจ็บให้แค้นมันหายไป มีเพียงความเมตตา กรุณาต่อกันเข้ามาแทนที เมื่อถึงอารมณ์นี้ จึงรู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน..ระหว่างราคะ กับเมตตามันอยู่ใกล้ ๆ กัน ระหว่างคิดจะยึดกับให้มันอยู่ใกล้ ๆ กัน ดูจิตดูใจตัวเองให้ดี ให้มีสติ แยกให้ได้ระหว่างกุศลกับอกุศล เส้นทางสายกลางกับตรึงหรือหย่อนเกินไป..ทั้งนี้ทั้งนั้น ในวัยอย่างเราก็ต้องค่อย ๆ เป็นค่อยๆ ไป ให้อินทรีย์ให้กำลังใจแก่กล้า ทีนี้เรื่องวัดในพระพุทธศาสนามีให้ค้นหาตั้งมากมาย”

แม้จะคิดตามไม่ทัน แต่พระอาทิตย์ก็ตั้งใจฟัง..และปรารถนาให้อีกคนได้ยินได้ฟังเฉกเดียวกัน

“บางทีมันก็ยังไม่ถึงเวลาของเขา ถ้ามันถึงเวลา ประตูพระนิพพานเปิด ต่อให้อยู่ตรงไหนมันก็เห็นทุกข์”



สำหรับวันนี้ผมขอตั้งชื่อตอนว่า ความลับไม่มีในโลกจริง ๆ..

ความลับเเรกก็คงเป็นเรื่องของชลาชลคือใคร!

ความลับที่สองก็คือหลวงพี่อินผู้แสนดีนั้น ที่แท้ ก็ ฆาตกรใจโหดนั่นเอง!

และความลับที่สาม ก็คือ นังอุ่นผู้หญิงมากราคะที่ใช้กลถือครองผัวของพี่สาว!

นั่งดูไปเหมือนตัวละครทั้งหมดจะเลิกโกรธแค้นชิงชังกัน พี่น้องคืนดีกันอย่างที่ยายทองคำปรารถนา แต่ว่า มันก็เปล่าเลย..นวนิยาย เรื่องนี้ ละครเรื่องนี้ มีชื่อว่า ชิงชัง...

ถามความรู้สึกตัวเองเถิดว่า..ถ้าความจริงถูกเปิดเผยแบบนี้ ถ้าเราเป็นยอด เราจะปฏิบัติเช่นกับหลวงพี่อิน..

ท่าน คือ คนที่หมายชีวิตของเราเชียวนะ...หมาย ไม่ใช่แค่คิด แต่ว่า ท่านกระทำ จนมีบาดแผล ติดตัวอยู่มาเป็นหลักฐาน..
...

และตัวเราล่ะ ถ้า ถ้า ถ้า เราเป็นพระอิน เราจะยอม ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานไหมว่า เราคือคนที่กระทำต่อเขา...

ยอมรับว่าบทละครขยี้อารมณ์ เพื่อนรักสองคนได้ถึงใจ เป็นอย่างมากครับ..

คุณเปปเปอร์ เล่นได้ดีตั้งแต่ตอนที่รู้ว่า ผีที่หลอกเจ้าแสนนั้น มันคือผี ที่น่าจะตามหลอกหลอน อดีต ของท่านด้วย...สายตาคู่นั้น...สุดยอดเลย..แม้แต่เวลาที่อยู่ในโบสถ์..ยอมรับว่า พระอิน สุดยอดทางการแสดง ...อารมณ์ประมาณว่าดีใจว่าคู่กรรมยังอยู่กับระคนเสียใจโมหะที่บังตาของตนในเวลานั้น กับอีกอารมณ์คงประมาณ สังเวช กับเจ้ายอดที่ไม่เหลือความจำ ...ผมนึก ๆ ไป ถ้าถ้าถ้า ยอดไม่ได้แค่ความจำเสื่อมล่ะ ประมาณ เอ๋อไปเลย..พระอินจะทำอย่างไรกับยอด หรือถ้าเราเป็นพระอิน เราจะชดใช้ กับการกระทำของตัวเองอย่างไร...

ฉากนี้แม้จะยาวนาน แต่ว่าก็มีอะไรให้คิดมากมายทีเดียววววววววววววว....
มีอะไรให้คิดมากมายทีเดียว (ขอย้ำ)

ส่วนนังอุ่นนั้นเล่า...
เคยจำได้ไหมว่า หล่อนเคยด่านังอารีย์ว่าอย่างไร...

วันสองวันนี้แหละ หล่อนก็จะต้องถูกด่าเยี่ยงนั้นบ้าง....

สาแก่ใจข้านัก โอ้วววววววว (ไปกันใหญ่แล้วตรู)...

สรุปว่า...คืนนี้ลุ้นกันต่อไป...

และก็ ขอนำ...เรื่องของคุณพี่ปูนา&ปลาทูมาเสนอในช่วงเก็บตกและกัน..



//sites.google.com/site/kochakornyooyen/

วันนี้ฉันกับน้องมีนัด (ที่จริงน้องฉันเป็นคนนัด ฉันไปด้วยเฉยๆ เพราะงานหนังสือปีนี้ ฉันไปมาตั้งแต่วันที่ 22 ที่ผ่านมาแล้ว ) กับชายหนุ่มนักเขียนที่ตอนนี้ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ เพราะมัน(นิยายเรื่องนั้น) ได้ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ตอนนี้แฟนละครติดกันงอมแงม ( ขนาดแม่ฉันยังติดเลย ) ขนาดฉันแรกๆก็ไม่ได้ดูหรอก ยังทานกระแสไม่ไหวเลย ยังไม่เฉลยนะคะว่าเป็นนักเขียนท่านใด อยากรู้ก็ตามอ่านไปแล้วกัน



ช่วงแรกที่ละครออกอากาศก็งั้นๆแหละ ชื่อละครก็ไม่คุ้น ยิ่งนักเขียนนี่ยิ่งไม่รู้จักใหญ่เลย แต่แม่น้องสาวตัวดีของฉันเธอผู้เป็นเจ้าแม่ในโลกไซเบอร์ ของบ้านเรา (เพราะshe นั่งอยู่หน้าคอมพ์ทั้งวัน บวกทั้งคืนในบางวัน) she ใช้เวลาไม่นานนักก็มีข้อมูลมาเล่าให้ฟังทุกวัน ว่าในพันทิบว่ายังไงกันบ้าง ประมาณว่าบางวันถึงกระทู้ด๋อยก๊มี ฟังๆไปก็ละครอะไรมันจะขนาดนั้น ว่าแล้วก็แอบๆ เปิดมาดูบ้าง (พอดีช่วงนั้นละครที่ตามดูอยู่จบพอดี แล้วเรื่องที่มาใหม่ดูแล้วก็ไม่น่าสนใจ ดาราก็งั้นๆ ) โอ้โห พอเปิดมาดู ละครอะไรมันจะสนุกขนาดนี้ ตอนรุ่นพ่อแม่ว่าสนุกแล้ว รุ่นลูกยิ่งสนุกมาก ยิ่งตอนใกล้ๆ จะจบนี่ต้องเช็คตลอดว่ามันจะจบวันไหน ถึงตอนที่ (นัง)บังอร มาตาม(นัง)อารีไปบวชลูกนี่ ฉันสะใจมาก ตบกันกระจุย (สะใจคนดูจริงๆ) เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาจบตอนที่สัญชัยจะยิงนาค พอจบละครตอนสามทุ่มครึ่งปุ๊บ น้องสาวฉันก็ไปเช็คกระทู้ในพันทิบสักพักก็เดินมาเล่าว่า มีข้อความหนึ่งบอกว่า สมน้ำหน้า สัญชัย เมื่อยมือ เพราะต้องถือปืนไปอีก 3 วัน ก็ขำๆดี


ออกทะเลไปนานแล้ว กลับมาเข้าเรื่องต่อ เรามีนัดกันที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 14 งานจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งสุดแสนจะใกล้บ้านฉันเอามากๆ งานนี้ออกจากบ้านเกือบเที่ยง แต่รถไม่ติดจึงใช้เวลาไม่นาน เราไปเดินโซนซีกันก่อนเพราะเข้าไปเจอก่อน เจอ สนพ.ดวงตะวัน
ได้นิยายชุด ธิโมส์ มา 5 เล่ม (มีแล้ว 1 เล่ม) ยังขาดอีก 3 เล่ม งานนี้เจอคุณดวงตะวันด้วย พอบอกชื่อให้เซ็นต์หนังสือ ถามกันใหญ่ว่าใช่ "ปลาทู"ในเว็บหรือเปล่า ก็เลยบอกไปว่า เราไม่ใช่ปลาทูในเว็บ เราตามอ่านจากขวัญเรือน, สกุลไทย

ต่อมาเราได้หนังสือที่สมวัยมากๆ คือหนังสือธรรมมะ ส่วนหนึ่งเอาไว้อ่านเอง อีกส่วนหนึ่งตั้งใจซื้อเอาไว้ถวายพระและแจกผู้อื่น ได้หนังสือเกษตรธรรมชาติ กับหนังสือประดิดประดอยมาหน่อย นิยายมานิด สงสัยจัง ปีนี้ทำไมหนังสือมันถูกกว่าทุกปีฮึ เดินอยู่ในโซนซีด้านล่างอยู่นานพอสมควร
ได้จากบูธโน้นบูธนี้มาพอสมควร

พอดูเวลา เกือบสามโมงแล้ว ไม่ได้กาลเดี๋ยวนักเขียนจะไปไหนเสียก่อน
ว่าแล้ว สองป้าก็เอาหนังสือไปฝากก่อน เพราะลากไม่ไหวแล้ว แล้วเราก็ทิ้งโซนซีชั้นบนไปก่อน (ข้างบนนะยังไงต้องมาสนพ.อมรินทร์) แล้วเราก็เข้าแพลนนารี ฮอลล์ ตรงไปที่ บูธ ณ บ้านวรรณกรรม เดินดูแล้วดูอีก ก็มองไม่เห็นว่าใครน่าจะเป็นนักเขียนนิยายเรื่องนี้ (ต้องบอกก่อนนะคะว่าฉันไม่ได้เข้าบล็อกนักเขียน ที่รู้ข้อมูลเพราะน้องสาวบอกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่รู้หรอกว่าอีตานักเขียนนี่หน้าตาเป็นยังไง รู้ว่าเป็นผู้ชายเท่านั้นแหละ) ถามน้องสาวเขาก็มองๆอยู่แล้วก็บอกว่ายังไม่เห็น ให้ไปถามน้องคนขายของ สนพ. ณ บ้านวรรณกรรมว่านักเขียนมาหรือยังก็ไม่ถาม บอกฉันว่า ถ้าไม่มาก็จะไม่ซื้อหนังสือนะ เดี๋ยวกลับไปสั่งซื้อในบล็อก (ไม่ถาม ไม่ซื้อแล้วจะมาทำไม (วะ) ฉันบอกให้โทรถาม เพราะเขาคุยกันในบล็อกว่าถ้ามาไม่เจอให้โทรตาม แม่นี่ค้นกระเป๋าอยู่สักพักแล้วบอกว่า ลืมเอาเบอร์มา (โอ๊ย อยากจะบ้าตาย ) ขัดใจมากๆ (กรู)เข้าไปถามเองดีกว่า น้องที่สนพ.บอกว่านักเขียนมาแล้ว ตอนนี้ไปห้องน้ำหรือไปกินข้าวประมาณนี้แหละ เพิ่งไป เพราะเมื่อกี้นี้ยังอยู่ ไม่เป็นไร ยังไม่ซื้อ มาเมื่อไหร่ก็ซื้อเมื่อนั้นแหละ

เราก็เลยไปเดินดูบูธอื่นก่อน หาของจำเริญหูจำเริญตา ว่าแล้วก็ไปบูธขวัญเรือนดีกว่า เพราะพวกป้าก็เป็นสาวกเกาหลีนะคะ หลังจากเมามันก็ได้ (หนังสือ) เด็กหนุ่มเกาหลีและญี่ปุ่นติดไม้ติดมือมา 3 เล่ม เอามาดูให้กระชุ่มกระชวยใจ (อีกเล่มหนึ่งที่ไม่ได้เห็นในรูปเพราะว่า เสด็จแม่วัย 70 ฝ่าๆ เอาไปชื่นชมเสียแล้วพะย่ะค่ะ) แล้วก็แว่บไปซื้อแฟชั่นผ้าไทยไปสักหน่อย เพื่อไปเป็นแบบตัดชุดให้สวยสมวัย ( ดูมันสวนทางไงไม่รู้นะ )

เดินวนไปวนมาจนเหนื่อย แวะไปถามที่ ณ บ้านฯ อีกรอบ

นักเขียนก็ยังไม่มา

คราวนี้เราพากันกลับไปเดินอีกรอบ เดินดูแต่ละบูธ ให้เวลาผ่านไปสักพัก
พอกลับมาถามอีกทียังไม่มา ต้องไปเดินใหม่ ตกลงมาถามทั้งหมด 4 รอบ ว่านักเขียนมายัง เพราะเดินกันจนขาจะหลุดออกจากตัวป้าเสียแล้ว รอบที่ 4 น้องบอกว่านักเขียนมาแล้ว สวรรค์ทรงโปรดป้า ได้เลือกหนังสือสักที
ได้มา 3 เรื่อง มี ชิงชังที่รอ ร้อ รอนักเขียน ซื้อน้ำตาลไหม้ให้แม่ น้องฉันเธอหยิบมา 2 เรื่อง จำไม่ได้แล้วว่านักเขียนชื่ออะไรนะ อีกเรื่องหนึ่งน้องคนขายเชียร์จัง ถามไปถามมา 2 เรื่องที่หยิบมานักเขียนไม่มา ไม่มาก็ไม่เอา รอปีหน้าก็ได้ เอาเรื่องที่น้องคนขาย.เชียร์นี่แหละ เรื่องเหรียญนิรมิต วันนี้นักเขียนมาค่ะ แต่ปัญหาเดิม ๆ ก็กลับมาหาฉันอีกครั้ง เพราะนักเขียนไปทานข้าว อีกแล้ว (ตกลงกรูจะได้ลายเซ็นนักเขียนไหมเนี่ย) เอา (วะ )เดี๋ยวมาอีกรอบก็ได้ เอาลายเซนต์นักเขียนชิงชังก่อนละกัน เดินมาถาม 4 รอบแล้ว
และแล้วน้องฉัน(ผู้เป็นแฟนคลับผู้แอบซ่อนเนื้อตัวในมุมมืดของบล๊อก)

ก็ได้ทักทายกับนักเขียนในดวงใจสักที-เฮ้อ โล่งอกไป 1 เรื่อง
เขาคุยกันสักพักก็มีการถามไถ่ถึงหนังสือเล่มอื่น นักเขียนบอกว่าเห็นในบูธหัวมุมในแพลนนารี ฮอลล์ นี่แหละ ว่าแล้วก็ไปหากันอีกรอบ

เดินไปมาจนได้มาอีก 1 เล่ม แล้วก็รีบเอากลับไปที่บูธเดิม อ้าว นักเขียนชิงชังหายตัวไปซะแล้ว แต่นักเขียนเหรียญนิรมิตกลับมาแล้ว เย้ จริงๆ ซื้อหนังสือเขาเพราะแรงเชียร์ของน้องคนขายจริงๆ ที่บอกว่าสนุกมากค่ะพี่
( นักเขียนเรื่องนี้ก็เป็นผู้ชายอีกแล้ว ทำไมพักนี้เราอ่านแต่หนังสือที่ผู้ชายแต่งมากจังแฮะ )

พอเซ็นเสร็จเราก็พาร่างอันกะปลกกระเปลี้ยมานั่งพักมุมห้อง ( ทำไมปีนี้สังขารไม่อำนวยเลย )แล้วก็ไปคอยเดินดูว่าว่านักเขียนชิงชังมายัง (จะให้เซนต์เล่มใหม่แล้ว)ไปเดินจนทั่วแพลนนารี อีก 1 รอบ แวะไปดู 2 ครั้ง ไม่เห็นแม้แต่เงา - ไม่รอแล้วโว๊ย -ไม่เอาก็ได้ ไปบูธอมรินทร์ดีกว่า ต้องไปซื้อ ลับแลแก่งคอยอีก วันก่อนซื้อไปเล่มนึงแล้ว นักเขียนมาพอดี วันนี้นักเขียนไม่มาแล้ว

เสร็จแล้วก็พากันไปบูธมติชน ต้องไปซื้อหนังสือของ หนุ่มเมืองจันท์ มีออกใหม่เล่มนึง เวรกรรมเดินไปถึงหน้าบูธซีเอ็ด น้องสาวฉันชี้ให้ดู โธ่ เราอุตสาห์รอตรงโน้นตั้งนาน นักเขียนมาอยู่ที่นี่เอง กำลังเมาท์เมามันมาก
ว่าแล้วแม่น้องสาวฉันก็เข้าไปสะกิด

รอบแรกไม่หันค่ะ
she เลยสะกิดอีกรอบ คราวนี้ได้ผล
เขาหันมา
เลยได้คุยกันอีกรอบ
ระหว่างที่เขากำลังคุยกันอย่างเมามัน
ฉันก็แว่บไปบูธมติชน จะไปเอาหนังสือของหนุ่มเมืองจันท์ กำลังจะซื้อ
มีคนบอกว่า มันเป็นหนังสือรวมเล่ม ถ้ามีเล่มอื่นๆ ก็ไม่ต้องซื้อ
อ้าวแล้วจะซื้อไปทำไมล่ะ ก็มีหมดแล้ว
ตกลงก็กลับมาหน้าซีเอ็ด เขายังคุยกันไม่จบเลย
ตรงข้ามบูธซีเอ็ด กำลังมีสัมภาษณ์นักเขียนหน้าใหม่อยู่ ทีละคนด้วยนะ

น้องสาวฉันเธอถามว่า สมาชิกที่รอกันกลุ่มใหญ่ๆ นี่เป็นแฟนคลับเหรอคะ
คำถามนี่น้องฉันหน้าแตกมากมาย เพราะ ทั้งหมดที่ยืนๆนั่งๆกันอยู่น่ะ

นักเขียนหน้าใหม่ทั้งนั้น มารอสัมภาษณ์กันค่ะ

อ๋อ ที่เค้าบอกว่ามีมีตติ้งนักเขียน ตรงนี้เอง

ระหว่างที่ ทอล์คกันอยู่ก็มีแฟนๆ แวะมาถ่ายรูปบ้าง และเราก็ได้รู้จักกับนักเขียนอีกท่านหนึ่ง คือพี่โมริสา (พี่ลี) เราคุยกันสักพัก ฉันกับพี่ลีก็จับจูงกันไปซื้อหนังสือของเธอกัน เธอหยิบหนังสือของเธอส่งให้ฉันเองเลยนะคะ
( นี่เป็นครั้งแรกเลยตั้งกะอ่านหนังสือมาที่ได้ทำยังงี้ - รู้สึกดีจัง )
ส่วนแม่น้องสาวฉันก็ยังคุยกับนักเขียนของเธออยู่ พอซื้อกันเสร็จ ฉันบอกเธอว่า ให้เธอออกมาเซ็นหนังสือข้างนอกบูธเพราะข้างในมันไม่สะดวก
เรากลับมาตรงที่น้องสาวฉันยืนคุยอยู่ ปรากฏว่านักเขียนที่คุยกับเธอกำลังสัมภาษณ์อยู่ค่ะ เขาถือหนังสืออยู่ 4 เล่ม 2 เล่มแรกเป็น "ชิงชัง" ผลงานที่สร้างชื่อให้กับเขา ส่วนอีก 2 เล่มเป็นหนังสือของเราแต่เขาเป็นคนเขียน ( คือเราเป็นเจ้าของค่ะเพราะไปหาได้จากบูธใดสักบูธหนึ่งในงาน แล้วนักเขียนยืมไปประกอบการพูดคุย )

ระหว่างนี้เราก็คุยกับพี่โมริสาไป เซนต์หนังสือไป พี่โมริสามอบที่คั่นหนังสือที่เธอทำเองให้เราด้วย ส่วนอีกเล่มหนึ่งที่คั่นหมดพอดี เธอขอที่อยู่ของเราไปจะส่งกลับมาให้เราค่ะ - ขอบคุณมากค่ะพี่โมริสา จะรีบอ่านหนังสือของพี่นะคะ (แต่หนู comment นิดนึง ชอบปกป๋าเบค่ะ เล่มหน้าขอปกน้องอั้มได้ไหมคะ ยังไงพี่ช่วยบอก บก.ว่าแฟนๆขอมา) ตอนเซนต์หนังสือเธอถามชื่อเรา น้องฉันบอกชื่อไป เธอคงถูกใจชื่อเล่นเราค่ะ เธอขอเอาไปใช้ในนิยายของเธอ ( พี่อย่าลืมนะคะ เราตกลงกันแล้วว่าพระเอกของหนูต้องหล่อ
ส่วนของน้องหนูเธอบอกว่าขอเด็กกว่าเธอก็ดีค่ะ ตอนนี้เด็กกว่าอินเทรนด์สุดค่ะพี่ ) สักพักนักเขียนชิงชังก็สัมภาษณ์เสร็จ ร่ำลากันและกัน พร้อมอวยพรให้หนังสือขายได้มากๆ เราก็จากมาด้วยความรู้สึกดีๆค่ะ

ปูนา & ปลาทู


ปล.1 คุณเฟื่อง พี่จะรอดูรูปที่บอกว่าจะเอาลงบล๊อกนะคะ พี่ลี หนูจะรออ่านว่าชื่อหนูกับน้องจะไปอยู่ในนิยายเล่มไหนของพี่ อย่าลืมนะคะ พระเอกหล่อๆนะของหนู ส่วนเด็กๆ ส่งไปให้น้องหนู

ปล.2 นักเขียนที่ไปพบ คือ จุฬามณี ผู้แต่ง "ชิงชัง" ที่กำลัง "ฮิต" ทั่วบ้านทั่วเมือง และพี่โมริสา ผู้แต่ง รอยแค้นแรงพิศวาส

ปล.3 หนังสือเล่มอื่นที่ได้มา จะมาเล่าให้ฟังทีหลังนะคะ วันนี้เหนื่อยแล้ว

***********************



ตอบ ..คุณน้องปลาทูและปูนา..จริง ๆ แล้ว งานสัปดาห์หนังสือปีนี้ผมว่าจะไม่ไป คุณลีบอกว่า ไปสิ อักษรศาสตร์เขามิตติ้ง กินฟรีนะ แล้วก็ไปเซ็นชิงชังด้วย ผมก็ไม่อยากไป ตังค์ไม่ค่อยมีอ่ะ คุณลีเธอก็เสนอแพกเก็ตกินฟรีสามมื้อมาให้ก็เลยต้องไป..

แต่จริง ๆ อีกเหตุผลที่ต้องไป ก็คือ คุณ ปลาทู หรือปูนานี่แหละ ส่งข้อความส่วนตัวมาหาจากเว็บพันทิพ ว่า คุณนักเขียน ชิงชัง จะไปงานเมื่อไหร่ ผมก็บอกว่าวันเสาร์ที่ 24 ครับ บ่าย ๆ อยากได้ลายเซ็นก็โทรหาได้นะครับ...

สรุปว่า วันศุกร์ ผมไม่ได้จัดย้อนรอยชิงชังอย่างที่ตั้งใจ ก็ไปยืนเซ็นหนังสือ (พี่คนขายโทรตามตั้งแต่วันอังคาร บอกว่าชิงชังขายดีนะมาเลยมามามา) วันศุกร์ชิงชังหมดแผงตั้งแต่ไม่ถึงหกโมงเย็น วันเสาร์ผมก็เลยไปแต่เช้า กะว่า เปิดฮอลล์มาคนมาข้าก็จะเซ็นสะให้หนำใจ เตรียมซื้อปากกามาอีกสองด้าม แต่ว่า เกือบเที่ยง หนังสือก็ยังไม่มาจากสนพ. พอดีได้เวลากินฟรีก็เลยต้องขอตัวไป...บ่ายโมง คุณเนียรปาตี โทรไปตามว่า หนังสือมาแล้วนะ ใจหนึ่งก็อยากออกมาขาย แต่อีกใจ หุหุ บุฟเฟ่ อะนะ เสียตังค์แล้ว(คนอื่นจ่ายให้) ก็ต้องกินให้คุ้มค่าเงินหน่อย..(แบบไม่ได้กินข้าวเย็นมื้อเมื่อวาน กับข้าวเช้าด้วย) และเวลากิน ก็เลือกเฉพาะของที่แถว ๆ บ้านไม่มีด้วย..ประมาณขนมจีนงี้ ..ผมบอกคุณลี ...ถ้ากินขนมจีนนะ ....และ(ขอไม่บอกว่าใช้คำว่าอะไรนะ) คุณลีเธอก็หัวเราะ..ก็แหม ของบางอย่าง หากินได้ไม่ยาก แต่บางอย่าง นานจะได้กินทีด้วยราคาแพง ๆ ก็ซัดซะ..สรุปว่า อิ่มทั้งท้องและได้ทั้งงานกลับมา..

เดินพุงป่องกลับมาที่บู๊ธ ณ บ้านณ ประมาณ บ่ายสองกว่า ๆ ได้มั้ง..แล้วคุณสองศรีพี่น้องก็มาตามนัด (จริง ๆ ผมก็กังวลนะว่านัดกับเขาไว้น่ะ แต่อาหารมันอร่อยจริง ๆ )...คุยไปคุยมาก็ถามถึงเรื่ององค์การบริหารส่วนหัวใจ ที่กำลังจะเป็นละคร(ถ้าผ่านการพิจารณาจากช่อง 7) และเท่าที่ผมรู้มาคือ ที่บู๊ธ ไฟน์บุ๊ค น่ะ นิยายเรื่องหมดแล้ว..(ขายทิ้งหมดแล้ว) แต่ผมเห็นตรงบู๊ธหัวมุม ผมก็เลย แนะนำว่า ไปเลยครับ ตรงนั้นแหละ 100บาท/เล่ม เห็นมีวางขายอยู่เต็มเลย..บอกเขาไปแล้วใจก็กังวลว่า พี่เขาไปถูกไหมน้า...หายเงียบไปเลย ช่วงนั้นผมก็ยืนเซ็นหนังสือไปเรื่อย ๆ (แบบมีสองเล่มไง เขียนอะไรนานหน่อย แล้วก็เขียนช้า ๆ จะได้ดูเหมือนขายดี 5555555+) สรุปว่า หนังสือสองเล่ม ผมจะเซ็นเหมือนกันหมดทุกคนครับ อย่างเล่มสอง ผมจะบอกว่า สนุกทั้งแบบละครและนวนิยาย ตามด้วย ยันต์กันคนยืมเงิน..

เวลาผ่านไป ผมก็นึกได้ว่า ควร นำชิงชังไปมอบให้บอกอ อักษณศาสตร์ สักเล่ม ก็เลยซื้อหนังสือแล้ว รีบโกยแน๊บไปที่บู๊ธ ซีเอ็ด โดยบอกกับ พี่คนขายกับเพื่อนนักเขียนว่า ไปห้องน้ำ..(ดังนั้นสองศรีพี่น้องกลับมาจึงไม่เจอไง)

แต่พอเดินออกมาแล้วผมก็ยังสาดสายตามองหา ปลาทูกับปูนาอยู่นะ แต่ว่า หาไม่เจอ..ก็เลย วิ่งต่อ (ผมเดินช้า ๆ ไม่เป็นนะ ..)

พอถึงบู๊ธ ซีเอ็ด ก็มีสาว ๆ นักเขียนอักษรศาสตร์นั่งล้อมวงเม้าท์กันอย่างเมามันส์ ผมเองลำพังเข้าไปทีหลังแบบนี้ ...คงไม่รู้หรอกว่าเขาเม้าท์อะไรกัน แต่ทางเดียวที่ผมจะทำให้ตัวเองโดดเด่นได้ก็คือ ทั้งหมดต้องหันมาคุยกับผม..ด้วยผมถือชิงชังไปด้วย...มันก็เลยเด้งเลยครับ..ผมบอก เอ ผมจะนั่งตรงไหนดีนะ...อุ้ย เหลือบไปเห็นแก้วชวาลานักเขียนมือทองเจ้าของสนพ. นั่งอยู่มีที่ว่าง ผมก็เลย พูดเสียงดัง ๆ ว่า ไปนั่งข้าง ๆ คนรวยดีกว่า....555+

ได้ผลเลย..

พอนั่งแล้ว ผมก็ถามเสียงดัง ๆ อีกครั้งว่า..

เอ่อ พวกเราฝากเนื้อฝากตัวกับบอกอ ไลต์ออฟเลิฟ หรือยัง...
อิอิ....

ครับเม้าท์ไปมา บอกอปริมก็บอกว่า..มี เว็บ นิยายดอทคอมมาสัมภาษณ์นักเขียนนะ ตอนนั้น พวกเราเริ่มตื่นตูม เอ้ย ตื่นเต้นกันใหญ่ พอรู้คอนเซ็ป คร่าว ๆ ของการสัมภาษณ์ ผมก็เลย คว้าชิงชังกลับมา แล้วก็ลุกขึ้นไปมองหา นิยายที่ขายไม่ดีอย่าง หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน ที่พิมพ์กับ อักษณศาสตร์- ภัทร์โยธิน แต่ว่า น้องที่เดินไปหยิบยืมจากบู๊ธ ซีเอ็ดก็ ชักช้า หันไปหันมา..ตอบคำถามคนนั้น คุยกับคนนี้ ...ก็เลย ปะ กับพี่ปลานู ทูนา เอ้ย ปลาทู ปูนา..

ในมือของพี่เขา มี องค์การบริหารส่วนหัวใจมาด้วย ก็เลย อิอิ ขอยืมไปประกอบการโฆษณาก่อนนะ ระหว่างที่เม้าท์ ๆ กันอยู่ก็มีการถ่ายรูปกับพี่ ๆ เขาด้วย มีพี่สองคน หนังสือสองเล่ม ชิงชังนี่หราเลย มีคนผ่านไปมา หยุดดูแล้วก็ อุ้ย ชิงชัง อุ้ย ชิงชัง มีอยู่หนึ่งครอบครัว เหมือนถูกคาถา จังงง หยุดแบบยื่นชมกับปกหนังสือมาก ๆ ก็เลย ฉวยถามว่า ครอบครัวชิงชังหรือเปล่าครับ.. เขาพยักหน้ากัน ก็เลยมา ๆ มาถ่ายรูปด้วยกัน..มีใครมาถ่ายบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มีคุณลีด้วย อีกคนพอถ่ายรูปแล้วก็บอกว่า หนูอยากได้หนังสือมั่ง ผมก็เลยนัดที่บู๊ธ หลังจากนั้นผมก็ไปนั่งสัมภาษณ์ ชนิดน้ำลายฟูมปาก..

พูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจ...

ประมาณนั้นครับ

โอกาสมาถึงแล้วนี่...


55555555555555+

จุฬามณี - เฟื่องนคร- ชอนตะวัน

สรุปว่า วันเสาร์ ผมไม่ค่อยได้อยู่ที่บู๊ธ กลับมาอีกทีตอนบ่าย ๆ คล้อยและก็อารมณ์ขายมันก็หมดไป..

แต่ว่าวันอาทิตย์ก็ตีตื้นขึ้นมาได้ จนก่อนจะกลับบ้านเหลือชิงชังประดับแผงไว้หนึ่งชุด...กับความรู้สึกว่า งานสัปดาห์หน้า ตรูข้าจะมีงานกับ ณ บ้านวรรณกรรมไหมเนี่ย...........

5555555555555555555+

สรุปอีกที งานสัปดาห์งวดนี้ ไอ้อะไรมากมายเลยครับ ได้เพื่อนใหม่ อย่างคุณศุภสิทธิ์ที่ตามไปถ่ายรูปด้วย แถมซื้อขนมมาฝากอีก และก็เลี้ยงข้าวเย็นอีกมื้อ ให้หนังสือธรรมะด้วย //// ได้รู้จักกับบอกอสุดหล่อตาเป็นประกายแห่งสนพ. ดอกหญ้า 2000 ////ได้พูดคุย ได้เบอร์โทรและอีเมล์ ของนักเขียนชื่อดัง คุณ พงศกร /// ได้จับมือ(ทองคำ)กับพี่วรรณวรรธ์ (ดีใจมากเลย) //ได้เจอพี่ผาด พาสิกรณ์ (หล่อเหมือนเดิม)/// ได้เจอหมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม ในห้องน้ำด้วย 555555555+ ((จริงอย่างที่คุณลีว่าไว้เลย ผมหล่อกว่า อิอิ)) ว่าจะให้พี่แกช่วยดูอะไรให้หน่อย ก็ไม่กล้า ///// ได้เจอแฟนละครชิงชัง ซึ่งให้กำลังใจและฝากให้ผม ช่วยเขียนงาน แบบนี้อีกนะ..อีกนะ อีกนะ...ซึ่ง งานบ้าน ๆ ที่หาคนเขียนไม่ค่อยได้นี้ ได้รับการตอบรับขนาดนี้ ผมก็เลยมีพันธสัญญาใจเกิดขึ้น แต่ก็บอกว่า จะพยายาม ทำให้ดีที่สุด กับงานลักษณะนี้ครับ..

.......
สุดท้าย หิวข้าวววววววววววววววววววววววววแล้ว...

คืนนี้ ชิงชัง ตอนที่ 51 แล้วครับ..ใกล้เจ็บแล้วคร้าบบบบบบบบบ






Create Date : 28 ตุลาคม 2552
Last Update : 4 มีนาคม 2553 13:33:13 น. 14 comments
Counter : 2028 Pageviews.

 

ขอคุณคุณผักกาดแดง สำหรับ รูปประกอบบล็อกนะครับ


โดย: F_nakhon วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:10:07:32 น.  

 
อาทิตย์เงยหน้าจากสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายของปั้มน้ำมัน ตรวจสอบดูรายได้ในแต่ละวัน แต่ละเดือนย้อนหลังให้กับผู้เป็นแม่ งานนี้เขาเคยทำตั้งแต่สมัยเปิดปั้มใหม่ๆ ตอนที่แม่ยกที่ดินเป็นหุ้นส่วนให้กับปั้มน้ำมันลุงเรวัตร เขากับยงชัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมห้า ตอนนั้นใคร ๆ ก็ว่าแม่จะถูกโกงเพราะไม่รู้เรื่องของกฎหมาย และคำว่าห้างหุ้นส่วน แต่ด้วยแม่เป็นคนหัวก้าวหน้า และสนใจศึกษาสอบถามหาความรู้จากคนอื่นด้วยตัวเองมาตลอด ทำให้แม่กล้าที่จะลงทุน ช่วงนั้นรถที่วิ่งขึ้นล่องยังมีน้อย ถือว่าเสี่ยงต่อการขาดทุน แต่ลุงเรวัตรก็ให้เหตุผลว่า ปั้มน้ำมันบนถนนเส้นนี้ก็มีน้อยเช่นกัน หลังจากสร้างปั้มน้ำมันแล้ว ที่ดินที่อยู่ติดกันแม่ตัดสินใจปลูกโกดังเปิดให้เช่าซ่อมรถ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อม ส่วนที่ดินอีกฝั่งหนึ่งด้านหลังทำเป็นโรงงานผลิตน้ำพริก ส่วนด้านหน้าแม่ก็เปิดเป็นร้านอาหารทำสัญญาเป็นคู่ค้ากับบริษัทรถทัวร์โดยลุงเรวัตรเป็นผู้ติดต่อ ตอนแรกแม่ลงมือทำขายเองด้วยเขากับยงชัยยังพอเป็นหูเป็นตาเป็นมือเป็นตีนให้ความช่วยเหลือ แต่เห็นว่าถ้าลูกทั้งสองคนไปเรียนยังกรุงเทพแล้วชีวิตจะดีขึ้น และเพื่อเป็นการตัดห่วงของเขากับยงชัย แม่จึงตัดสินใจให้เซ็งต่อในส่วนของอาหารสำเร็จรูป แต่หน้าร้านที่เป็นร้านค้าส่งน้ำพริกแม่อิ่มกับ ขนมไทย ๆ ที่แม่เปิดรับจากคนทำในหมู่บ้านเพื่อสร้างงานคืนชุมชน แม่เปิดขายเองต่อไป โดยได้จ้างคนงานมาช่วย ตัวเองมาอยู่คุมและให้ประภามาคุมบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย
เขารู้สี่ปีที่ผ่านมาแม่คงจะเหนื่อยจนสายตาแถบขาด ทั้งยายที่แก่ชราลงทุกวัน ทั้งกิจการที่ใช่จะไว้เนื้อเชื่อใจใครได้ง่ายๆ แต่แม่ก็บอกว่า
“ถ้าเขาโกงเราจนไม่ถึงกับจน ก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง ใครทำใครได้”


โดย: F_nakhon วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:10:09:39 น.  

 
ตอนที่ 49 วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2552
สวัสดีตอนเช้าจ้ะ

เมื่อคืนดูชิงชังแล้ว น้ำตาไหลพรากๆ ตั้งแต่พ่อปิงโดนยิง อาทิตย์รู้ความจริงว่าปิงคือพ่อ อารีย์เข้าไปหาปิงที่ห้อง ขอดทษกับสิ่งที่เธอเคยทำร้ายปิง โดย...พ่อปิงผู้แสนประเสริฐของฉัน ก็ไม่เคยโกรธเธอเลย แถมยังดีใจเสียอีกที่เห็นอารีย์ได้ดี คำสัญญาของคนที่เห็นแก่ตัวแล้วกลับใจได้ อย่างอารีย์ดูจะทำให้คนใกล้ตายอย่างปิง มีกำลังใจขึ้นมาได้หน่อยนึง ฉากที่อารีย์จูบหน้าผากพ่อปิง
มีมาให้ร้องไห้โฮ..ทำไมเนี่ย พ่อคุณเอ๋ย แค่นี้ก็ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าแล้ว (ดีนะนั่งดูอยู่คนเดียว)

ต่อมาก็ตอนอาทิตย์บวชอุทิศกุศลให้พ่อปิง แล้วพ่อปิงก็รับรู้และไปอย่างสงบ หมดห่วงกังวล (พ่อปิงคนดี พ่อผู้มีแต่ให้ให้อภัยเมีย และทำทุกอย่างได้เพื่อลูก แต่ชีวิตพ่อรันทดเหลือเกิน ไปสบายเถอะนะพ่อ)

กลับมาที่ฉากอารีย์ขอโทษพระอาทิตย์ และพระอโหสิให้ สร้างความดีใจ ปลื้มใจ แก่ยายทองคำ แม่อิ่ม น้าอุ่น น้าบังอร(ผู้พลิกวิกฤต) เป็นอย่างมาก ฉันก็พลอยดีใจไปด้วย โดยการ ร้องไห้ด้วยความปลื้มใจอีกตามเคย ไม่น่าเชื่อละครเรื่องเดียว แค่วันเดียวทำให้ฉันร้องไห้ได้มากมาย หลากหลายอารมณ์อย่างนี้
หลังจากไม่เคยร้องไห้ให้ละครเรื่องไหนมากมายอีกเลย นับตั้งแต่ สายโลหิต (ฉากเผากรุงศรีฯ) ขอชมดาราทุกท่านที่แสดงได้ดีมากทุกคน

ปรบมือให้พี่ศิริลักษณ์ คนเขียนบทที่รวบรัด กระชับ น่าติดตามและยังคงความรันทด บีบคั้นอารมณ์ได้ไม่ต่างจากบทประพันธ์เดิม ที่ขาดไม่ได้คุณเฟื่องนั่นเอง ถ้าไม่มีคุณเฟื่อง ก็คงไม่มีใครรู้จักชิงชัง ไม่มีบทให้นักแสดงพิสูจน์ความสามารถได้ขนาดนี้ คงไม่มีคนเข้ามาชมเว็บได้เยอะเป็นประวัติการณ์
คงไม่มีเรื่องให้เราคุยได้รู้เรื่องและสนุก คุยแล้วเข้าใจกัน แม้ว่าพวกเราในที่นี้จะไม่เคยเจอหน้ากันเลยก็ตาม ชิงชัง เป็นมากกว่าแค่ละครน้ำเน่าจริงๆ

ใกล้เข้าไปทุกทีแล้วสำหรับบทอวสาน รู้ทั้งรู้ว่าจะลงเอยแบบใด แต่ก็ยังมีให้ลุ้นได้ทุกวันซิน่า ติดตามกันต่อไปนะจ้ะ

ปล.ตาบวมเลยเช้านี้ จะโทษใครดี ผ้าเช็ดหน้าเมื่อคืนชุ่มเลย ทั้งน้ำตาและเอ่อ....น้ำมูก แฮะๆๆๆ

ณัฐเอง

---------------------------------------------------------------


โดย: F_nakhon วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:12:09:05 น.  

 
ตอนที่ 50 วันอังคาร ที่ 27 ตุลาคม 2551

เมื่อคืนนึกว่าจะไม่ต้องร้องไห้น้ำตาเรี่ยราดอีก เพราะนึกว่าพ่อปิงตายแล้ว ที่ไหนได้ยังไม่ตายนี่นา ต้องเห็นชายผ้าเหลืองลูกก่อน (จะว่าไปพ่อปิงก็อึดเหมือนกันนะนี่ เป็นคนอื่นคงจะซี้ม่องเท่งกลับบ้านเก่าไปนานแล้ว) เรียกน้ำตาได้อีกตามเคยกับซีนกระชากอารมณ์ จากการอิ่มบุญที่บรรดา ยาย แม่ และน้าเพิ่งจะใส่บาตรเสร็จ ฉากนี้ที่พ่อปิงบอกลูกว่า พ่อไม่ไหวแล้วนะ พ่อต้องไปแล้ว หลังจากที่ได้ ชื่นชมความงามของลูกที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ไม่ผิดหวังจริงๆสำหรับอารมณ์ของนักแสดงที่รับส่งให้กัน โดยเฉพาะปูไข่กับบทพระอาทิตย์ที่ร้องไห้ เสียใจที่คนที่เพิ่งรู้ว่าเป็นพ่อมาตายจากไป

แต่ด้วยเพศสมณะทำให้ต้องกำหนดจิตใจกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว เพื่อประคองอารมณ์ส่งคนเป็นพ่อให้สู่สุขคติ และปลอบใจคนเป็นแม่ทั้ง 2 ด้วย(ทั้งที่ตัวท่านเองก็เสียใจอยู่ไม่น้อย) ปรบมือให้จริงๆพร้อมกับน้ำตาเรี่ยราดตามเคย

ตัดกลับมาตอนที่อุ่นเก็บห้องพระยงชัย ให้อารีย์ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า พี่ยอดจะรู้มั้ยที่ลูกเราได้เป็นองค์แล้วนะ แล้วคุณน้ามหาภัยบังอรก็เดินผ่านมาได้ยินพอดี (คุณน้านี่มาถูกที่ ถูกเวลาทุกทีซิน่า แถมยังหูดีอีกต่างหาก) ฉากนี้ก็ตลกบังอร ไอ้ครั้นจะยืนยันว่าหูกูไม่ได้ฝาดนะ ก็คงกลัวจะมีเรื่องราวบานปลาย พออารีย์เดินมาถาม ก็คงคันปากอยากเล่านั่นแหละ แต่ว่าต้องไว้ฟอร์มนิดนึง ด้วยอยากให้คนเป็นน้องถามต่อว่าเรื่องอะไร ปรากฏไม่ถามแฮะ(ไม่บอก ไม่รู้ก็ได้ ไม่ง้อ) เจ๊แกก็เลยออกอาการเหวี่ยงนิดหน่อย น่ารักดีฉากนี้ (นับวันชักจะชอบบังอรขึ้นมาทุกที)

แล้วก็ให้กลับมานึกถึงอุ่น กรรมจะตามเอ็งทันแล้วอุ่นเอ๊ย..

มาถึงฉากฮาๆอีกจนได้ เมื่อคุณพ่อและลูกสาวจะไปงานศพน้าปิง ตอนที่รถยางรั่ว ทำให้พี่ยอดได้เจอเพื่อนเก่า พ่อแสน (คนที่ดูต้นทางให้จนโดน ซ้อมตกน้ำ) ตลกพ่อแสนจริงๆ กับที่ว่าผีไอ้ยอด ฮ่าๆๆ จนกระทั่งวิ่งตามมาก็ทำให้ใครต่อใครได้ตาเหลือกกันไปตามๆกัน และพี่ยอดผู้ไร้เดียงสา "ใครพอจะบอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเค้ารู้จักฉันเหรอ

ฉันเป็นใคร" แบ๊วได้อีกนะพี่ (อุ๊ย..ลืมแสดงความเห็นใจพี่ยอด หมั่นไส้แกออกนอกหน้าไปนิด) ในที่สุดก็เจอกันจนได้ แม่อิ่มกับพี่ยอด คุณเจี๊ยบทำหน้าตาแสดงอารมณ์ได้ดีมากเลยฉากนี้ ประมาณว่าดีใจ ระคนเสียใจและแปลกใจว่า ไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่มันใช่ผัวเก่าตรูแน่รึเปล่าหนอ เอ..ก็เห็นว่ามันตายไปแล้วนี่นา คงไม่ใช่มั้ง ฮึย..แต่ทำไมมันเหมือนนักล่ะ ถ้าใช่พี่ยอดจริงๆก็ดีนะสิ ฉันเฝ้าแต่ภาวนาสวดมนต์ให้พี่อยู่ดีมีสุข คนที่รอคอยมานาน จะดีใจก็ตอนที่เรียกครั้งแรก "แม่อิ่ม" ผิดหวังก็ตรง "แม่อิ่มใช่มั้ยนี่" นี้แหละ เฮ้อตรู..เป็นลมดีกว่า

แล้วหลวงพี่อินก็เดินเข้ามา ฉากที่เห็นหน้าเกลอรัก คู่แค้นเก่า โอ้โห หลวงพี่ดราม่าแตกกระจาย ทำได้ไงค่ะ น้ำตาคลอเบ้าแบบนั้นปนกับสีหน้าประหลาดใจ เป็นไปไม่ได้ เปปเปอร์เนียนอีกแล้วครับพี่น้อง ว่าแล้วก็พาคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี (พี่ยอด) ไปพิสูจน์หลักฐานกันว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า ท่ามกลางอาการลุ้นระทึกของสาวๆ ต่างอารมณ์กันไป หนูกิ่ง-หนูก้อยลุ้นให้พ่อรู้จักว่าอดีตตัวเองเป็นใคร สามศรีพี่น้อง (อิ่ม บังอร อารีย์) ก็ลุ้นให้ใช่พี่ยอด (เพราะอิ่มจะได้สมหวังซักที พี่น้องเค้ารักกัน เข้าใจกันแล้ว ก็คงอยากให้พี่มีความสุขขึ้นบ้าง จากการทรมานรอคอยใครมานาน)

คงจะมีก็แต่ นังอุ่น แม่ผู้มักง่ายเท่านั้นที่ไม่อยากให้เป็นจริง เพราะด้วยรู้ อยู่เต็มอกว่า ทำไมถึงใช่แล้วไม่ดี จะว่าไปแล้วอุ่นก็คงดีใจที่พี่ยอดไม่ตายนั่นแหละ แต่เมื่อมานึกถึงลูกตัว คนที่อุ่นรักหนักหนา คนที่ตัวเคยทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจมาเกือบยี่สิบปี (เป็นออหรี่ ให้ลูกอายแม้จะด้วยความไม่เต็มใจก็เหอะ) ความรู้สึกลูกตรูจะเป็นยังไงหนอ ถ้ามันได้รู้ว่าคนที่มันรักหนักหนา ทุกลมหายใจ คุณก้อยครับนั้น เป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน !!! ดูหน้าอุ่นกับไตเติ้ลตัวอย่างแล้ว ออกแนวเห็นใจเด็กสองคนมาก เพราะรักกัน แต่เป็นรักต้องห้ามซะงั้น ตัวอุ่นเองก็คงเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ ลำพังตัวเองเจ็บไม่เท่าไหร่ (ที่พี่ยอดของมันไม่ได้สมยอม แต่เป็นเพราะมันวางยาเค้า ถึงได้มียงชัยขึ้นมา) แต่ลูกนี่สิ ความรู้สึกลูกกูคงจะหัวใจสลายเป็นแน่แท้ ถ้าได้รู้ความจริง (คนเป็นพ่อแม่คนก็คงเข้าใจอารมรณ์นี้ ตัวเองเจ็บทนได้ แต่พอลูกเจ็บ ลูกทุกข์ พ่อแม่เจ็บมากกว่าร้อยกว่าพันเท่า เห็นมั้ยละครเค้าแทรกข้อคิดให้คนดูด้วยนะ)

ดังนั้นตอนนี้อุ่นคงจะเข้าใจและซึ้ง กับความรู้สึกของผู้ใหญ่แก้วและแม่ทองคำ ตอนที่เป็นทุกข์เพราะลูกๆได้เป็นอย่างดี

อุ่นเอ๊ย...ทีหน้าทีหลังเอ็งจะทำอะไร ช่วยคิดให้ไกลๆหน่อยนะลูกนะ ว่าใครจะเดือดร้อนกันบ้าง โทษใครไม่ได้เลยจริงๆ ต้องโทษตัวเองถึงจะถูกที่ทำให้คนที่ตัวเองรักที่สุด ต้องเจ็บที่สุดไม่รู้กีครั้ง กี่หนแล้ว (ผู้ใหญ่แก้ว ยิ่ง และยงชัย) จริงอย่างหลวงพี่อินว่า พ่อแม่มันทำกรรมอะไรไว้ ลูกเป็นผู้โดนผลแห่งการกระทำนั้นเล่นงานแทน (เจ็บไปถึงตัวคนกระทำกรรมนั้นเองเลยทีเดียว)

คืนนี้อย่าพลาดเลยทีเดียว กับฉากสารภาพความลับของอุ่น และน้ำตาแห่งความผิดหวังของสาวน้อยและหนุ่มน้อย ผู้ซึ่งต้องรับผลกรรมที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ เฮ้อ...หนักใจแทน ห้ามพลาดกันเลยนะจ้ะสำหรับวันนี้ ใกล้อวสานแล้วจ้า

ปล.มีคำถามจ้ะ
1. ฉากวัดในละครเค้าไปถ่ายกันจริงที่วัดท่าน้ำอ้อยรึเปล่าจ้ะ วัดกว้างขวางดี สวยด้วย

2. ทริปที่พ่อเฟื่องว่าจะย้อนรอยชิงชังวันที่ 23 ที่ผ่านมาตกลงได้จัดรึเปล่าเพราะเห็นพ่อเฟื่องเข้ากรุงตั้งแต่ 23แล้ว

3. ละครชิงชังที่ทางเอ็กแซ็กจะทำเป็นบ็อกเซ็ท กำหนดออกจำหน่ายเมื่อไหร่จ้ะ ฝากพ่อถามให้ด้วยได้มั้ย จะซื้อสะสมไว้ ชอบมากๆ (บ้าไปมั้ยเนี่ยทั้งหนังสือ ทั้งละคร)

ขอบคุณสำหรับคำตอบจ้ะพ่อ
ณัฐเอง



โดย: F_nakhon วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:12:19:02 น.  

 
มีใครว่างป่าวคะเย็นนี้ ไปงานศพปิงกันมั้ย
ว่าแต่อยู่วักอะไรหว่า มะเฟื่อง


โดย: Jum IP: 199.40.204.245 วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:12:21:26 น.  

 
ตอบคุณ ณัฐ ที่ท่าน้ำอ้อย จะไม่มีวัดชื่อวัดท่าน้ำอ้อยครับ มีชื่อวัดพระปรางค์เหลือง กับวัดบ้านบน ครับ..

2. ยกเลิกครับ..

3. ยางไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า สุภาษิตไทยมีอยู่ว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก คงจะเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ครับ ..
ปล. งานนี้ผมได้เปอร์เซ็นต์ด้วยนะ..(ถ้าอุดหนุนของแท้)


โดย: F_nakhon วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:12:29:40 น.  

 
เสียดายเมื่อคืนไม่ได้ดู พลาดตอนเด็ดๆไปทุกที แต่ไม่เป็นไรนะ ยูทูบยังมี


โดย: โต๊ะกลม ณ บ้านไร่ วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:12:50:38 น.  

 
สวัสดีค่ะ อยู่ต่างแดนค่ะ แต่ติดตามละคร เพราะสนุกมาก ตื่นเต้นที่เนื้อเรื่องเกิดที่ท่าน้ำอ้อย เพราะบ้านก็อยู่ไม่ไกลจากท่าน้ำอ้อยเท่าไร (ข้ามสะพานมาทางฝั่งน้ำทรงค่ะ) แต่ก็เคยไปส่งเพื่อนที่มีบ้านอยู่ท่าน้ำอ้อย

คุณ F_nakhon บ้านอยู่ท่าน้ำอ้อยเหรอคะ ดูหนังไปก็คิดถึงบรรยากาศบ้านเพื่อนที่เป็นบ้านทรงไทยไป ต่างกันก็ตรงบ้านเค้าไม่ติดแม่น้ำ


โดย: 2fast2farious วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:13:23:49 น.  

 
ยิ่งใกล้จบยิ่งติดชิงชังหนึบเลยค่ะ เลิกงานต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวไม่ทันดู แล้วระหว่างดู ก็บอกน้องว่าห้ามชวนคุย เดี๋ยวอารมณ์ซึ้งไม่ต่อเนื่อง



โดย: YesterdayOnceMore วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:14:26:12 น.  

 
พ่อเฟื่องแล้วจะมีการจัดย้อนรอยกันอีกมั้ยล่ะจ้ะ ถ้ามีเมื่อไหร่ ก็บอกกันด้วยนะ เผื่อฉันไปได้น่ะจ้ะ แล้วก็เรื่องบ็อกเซ็ทนั้น พ่อได้เปอร์เซ็นต์กะเขาด้วยฉันก็ดีใจด้วย ก็มันผลงานพ่อนี่จ้ะ มันสมเหตุ สมผลอยู่แล้ว และฉันก็คงจะช่วยอุดหนุนให้ผลงานพ่ออีกตามเคย ขอให้มีกำลังใจสร้างสรรค์งานดีๆต่อไปก็แล้วกันจ้ะ คุณโมริสาใช้ภาษาในคอมเม้นท์ได้สวยจังเลย เห็นภาพเลยอ่ะ สงสัยต้องจัดไปในเร็วๆนี้แน่นอน เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่จ้ะ สำหรับแฟนคลับ อย่าลืมรีบกลับบ้านไปดูชิงชังนะจ้ะ ใกล้จบแล้วจ้า


โดย: ณัฐเอง IP: 118.175.64.10 วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:15:52:55 น.  

 
ดีจิงๆ ในที่สุด พี่ยอดกะแม่อิ่มก้อได้เจอกัน ดีใจนะ หลังจากที่พลัดพรากจากกันมานาน เพราความดีที่ทั้งคู่ได้ทำ ส่งผลให้ทั้งคู่สมหวัง

คราวนี้ก้อสงสารหนูก้อยกะยงชัย

เจ็บปวดใจกันต่อไป เพราะบาปกรรมของคนเปนแม่ที่เคยทำนี่เอง



โดย: Lapiz IP: 114.128.208.106 วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:21:00:02 น.  

 
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีระหว่าง "โศกนาฏกรรมน้ำตา"
หรือว่า "โศกนาฏกรรมความรัก" แต่ไม่ว่าจะน้ำตาหรือความรัก
มันก็มีจุดกำเนิดมาจากที่เดียวกันคือเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง
แล้วรวมกันออกมาเป็นคำพูดที่สวยงาม "ความรัก"
ดังที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่า
"ความรักไม่ได้มีเพียงความหอมหวาน มันเจือปนไปด้วยความเจ็บปวดเสมอ"
ดั่งคำของพระพุทธองค์ที่ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"
แต่ถ้าพูดแบบนี้ เดี๋ยวหลายคนก็อาจจะกล้วไม่กล้ามีความรักกัน
ก็อยากบอกว่า ความรักเป็นสิ่งดี สิ่งสวยงาม แต่ต้องรักให้เป็น เพื่อรักนั้นจะได้ไม่กลายเป็นทุกข์

วันนี้ขอพูดถึงนังอุ่นก่อน เพราะกำลังตกนรกทั้งเป็นกับการกระทำในอดีต
ที่กำลังส่งผลมาถึง ณ เวลาปัจจุบัน
ด้วยใจมันร้อนรุมดังไฟสุม ที่มันค่อย ๆ ลุกลามเผาไหม้กัดกร่อน
ไม่ว่าจะลุก จะนั่ง จะยืน จะเดิน ไม่เป็นอันกินอันนอน
เพราะเกรงความลับที่ปิดมาสิบกว่าปีจะถูกเปิดเผย
แต่เมื่อถึงเวลาของมัน ไม่มีสิ่งไหนต้านทานได้
ไม่ว่านังอุ่นจะร้องไห้คร่ำครวญสารภาพผิดกับพระอินแค่ไหน
เพราะไม่ต้องการให้ลูกต้องเจ็บปวด มารับผลกรรมที่ตนเป็นผู้ก่อ

แต่คำของพระอินที่ว่า "ไม่มีใครเลือกที่จะรับกรรมแทนใครได้ มันเป็นเรื่องของวิบากกรรม"
คำพูดของพระอินเปรียบเสมือนมีดทื่กรีดลึกลงกลางใจของคนเป็นแม่อย่างนังอุ่นที่รักลูกยิ่งชีวิต
นี่คือผลจากการกระทำในอดีตที่ส่งมาถึงปัจจุบัน
จริงอยู่ไม่มีใครรู้ชะตาอนาคตข้างหน้า
แต่หากเราไตร่ตรองถี่ถ้วนถึงผลของการกระทำที่จะส่งผลตามมาในวันข้างหน้าแล้ว
เหตุการณ์ในวันนี้ของนังอุ่นก็จะไม่เกิดขึ้น

คำพูดของนังอุ่นที่ว่า"ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด!"
ที่มันเคยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดทุกครั้งในการตัดสินใจจะทำอะไรสักครั้งละก็
มาครั้งนี้ หากพระยงชัยจะเป็นคนพูดบ้างว่า "ผมไม่ผิด ผมไม่ผิด"นังอุ่นจะรู้สึกยังไงบ้าง

พิมพ์มาดากับบทบาทที่ท้าทายการแสดงของเธอ
ต้องบอกว่าในตอนนี้เธอคุมโทนของเรื่องเอาไว้ได้ทั้งหมด
ไม่มีใครมาขโมยซีนได้เลย แม้จะมีความรักที่ระทมทุกข์ของแม่อิ่มมาสอดแทรกก็ตาม
อาการร้อนรน กระวนกระวายที่ต้องปิดบังความชั่ว ความเลวของตนไว้นั้น
ออกมาทางสีหน้าที่พยายามกลบเกลื่อนด้วยอาการกระฟัดเฟียด ขัดอกขัดใจกับบังอร
แต่ขณะเดียวกัน ความทุกข์ใจมันออกมาทางแววตาอย่างชัดเจน
ทุกข์เพราะรัก สงสารลูก ไม่อยากเห็นลูกเจ็บปวดเพราะความรักจากผลกรรมที่ตนเป็นผู้ก่อ
แต่ไม่มีใครหนีผลกรรมพ้น ไม่ว่าจะเกิดมาสูงเสียดฟ้า หรือต่ำเพียงดิน
หากว่าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนมีกรรมต้องชดใช้ทั้งสิ้น

ดังเช่นที่ยงชัยกับก้อยกำลังเผชิญอยู่ นี่คือบทเรียนราคาแพงของคนทั้งคู่
โดยมีนังอุ่นเป็นผู้ร่างบทเรียนขึ้นมาให้คนทั้งสองอย่างตั้งใจ (เพราะว่านขวดนั้นไง)
โดยที่เธอไม่ทันคิดว่าบทเรียนบทนี้
มันจะส่งผลให้คนที่เธอรักต้องมาชดใช้เมื่อสิบแปดปีให้หลัง
คนที่น่าเห็นใจที่สุดไม่พ้นยงชัยกับก้อย
แต่หากทั้งสองคนยอมหันหน้าเข้ารับฟังความจริง
จริงตรงที่ว่าไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อรักได้ก็ทุกข์ได้ เมื่อทุกข์ได้ ก็หายได้
ชีวิตคนเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ทุกคนย่อมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ (เอ๊ บอกใครหว่า?)

น้องเต้ย ผู้สวมบทบาทก้อย หญิงสาวผู้ถูกความรักทำร้ายจนบอบช้ำ
เคยดูบทบาทการแสดงของเธอในอุบัติรักข้ามขอบฟ้า
บอกตรง ๆ ว่าตอนนั้นเฉย ๆ มากกับการแสดงของเธอ
เพราะดูเหมือนว่าจะไม่ต้องใช้พลังในการแสดงมากนัก
นอกจากบทแสนงอน ง้อกันไปง้อกันมากับพระเอกของเรื่อง
แต่ก็ติดใจในน้ำเสียงและหน้าตาของเธอ
มาเรื่องนี้แม้จะบทคล้าย ๆ กันคือเป็นวัยรุ่นสดใส
แต่เมื่อต้องเจอปัญหารักต้องห้าม แววการแสดงกลับฉายแสงโดดเด่นขึ้นมาทันที
อยากบอกว่าคนดูจะจดจำการแสดงของน้องเต้ย ในบทบาทของก้อยผู้อาภัพรักได้เป็นอย่างดี

แต่จะว่าไปแล้ว นักแสดงที่เล่นชิงชังทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม
พระยงชัยที่ร้องไห้ราวกับสั่งน้ำตาได้นั้น พาคนดูสะเทือนใจในทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว
ตอนที่ก้อยถอยหลังไปตกน้ำนั้น เหมือนย้ำให้รู้ว่า
เส้นทางของทั้งสองถูกขีดให้เป็นเส้นขนานไปโดยปริยายแล้ว หลังรู้ความจริง
แม้แต่จะโดดน้ำลงไปช่วยให้หญิงสาวรอดชีวิต ยงชัยยังทำไม่ได้
มันเหมือนเป็นลางบอกเหตุให้เขารู้ว่า ความรักที่เขาตั้งความหวังไว้นั้นสิ้นสุดลง ณ ตรงจุดนี้

อ้อ ลืมบอกว่าชอบฉากที่กิ่งปลอบน้องบนเตียงมากเลย
ดูแล้วทำให้รู้ว่าถึงก้อยจะบอบช้ำเพราะความรักต้องห้าม
แต่เธอจะได้ความรักจากพี่สาวต่างแม่ทดแทนอย่างล้นเหลือ

สุดท้ายวันนี้ไม่พูดถึงเลยเห็นจะไม่ได้
แม่อิ่ม กับพี่ยอด
สิบแปดปีที่ต้องพลัดพรากจากกันสิ้นสุดลงเมื่อทุกอย่างกระจ่างชัด
ผลจากการกระทำที่ผู้อื่นเป็นผู้ก่อให้กับคนทั้งสองนั้น สลายกลายเป็นผงธุลี
เมื่อคนทั้งสองรับรู้ว่าความรักของเขาทั้งคู่ไม่ได้เหือดแห้งหายไปกับวันเวลาที่ผันผ่าน
ยิ่งนานวัน ความรักยิ่งฝังตัวลึกอยู่ในความทรงจำ
แม่อิ่มนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะหัวใจรักของเธอไม่เคยแปรเปลี่ยน
ส่วนพี่ยอดนั้นเล่า แม้จะทำความทรงจำหายไป แต่ในเศษเสี้ยวที่เหลืออยู่
มันมีแม่อิ่มอยู่ในร่องรอยของทุกลมหายใจไม่ว่าจะหลับหรือตื่น
ดังเช่นที่พี่ยอดบอกแม่อิ่มว่า "ตอนนั้นฉันคงรักแม่อิ่มมาก ฉันถึงได้ฝันถึงแต่แม่อิ่ม"
แล้วคำตอบที่ไอ้ยอดอยากได้ยินมานานนั้นก็ออกจากปากของแม่อิ่ม
"ใช่ ตอนนั้นพี่ยอดรักฉัน เหมือนที่ฉันรักพี่ยอด"

อยากบอกอีกครั้งว่าการจะบอกรักใครสักคน อย่ารอวันพรุ่งนี้ เพราะมันอาจสายเกินไป
ความรักดี ๆ ยังมีอยู่ในโลกนี้จ้า ถ้าทุกคนจะรักให้เป็น


โมริสา

คำเตือน : นี่คือความคิดเห็นหลังดูละครจบ
ใครจะเห็นอย่างข้าพเจ้าหรือไม่ ไม่ใช่ความผิด
ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ไม่ผิดเช่นกันที่จะมีความเห็นเช่นดังที่กล่าวมาแล้ว

โปรดใช้วิจารณญาณ




โดย: โมริสา IP: 125.24.1.63 วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:23:05:17 น.  

 
สงสารหนูก้อยกับยงชัย
เค้า 2 คนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
แต่ต้องไม่สมหวังในความรักเพราะ
บุพการีแท้ๆ

พอชิงชังจบต้องติดสูตรเสน่หาแน่ๆ เลย


โดย: Jum IP: 199.40.204.245 วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:7:52:59 น.  

 
วันนี้จะเป็นตอนจบของละครชิงชัง แต่ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของทั้งหมด หวังว่าผู้ชมจะได้ข้อคิดจากการชมละครเพื่อเป็นข้อเตือนใจในการดำเนินชีวิต ขอขอบคุณ คุณจุฬามณี สำหรับบทประพันธ์ที่แสนดี ผู้สร้างละคร และผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เรายังมี โอกาศได้เสพสิ่งดี ๆ ขอบคุณมากค่ะ ประทับในมาก...


โดย: แอน_แฟนชิงชัง IP: 125.25.207.50 วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:9:23:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

F_nakhon
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




email ถึงผู้เขียน

เฟื่องนคร : f_nakhon@hotmail.com
ลิขสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อก เป็นของผู้เขียนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน

-------------------


Friends' blogs
[Add F_nakhon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.