|
The Good Girl
หลังจากที่รายได้หลักที่ปกติต้องได้รับเหนาะๆ เป็นประจำสูญหายไปพร้อมๆ กับการปิดฉากของซีรี่ส์ที่ฮิตถล่มทลายอย่าง Friends รวมถึงการจากไปอย่างกระเหี้ยนกระหือรือของสามีบังเกิดเกล้าอย่างนาย Brad Pitt... แม่ Jennifer Aniston จึงต้องรีบถอนทุนคืนโดยด่วน ด้วยการหันมาเอาดีทางด้านการแสดงภาพยนตร์แทน สังเกตได้จากการที่พักหลังๆ มานี้แม่รับเล่นหนังกันติดๆ จนทำเอาคนดูบางคนเอียนจนต้องเมินหน้าหนีจนหนังแต่ละเรื่องที่แม่เล่นเจ๊งบ๊งไปตามๆ กัน อย่างไรก็ตาม หากลองย้อนกลับมาดูผลงานทางจอเงินของเธอ มีเรื่องหนึ่งที่ได้รับคำวิจารณ์ค่อนไปทางสรรเสริญ เยินยอในบทบาทการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอ คงจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกจาก The Good Girl ในปี 2002 เรื่องนี้นี่เอง... (โปรดอ่านแบบใส่สำเนียงโฆษกทีวีแชมเปี้ยน)
จัสตีน ลาสต์ (Jennifer Aniston) อายุ 30 ปีอาศัยอยู่ในย่านชานเมืองกับสามีผู้น่าเบื่อหน่าย ฟิล ลาสต์ (John C. Reilly) ซึ่งเป็นช่างทาสี ส่วนเธอนั้นเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้ารีเทล โรดีโอ เธอเบื่อหน่ายและเกลียดชังชีวิตของตัวเองในขณะนี้เต็มทนจนเธอได้พบกับเด็กหนุ่มที่มีหัวอกเดียวกัน โฮลเด้น เวอร์เธอร์ (Jake Gyllenhaal) ผู้ที่ตอนนี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ หลังจากดร็อปจากมหาวิทยาลัยเพราะความประพฤติไม่ดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มเกินเลยไปจนถึงขั้นชู้สาว สุดท้ายแล้วจัสตีนจะเลือกทางเดินชีวิตของเธอต่อไปอย่างไร เธอจะทนอยู่อย่างเดิม ที่ทั้งงาน สามี และทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วาดฝันไว้ หรือจะโบยบินไปอย่างไร้จุดหมายกับคนที่เธอเข้าใจ และเข้าใจเธอกันแน่
เป็นหนังดรามาที่ค่อนข้างจะเรียบง่ายทั้งวิธีการดำเนินเรื่อง รวมไปถึงตัวบทเองด้วย แต่มีมุกตลกเข้ามาสอดแทรกไว้เยอะมาก พูดอย่างนี้อย่าเพิ่งเข้าใจไปว่าเป็นมุกตลกแบบขำบ้านแตกอะไรทำนองนั้น เพราะมุกที่เขาใส่เข้ามานั้นส่วนมากจะเป็นแนวตลกร้าย แบบที่ดูแล้วขำไม่ค่อยออก เวลาดูแล้วจะแอบคิดในใจว่า "มันเล่นงี้เลยเหรอ..." ซึ่งกระจายอยู่ค่อนข้างเยอะในหนังจนตัวหนังเองแทบจะกลายเป็น black comedy อยู่กลายๆ นอกจากนี้ต้องขอชมเชยเรื่องโลเกชั่นที่ถ่ายทำเพราะดูแล้วมันเป็นชานเมืองอันเคว้งคว้างว่างเปล่า อยู่แล้วน่าจะสติแตกอยากหนีไปที่อื่นได้ง่ายๆ รวมทั้งดนตรีประกอบที่เพิ่มอารมณ์ความเหงา ความว่างเปล่าในจิตใจได้ดีทีเดียว เออ! ขอเตือนอีกอย่างหนังเรื่องนี้ติดเรตอาร์นะจ๊ะ เพราะมีทั้งฉากจับนมผู้หญิง ฉากผู้ชายปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือตัวเอง และฉากเซ็กซ์ที่...ซะสปริงเตียงแทบจะเสื่อมหมด แต่ว่าไม่เห็นไอ้นั่นไอ้นี่นะ เอาเป็นว่าถ้าใครรับไม่ได้กับของพรรค์นี้ก็ดู UBC ซะ เค้าตัดออกเรียบ...
บทบาทของจัสตีนนั้นคือเป็นผู้หญิงหน้าตาดี แต่ไร้จุดหมายในชีวิต เธอเซ็งกับงานที่ทำอยู่ ในห้างที่ล้าสมัยแบบนี้งานของเธอไม่มีอะไรนอกจากนั่งเฝ้าเคานเตอร์ทั้งวัน กับจำใจแต่งหน้าลูกค้าที่อยากทดลองแต่งหน้าฟรี เธอเบื่อหน่ายสามีของเธอที่แม้จะรักเธอเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันจะเข้าใจหัวอกเธอได้ Jennifer Aniston เล่นได้ยอดเยี่ยม ไร้ที่ติทั้งในบทเบื่อหน่ายชีวิต และบทอินเลิฟกับโฮลเด้น ราวกับว่าเรากำลังไปจับจ้องชีวิตจริงของผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเลย อีกอย่างคือผมชอบเสียงของเธอมากเลยล่ะ ในเรื่องนี้มีหลายตอนที่ใช้เสียงของจัสตีนเล่าเรื่อง เธอจะพูดได้เป็นธรรมชาติมากๆ มันฟังแล้วสบายใจดี ใครที่รู้จักเธอแค่ในฐานะเมีย Brad Pitt ลองมาดูเรื่องนี้แล้วคุณจะพบเธอในฐานะใหม่ คือฐานะนักแสดงขายฝีมืออีกคนของวงการเลยล่ะ ผมกล้าการันตีว่า จนถึง ณ ตอนนี้ นี่คือบทบาทการแสดงบนจอเงินที่ดีที่สุดในชีวิตของ Jennifer Aniston ...มาถึงบทบาทของโฮลเด้น เด็กหนุ่มอายุ 22 ปีที่ตั้งชื่อตามตัวละคร Holden Caulfield จากวรรณกรรมชื่อดัง The Catcher in the Rye คาแรกเตอร์จะเป็นวัยรุ่น กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ดูป่วยทางจิตหน่อยๆ เหมือนจะหลุดได้ง่ายๆ บางทีก็ทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่มีเหตุผล ร้องไห้กระจองอแง และดูจะไม่ค่อยแคร์จัสตีนเรื่องอื่นเท่าไหร่นอกจากเรื่องเซ็กซ์ Jake Gyllenhaal เหมาะกับบทบาทอย่างนี้มากเลยทีเดียว เวลาขี้แยก็ทำตัวงี่เง่าแบบไม่ห่วงหล่อเลย เวลาละเมอเพ้อพกไปในจินตนาการของตัวเองก็จะทำหน้าหลงๆ เขาเล่นได้ดีมาก พอเหมาะกำลังดี ไม่ด้อยและไม่เว่อร์จนเกินไป ถ้าใครสงสัยว่าหมอนี่เข้าชิงออสการ์ได้ไง หลังจากดู Brokeback Mountain จบก็มาดูเรื่องนี้หรือหนังเก่าๆ เรื่องอื่นของหมอนี่เค้าซะ ...บทบาทสามีที่แสนดีและรักภรรยาหมดใจอย่างฟิล รับบทโดย John C. Reilly รายนี้คงไม่ต้องเจียระไนอะไรมากเพราะเล่นได้ยอดเยี่ยมมาแต่ไหนแต่ไร ...นักแสดงสมทบท่านอื่นๆ อย่าง Tim Blake Nelson, John Carroll Lynch, Mike White และ Deborah Rush ต่างก็มีดีมาโชว์กันทั้งสิ้น แต่ที่เด่นเด้งกว่าใครคงหนีไม่พ้น Zooey Deschanel ในบทเชอริล ฮิปปี้สาวเพื่อนร่วมงานของจัสตีนที่ชอบแต่งหน้าบ้าๆ บอๆ มุกนึงของเธอที่ผมชอบมากคือตอนที่พูดกับลูกค้าว่า 'F*ck you very much.' ก่อนจะแก้ใหม่ว่า 'Thank you very much.' ...เกือบฟังไม่ออกเลยนะ 555+
จัสตีนได้รับคำชมเชยจากเจ้านายครั้งหนึ่งว่า You're the good girl. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่อง จริงๆ แล้วการกระทำของเธอในเรื่องนี้จะถูกต้องหรือเปล่านั้น ไม่ใช่หน้าที่ของหนังที่จะมาตัดสินให้คุณดู ชีวิตไม่ว่าจะของใครก็ตามไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่มันเต็มไปด้วยปัญหามากมายที่ยากแก่การตัดสินใจลงไปแน่นอนว่าจะเลือกสิ่งไหนดี ไม่แน่สักวันคุณอาจจะต้องพบเจอกับการตัดสินใจอันแสนยากลำบากเช่นเดียวกับที่จัสตีนต้องเจอ ถ้าถึงวันนั้น... เป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร?
Create Date : 11 พฤษภาคม 2549 |
|
12 comments |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2549 9:42:27 น. |
Counter : 3872 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: mimu (darksky ) 11 พฤษภาคม 2549 21:39:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณหนูลมหวน (zardamon ) 12 พฤษภาคม 2549 18:45:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: octavio 12 พฤษภาคม 2549 20:11:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: *pi-Zzu* IP: 58.64.105.40 15 พฤษภาคม 2549 21:24:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: jet IP: 101.108.34.44 28 เมษายน 2555 22:55:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tone IP: 49.230.116.16 21 กรกฎาคม 2557 11:31:40 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ดุแล้วก้อหดหู่นิดหน่อย
แล้วก้อนะเลิฟซีนนี่สุดๆอย่างที่แกว่าน่ะแหละ
แต่เอาเข้าจิงๆช้านก้อดูไม่จบอ่ะ
มาถามตอนจบจากแกนี่ล่ะเหอๆ
แต่เจคนี่รับบทแนวโรคจิตหน่อยๆหรือไม่ปกตินี่รุ่งแฮะ
เอาล่ะๆขอนอกเรื่องยังไงช้านก้ออยู่ข้างอนิสตันย่ะ
ไม่อยู่ข้างโจลี่แน่ๆ แต่ยังไงแบรด ก้อแย่ที่สุดฮือๆ
นี่คือความเหนส่วนตัว คนอื่นไม่เหนด้วยอย่ามาด่าโอเค๊
ช้านจะมาทำบล็อกแกปั่นป่วนป่ะนิ
บาย