<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
12 ธันวาคม 2553

ไปทัวร์กินที่ไทยทาวน์แอลเอจ้า 30พย - 5ธค 2010

มีวันลาพักร้อนเหลืออีก 2 อาทิตย์ เลยเลือกใช้วันที่ 30 พย - 3 ธค 1อาทิตย์พาคุณภรรยาอยากทานอาหารไทยที่แอลเอ เป็นทริปเล็กๆไปหาของกินกัน
เริ่มจากหาข้อมูลร้านอาหาร ตอนที่เราไปแอลเอเมื่อสองปีก่อน ก็อาศัยร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาของป้าอ๊อดเป็นหลัก
คราวนี้อาศัยข้อมูลจากบล็อกของคุณวิสกี้โซดาบอกว่า ป้าอ๊อดแกย้ายร้าน ก็เลยไดพิกัดร้านใหม่
พร้อมทั้งได้รายชื่อร้านและรายการอาหารที่อยากกินจากบล๊อกคุณวิสกี้เป็นหลัก ขอบคุณมากนะครับคุณวิสกี้
คราวนี้อาศัย //www.travelocity.com ในการหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และรถเช่า
ได้ตั๋วของ Frontier ออกจากเดนเวอร์วันที่ 30 พย เวลา 8.45AM ถึงแอลเอ 9.45AM
ขากลับออกจากแอลเอวันที่ 4 ธค เวลา 6.45PM ถึงเดนเวอร์ 9.45PM
โรงแรม Days Inn Hollywood อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบน Hollywood Bl เลย
รถเช่าได้ของ Dollars เป็นรถมิดไซด์ ราคาทั้ง 3 อย่าง 860 เหรี่ยญ เป็นค่าตั๋วเครื่องบิน 400 ค่าโรงแรม 280 ค่ารถเช่า 180

วันที่ 30 ตี่นตอนตี 4 กว่าๆ ออกจากบ้านเกือบดี 5 ขับรถไปจอดไว้ที่สนามบินที่ Pikes Peak Parking วันละ 6เหรียญ ซึ่งคิดแล้วประหยัดกว่านั่งแท็กซี่ไปกลับหลายตังอยู่

จากนั้นก็นั่งชัตเติลบัสบริการมาลงที่ East Terminal ของ DIA จากนั้นก็ไปเช็คอิน มีกระเป๋าโหลด 1 ใบ เสียค่าโหลด 20 เหรียญ
จากนั้นก็ไปผ่าน Security ที่เดนเวอร์นี่ไม่ยุ่งยาก ตอนเช้าคนยังไม่เยอะมาก ไม่โดนสแกนทั้งตัวด้วย เสร็จแล้วก็มาคอยขึ้นเครื่องที่ Terminal A
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการของ Frontier แต่พลาดตอนจองตั๋วได้ที่นั่งแถว 9 ซึ่งที่นั่งแถวนี้ปรับเอนไม่ได้เนื่องจากเป็นแถวที่อยู่ตรงประตูฉุกเฉินพอดี แถมเลือกที่นั่งแถวนี้ทั้งไปและกลับด้วย โชคดีที่บินเพียง 2 ชั่วโมงเลยไม่อึดอัดมาก

เครื่องออกจากเดนเวอร์ตรงเวลา มาถึงแอลเอก่อนเวลานิดหน่อย แต่พอลงเครื่องแล้วต้องมารอกระเป๋าที่โหลดนานมาก กว่า 30 นาที
ออกจากตัวสนามบินก็มานั่งชัตเติลบัสของดอลล่าร์เพื่อไปรับรถ
พนักงานที่เคาท์เตอร์ก็พยายามจะให้เราซื้อประกันเพิ่ม แต่เราก็ไม่ยอม 555
จากนั้นก็มาเดินเลือกรถที่ล็อต ซึ่งให้เราเดินเลือกรถได้ตามใจ ดีจัง เดินดูสักพักก็ตกลงเลือก Ford Fusion ได้อ็อฟชั่นเบาะหนัง ปรับไฟฟ้า แอร์เลือกอุณหภูมิได้ 2 ฝั่งเลย

ผมเอา GPS เจ้ากามินมาด้วย เพื่อช่วยบอกทาง จากนั้นก็ตั้งให้บอกเส้นทางไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวป้าอ๊อดร้านใหม่ทันที
กว่าจะได้รถพร้อมเดินทางก็ 11 โมงกว่า ขับรถมาถึงร้านป้าอ๊อดเที่ยงกว่าแล้ว การจราจรในแอลเอเกือบจะพอๆกับกรุงเทพ
ทั้งติดทั้งปาดกัน วิ่งถนนไหนก็เจอรถติด เจ้ากามินไม่สามารถจะบอกเวลาถึงจุดหมายปลายทางได้ใกล้เคียงเลย ตลอดเวลาที่ขับรถที่นี่

มาถึงร้านป้าอ๊อดก็ไม่มีที่จอด ต้องขับวนหาที่จอดเสียเวลา สุดท้ายได้ที่จอดตรงเกือบทะลุ Hollywood Bl แล้ว ต้องเดินกลับมาตั้งไกล
พอมาถึงร้าน ผมก็สั่ง ก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อกับข้าวกระเพราไข่ดาวเผ็ดกลาง คุณภรรยาสั่งเล็กต้มยำกับใหญ่โฟแห้งเผ็ดน้อย
รสชาติอาหารเผ็ดร้อน แต่รูสึกไม่อร่อยเหมือนเดิมเท่าไร

ได้อาหารบรรจุท้องแล้วก็ยังไม่ได้เวลาเช็คอินเข้าโรงแรม ไปเดินดูหนังสือที่ร้านดอกหญ้าก็ยังมีเวลาเหลือ
เลยขับรถขึ้นไปที่ Griffith Observatory ปรากฏว่า ตอนนี้รัฐแคลิฟอเนียร์ตัดงบประมาณ ที่นี่เลยงดให้บริการวันจันทร์กับอังคาร ก็เลยได้แต่เดินดูรอบๆนอก แล้วก็ดูวิวเมืองแอลเอจากบนเขา และก็ถ่ายรูป Hollywood sign คุณภรรยาไปถาม Park Ranger ว่าจะขึ้นไป Hollywood sign ได้อย่างไร
เขาก็บอกว่าอย่าไปเลย เสียเวลา ถ่ายรูปจากที่ Observatory เนี่ยได้รูปที่สวยที่สุด ขับไปตรงนั้นก็เห็นแต่ป้ายใหญ่ๆและถ่ายรูปไม่สวย ก็เลยตัดรายการขับรถไปดูป้ายนี้ออกไป

ลงจากเขาก็ไปเช็คอินที่โรงแรม รอจนแดดร่มก็เดินจากโรงแรม เพื่อไปขึ้น Metro subway ที่ Hollywood/Western ลงบันไดเลื่อนมาจากระดับถนน ดูตัวสถานีแล้วตกแต่งได้สวยดีมาก
แต่ เดินเข้าไปแล้วดูน่ากลัวมาก เนื่องจากบรรยากาศเปลี่ยว เดินมาตรงตู้ซื้อตั๋ว ขณะที่ยีนดูว่าต้องซื้อตั๋วอย่างไร คนซื้อตั๋วก่อนหน้าเราดันถูกเครื่องกินเงิน เลยโมโห เตะเครื่องขายตั๋ว เครื่องมันก็ร้องดังขึ้น
แต่ก็ไม่มีพนักงานโผล่มาดูเลย ทำเอาเราสองคนใจตุ้มๆต้อมๆ แต่ก็ตัดใจซื้อตั๋วที่อีกเครื่องนึง ค่าตั๋วคนละ 1.5 เหรียญตลอดสาย

นั่งจากสถานีนั้นมาสองสถานีก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราที่ Walk of Fame, Chinese Theater ตอนออกจากสถานีนี้เจอตำรวจคอยตรวจคนที่จะออกจากสถานี แต่ที่สถานีที่เราขึ้น ไม่มีทั้งตำรวจและพนักงานเลย
เดินขึ้นมาจากสถานีก็มาโผล่ที่ระดับถนน ใกล้กับสี่แยกฝั่งตรงข้ามจะเป็น Ripley's เราเดินไปทางขวา ผ่าน Hard Rock cafe, Kodax Theater ไปยังChinese Theater

คุณภรรยาและผมต่างแยกย้ายหารอยประทับมือและเท้าของดาราที่ตัวเองชอบ คุณภรรยาเจอรอยของ Matt Damon ก็เลยเก็บรูปมาเป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินดูรอบๆ เพื่อเก็บบรรยากาศแถวๆนั้น

มาเที่ยวแอลเอครั้งนี้รู้สึกว่าเป็นเมืองที่ไม่เหมาะแก่การเดินเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างทางที่เดินสายตาที่มอง ไม่ค่อยเป็นมิตร เดินดูอะไรก็ไม่ค่อยสบายใจ ต้องหวาดระแวงไปตลอดทาง

ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินกลับโรงแรม แต่ด้วยความที่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร พอเดินมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินที่ Hollywood/Vine ก็เลยเลือกที่จะเสี่ยงนั่งรถไป 1 สถานีกลับโรงแรมดีกว่า
กลับมาถึงโรงแรมด้วยใจระทึก จากนั้นก็ได้เวลากินมื้อต่อไป

มือเย็นวันแรกก็เลือกได้ที่ร้านเรือนแพ ตามโพยของคุณวิสกี้ มื้อนี้ต้องสั่ง ส้มตำปูดอง คอหมูย่าง เนื้อน้ำตก และกุ้งแช่น้ำปลาของโปรดคุณภรรยา
คุณภรรยาสั่งสัมตำผิดเป็นส้มตำไทยปูดอง เลยได้แบบใส่ถั่วลิสง ซึ่งเธอไม่ชอบ คอหมูย่างใช้ได้ แต่เนื้อน้ำตกไม่ได้ย่างเนื้อ เอาเนื้อไปรวนเลยขาดความหอม
ส่วนกุ้งแช่น้ำปลาอร่อยที่สุดจาก 3 ร้านของทริปนี้ ตามความเห็นของเธอ
จากนั้นก็กลับโรงแรมนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปซานดิเอโก

วันที่ 1 วันนี้ตื่น 6 โมงออกจากโรงแรมเกือบ 7 โมงเพื่อไปทานอาหารเช้าที่ สยามซันเซ็ท
วันนี้ตื่นเช้ายังงัวเงียอยู่ ออกมาจากห้องเจอคนจอดรถเบียดรถเราอยู่ก็เลยอารมณ์ไม่ดี ถอยรถออกโดยไม่ได้มองรถหลัง
ก็เลยไปชนกับรถที่จอดอยู่ โชคดี่ที่ชนไม่แรงนักเลยไม่มีรอยทั้งคู่ แต่โดนคุณภรรยาสั่งสอนซะตามระเบียบ
แต่ก็พบว่า เจ้ารถฟอร์ดคันนี้มีแผงหลังที่สูงมาก ถ้ามองจากกระจกมองหลังจะมองไม่เห็นรถด้านหลังเลย
แต่ก็เป็นผลจากความประมาทที่ไม่ได้มองกระจกข้างและดูรถหลังก่อน โชคดีที่ไม่เสียทรัพย์

ไปถึงร้านมีคนทานอยู่แล้ว ถามได้ความว่าที่ร้านเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าทุกวัน
มื้อเช้าวันนี้เราสองคนสั่งต้มเลือดหมูคนละชาม คุณภรรยาทานกาแฟแบบใส่นมข้นแบบไทยๆ พร้อมป่าท่องโก๋ 2 คู่
ปรากฏว่าต้มเลือดหมูชามใหญ่มาก แต่ก็กินจนหมด 555 และก็โขมยกินปาท่องโก๋อีก 1 คู่

ออกจากร้านเกือบ 8 โมงก็ตั้งเจ้ากามินให้พาไปที่ Sea World San Diego ก็ขับรถตามทางที่เจ้ากามินบอก เข้าออกไฮเวย์จนงงไปหมด
เจอรถติดทุกที จนเกือบถึงซานดิเอโกถึงจะได้เจอรถว่างๆ มาถึง Sea World เกือบ 11 โมง
เสียค่าที่จอดรถ 12 เหรียญ ค่าเข้าคนละ 69.99 เหรียญ ช่วงนี้เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นเท่านั้น
ที่ Sea World มีเครื่องเล่นอยู่นิดหน่อย แต่ต้องเสียค่าเล่นเพิ่มต่างหากทุกเครื่องเล่น ก็เลยได้แต่เดินดูรอบๆ
ช่วงแรกก็เดินวนไปทางซ้ายเพื่อดูShamu กับโลมา แล้วก็เดินไปดู อควาเรียมน้ำจึด กับน้ำเค็ม ปรากฏว่าผิดหวังกับที่นี่มาก นึกว่าจะใหญ่โตอลังการ มีปลาโชว์นิดเดียวสู้เดนเวอร์ซูยังไม่ได้เลย
เดินได้ครึ่งนึงก็เริ่มหาของกิน ได้กินกาแฟสตาบัค กับขนม แล้วก็กิน บาบีคิวเนื้อเป็นอาหารกลางวัน ไปเที่ยวหน้านี้ ไม่ค่อยมีคน ร้านขายของเลยไม่ค่อยเปิดเลยยิ่งดูหงอยๆไปหน่อย พอกินอาหารเที่ยงเสร็จก็ไปรอดูโชว์ชื่อ Blue Horizons

โชว์ชุดนี้มีโลมาและวาฬ แสดงร่วมกับคน โชว์ดีมากดูแล้วยตื่นตาตื่นใจ ดีกว่าโชว์ของดิสนีย์ที่เราสองคนเคยดูมาทั้งหมด
จากนั้นก็ไปดูโชว์ของหมา แมว หมู ก็น่ารักดี แต่ก็ไม่เด่น
พอเสร็จจากโชว์นี้ก็เดินรอบส่วนที่เหลือทั้งหมดแล้วก็ไปรอดูโชว์สุดท้ายของวันนี้ชื่อ Believe เป็น Killer whale โชว์ ก็ดีมากดูมีความหมายดี
สรุปว่าเสีย 70 เหรียญเพื่อมาดู 2 โชว์ ส่วนอื่นๆ ไม่มีอะไรประทับใจเลย

ออกจากซานดิเอโก 4 โมงกว่า ก็ตั้งเจ้ากามินกลับโรงแรม ปรากฏว่ามันก็นำกลับโดยใช้เส้นทางใหม่ ไม่ซ้ำกับขามา
เจ้ากามินเครื่องนี้เป็นรุ่นที่มี Traffic Alert ซึ่งจะแนะนำทางใหม่ถ้าทางที่แนะนำมีปัญหาจราจร ซี่งเราพบว่าการนำมาใช้ที่นี่ กลับทำให้เรางงทิศและเส้นทางมากกว่าเดิม เพราะจะแนะนำเส้นทางใหม่ตลอดแม้ว่าเราจะไปจุดหมายเดิม

มาถึงโรงแรมเกือบทุ่มมื้อเย็นวันนี้เราทานกันที่ร้านกานดา อาหารที่สั่งคือ น้ำพริกปลาทู มัสมั่นไก่ เขียวหวานลูกชิ้นปลา และที่ขาดไม่ได้กุ้งแช่น้ำปลา
น้ำพริกปลาทูได้ปลาทู 1 ตัว น้ำพริกเล็กๆ 1 ถ้วยรสชาติใช้ได้ ผักเคียงน้อยไปหน่อย มัสมั่นไก่ไม่อร่อย เขียวหวานก็งั้นๆ กุ้งแช่น้ำปลาผ่าน
สรุปว่าอาหารงั้นๆ ไม่ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ
เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม

วันที่ 2 ตื่นสายหน่อยมากินข้าวเช้าที่สยามซันเซ็ทเหมือนเดิน วันนี้ กินข้าวมันไก่ กับโจ๊ก พร้อมกาแฟและปาท่องโก๋
ข้าวมันไก่ ข้าวมันกับน้ำจิ้มอร่อย ไก่คงหาไก่ตอนไม่ได้ไก่เลยชืดๆ โจ๊กผ่าน
จากนั้นก็ไปที่ Downtown Disney เพื่อซื้อตุ๊กตากับพินเพิ่ม ได้ของครบก็ขับรถไปร้านดอกหญ้าที่ใชน่าทาว์นเพื่อตามหาหนังสือสารคดีของเดือนตุลาคม
แต่ปรากฏว่าไม่มีเหลือแล้ว เลยไพ็อคเก็ตบุ๊คกลับมาอีก 3-4 เล่ม
วันนี้มื้อกลางวันฝากท้องกับอาหารที่ขายอยูในตลาดหลังร้านดอกหญ้า ผมกินผัดเผ็ดปลาทอดกรอบ ส่วนคุณภรรยาทานแกงหมูเทโพ
ซื้อขนมสอดใส้กับขนมเทียนมากินต่อด้วย

จากนั้นก็ขับรถเล่นในเมืองผ่าน Union Station แล้วตอนเย็นก็ขึ้นไปที่ Griffith Observatory อีกครั้่งเพื่อเข้าไปดูข้างใน และเก็บรูปแอลเอยามค่ำ
มือเย็นวันนี้มาลองกินร้านก่วยเตี๋ยวห้อยขาเจ้าของใหม่กับพนักงานของร้านเดิมบางส่วน วันนี้ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อของโปรด คุณภรรยาสั่งใหญ่โฟแห้งชามใหญ่
ก็อร่อยใช้ได้ ไม่แตกต่างกับร้านป้าอ๊อดเท่าไร เห็นคนก็มาทานกันเยอะดี

วันที่ 3 วันนี้ไม้ต้องรีบอะไรเลยเพราะ ไม่รู้จะไปไหน ตอนเช้าก็ๆผฝากท้องกับสยามซันเซ็ท วันนี้ผมสั่งข้าวขาหมูแต่ลืมสั่ว่าเอาแต่มันเลยกินเหลือ
คุณภรรยาสั่งกระเพาะปลา พร้อมเครื่องเคียงกาแฟและปาท่องโก๋ แล้วก็ไปเดินเที่ยวที่Farmer Market ที่ Fairfax เดินเล่นจนเมื่อย
ก็กลับมาร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาเพื่อกินมือกลางวัน สั่งเหมือนเดิมทั้งคู่ ตอนบ่ายๆก็ไปขับรถเล่นที่ Pacific Coastal Highway 1 วันอันเลื่องชื่อ

มื้อเย็นวันนี้ทานที่ร้านรเบียงไทย เห็นคนกินเยอะ ปรากฏว่าคนหน้าเอเซียที่เข้าไปกินคงไม่ใช่คนไทย เพราะเวทต้อนรับและทักทายด้วยภาษาอังกฤษตลอด ผิดกับร้านอื่นๆที่เวทมักจะต้อนรับด้วยภาษาไทย เลยรู้สึกแปลกๆพอสมควร วันนี้สั่ง กุ้งห่อเกี๊ยว ยำเนื้อ ส้มตำปูดอง และกุ้งแช่น้ำปลา
อาหารออกเปรี้ยวทุกอย่าง กุ้งห่อเกี้ยวนึกว่าจะเป็นกุ้งล้วน กลายเป็นกุ้งกับหมูสับ อาหารไม่ค่อยถูกปากแถมเวทแปลกๆ เลยคุยกันว่าสงสัย
ร้านนี้คงไม่ค่อยมีคนไทยเข้า ร้านนี้เป็นร้านที่ไม่ประทับใจที่สุดสำหรับทริปนี้ ทริปหน้าคงไม่กล้าเข้าไปอีกแล้วจ้า ลาก่อนนะรเบียงไทย
หวังจากผิดหวังจากร้านอาหารก็กลับมานอนเงียบๆ

วันที่ 4 วันนี้มือเช้าไปกินข้าวมันไก่เนื้อน่อง คุณภรรยาสั่งข้าวหน้าไก่ ข้าวหน้าไก่ไม่ผ่านเพราะกุนเชียงไม่อร่อยจ้า ตบท้ายด้วยกาแฟและปาท่องโก๋
พร้อมกับสั่งลาเวทสาวประจำร้านที่แนะนำอาหารให้ตลอด 5 วัน
จากนั้นก็ขับรถไปวัดไทย คุยกับแม่ค้าที่ขายอหารในวัด บอกว่าเสียดายวันที่ 5 มีเลี้ยงอาหารฟรี แต่เราต้องกลับบ้านวันนี้แล้ว

จากนั้นก็ขับรถหาร้านข้าวเหนียวมะม่วงที่เคยขายที่วัดไทย ตอนนี้ขายอยู่ในร้าน คิงส์ซีฟู๊ด หลงนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็เจอจนได้ ได้ข้าวเหนียวมะม่วงมา 1 กล่อง มากินตอนรอขึ้นเครื่องตอนเย็น เสียดายที่ตอนกินข้าวเหนียวเริ่มแข็งและเราไม่มีที่อุ่น แต่มะม่วงหวานดี

แล้วก็กลับมาเช็คเอาท์ที่โรงแรม เดินดูหนังสือที่ร้านดอกหญ้าอีกรอบ ได้หนังไทยมา 2 เรื่อง รถไฟฟ้ากับตามหากาลิเลโอ

แล้วก็มาปิดท้ายทริปด้วยร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา สั่งก๋วยเตี๋ยวเรือและข้าวกระเพราหมูไข่ดาว คุณภรรยาใหญ่แห้งโฟและหมีแห้งลูกชิ้นปลา ได้เจอเวทคนเก่าที่เราเจอตอนที่ยังเป็นร้านป้าอ๊อดเมื่อสองปีที่แล้วด้วยเลยได้เม้าท์กันนิดหน่อย แล้วก็วิ่งไปซื้อขนมเทียนที่ตลาดมาอีก 2 แพค
บ่ายสองกว่าได้เวลาเอารถไปคืนที่ดอลล่าร์ แล้วก็มาที่สนามบินเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่าเครื่องดีเลย์ 1 ชั่วโมง เราไม่ได้เช็คมาก่อนเลยมาถึงตามเวลาเดิมเลยต้องนั่งรอนานหน่อย ที่สนามบินแอลเอนี้โดนสแกนทั้งตัวทุกคน เสียเวลานิดหน่อย แต่เราไปถึงเร็วอยู่แล้วเลยไม่มีอะไรต้องกังวล โชคดีที่ขากลับเครื่องว่างเลยโดมานั่งที่แถว 8 แถมได้ดูหนังฟรี(ปกติต้องเสีย 6 เหรียญ) เพราะเครื่องดีเลย์

กลับมาถึงเดนเวอร์ก็นั่งชัตเติลมารับรถ แล้วก็ขับกลับบ้าน
มาถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน แล้วก็เอาขนมเข้าตู้เย็นแล้วก็นอนจ้า
ก็เป็นอันจบทริปกินที่แอลเอประจำปี 2010 เจอกันใหม่บล็อกหน้าจ้า
อ้อ แล้วจะเอารูปมาอัพเดททีหลังนะครับ ยังไม่ได้เลือกรูปครับ
บายยย


Create Date : 12 ธันวาคม 2553
Last Update : 12 ธันวาคม 2553 10:45:43 น. 4 comments
Counter : 1732 Pageviews.  

 


งั๊นจะรอดูรูปนะค่ะ

เอามาอัพเร็วๆน่ะ


โดย: destiny2way วันที่: 12 ธันวาคม 2553 เวลา:10:51:20 น.  

 
เป็นทริปที่น่าไปด้วยสุดๆ กินและเที่ยวอย่างเดียว ชอบค่ะ กี๊ซซซซ


โดย: army_wifey วันที่: 12 ธันวาคม 2553 เวลา:20:01:38 น.  

 
อันนี้เป็น brief ทัวร์ก่อนใช่มะคะ คิคิ

ร้านป๊าอ๊อดเนี่ยถ้าไปวิสกี้จะอร่อยแต่ก๋วยเตี๋ยวเรือและก๋วยเตี๋ยวห้อยหาอ่ะค่ะ อย่างอื่นวิสกี้ว่างั้นๆ เช่นกันค่ะ แอบเสียดายนะคะที่ไปร้านกานดาแล้วไม่ได้ลองปลาดุกทอดกรอบผัดเผ็ด เอ หรือว่าจะไม่ชอบก็ไม่รู้นะคะ ของเค้าขึ้นชื่อล่ะค่ะ ส่วนร้านรเบียงไทยเนี่ยออกแนวสวนตาลเดิมที่เค้ามาสรวมทับที่อ่ะค่ะ คือลูกค้าเป็นฝรั่งหมด เราคนไทยเข้าไปก็ออกแปลกๆ นะคะ วิสกี้เองก็ไม่เข้าไปหม่ำอ่ะค่ะ ไม่อยากรู้สึกไม่ดีกับเค้า แฮ่

คุณ JowMoo บอกว่าการจราจรในแอลเอเหมือนกรุงเทพ วิสกี้คนแอลเอว่าขับสบายกว่าที่กรุงเทพเป็นไหนๆ เลยค่ะ ยังเป็นน้องคนที่สิบของกรุงเทพก็ว่าได้เลยนะคะ ส่วนที่ซีเวิร์ลต้องมาหน้าร้อนค่ะถึงจะคึกคัก คนที่นี่ไม่ชอบเที่ยวหน้าหนาวกัน สวนทางกับวิสกี้ที่สุด อย่างไปยูนิเวอร์แซลเนี่ยวิสกี้เลือกไปหน้าหนาวเท่านั้นละค่ะ คิคิ

รอดูรูปนะคะ อยากชมๆ


โดย: วิสกี้โซดา วันที่: 13 ธันวาคม 2553 เวลา:0:07:01 น.  

 
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมครับ
คุณวิสกี้ครับ ที่ร้านกานดา เห็นปลาดุกแล้วแต้ไม่ได้สั่ง เพราะแฟนอยากทานมัสมั่นไก่ครับ เลยอดลองเลย


โดย: JowMoo วันที่: 13 ธันวาคม 2553 เวลา:22:06:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

JowMoo
Location :
Denver, CO United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ขอขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านในบล็อก
เจ้าของบล็อกเป็นครอบครัวไทยที่ต้องห้นเหมาใช้ชีวิตในต่างแดนตั้งแต่ 1999
แม่เคยบอกว่าตัวเจ้าของบล็อกเป็นฝรั่งเพราะว่าชอบกินไข่ดาวกับขนมปัง และสเต็กหมูที่แม่ทำตั้งแต่เด็ก เคยฝันแต่ไม่ได้จริงจัง
แต่ในที่สุดชะตาชีวิตก็ทำให้ได้มาใช้ชีวิตโดยถูกต้องตามกฎหมายที่อเมริกา
ปัจจุบันแม้เจ้าของบล็อกจะเป็นอเมริกัน แต่ใจก็ยังเป็นไทยเต็มร้อย ยังบอกทุกคนเสมอว่าเป็นคนไทย
[Add JowMoo's blog to your web]