Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2548
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
29 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ

แต่ไหนแต่ไรที่จอมยุทธฯ ไม่ค่อยชอบแต่งโคลงในแนวหวาน เคยพยายามลองแต่งถ้าไม่ใช่หวานรันทดก็ออกลิเกไปเลยยกตัวอย่างมาให้ดูสักบทสองบท

๏ สัตย์วาจาร่วมน้อง.................เคยประกาศ
กราบพระพุทธชินราช...............ถิ่นนี้
ร่วมใจร่วมชีวาตม์.....................เคียงคู่ กันแฮ
แต่นุชกลับหลีกลี้.....................ทอดทิ้งเรียมไฉน ๚
จาก โคลงชุดสองแคว หรือ

๏ มองฟ้าครามฟ้าสด................ระหว่างทาง
หมู่เมฆลอยนภางค์...................ลิบโพ้น
ฝากเมฆบอกต่อนาง.................เรียมร่ำ รักนา
กายห่างสุดฟ้าโน้น....................จิตใกล้ใฝ่ถวิล ๚
จาก โคลงชุดสัตยารัก

บทแรกที่ยกมาครูหนอนฯ เคยวิจารณ์ว่าออกลิเกไปหน่อย มาอ่านดูอีกทีก็ลิเกจริงๆ ฮ่า ฮ่า บทที่สองแม้จอมยุทธฯ จะมองว่าดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่ดีดั่งใจที่ต้องการเหมือนขาดๆ หรือแปร่งๆ ยังไงก็ไม่รู้

กระทู้นี้เจอ พี่xxx(เฒ่า) ชวนแต่งโคลงแนวหวาน พยายามแต่งเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดังใจจริงๆ อย่ากระนั้นเลยลองอ่านโคลงต้นแบบแนวหวานที่เจ๋งๆ ของยอดกวีรุ่นก่อนดีกว่า เพื่อศึกษาลีลาและแนวคิดของรูปแบบการเดินโคลงในแนวหวานเผื่อจะได้ไอเดียมาปรับใช้สำหรับตัวเองบ้าง อ่านแล้วได้อะไรหลายๆอย่าง เลยอยากนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆได้รับรู้ด้วย ขอรับ

ต้นแบบโคลงแนวหวานที่น่าศึกษาทีสุด เห็นจะต้องเป็นโคลงจากนิราศต่างๆ ที่กวีกล่าวรำพันถึงนางอันเป็นที่รัก ยามต้องจากไกล

โคลงที่ถือว่าเป็นต้นแบบของวรรณคดีนิราศ คือ โคลงทวาทศมาส ซึ่งเชื่อกันว่าแต่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแต่ก็มีนักวรรณคดีบางท่านบอกว่าเก่ากว่านั้น แต่อย่าไปสนใจดีกว่าขอรับ มาดูที่เนื้อหาที่ประกอบด้วยศฤงคารสเป็นเลิศเป็นจินตนาการและประดิษฐการของกวี อันเป็นแบบอย่างแห่งการเขียนนิราศ ที่กวีรุ่นหลังยึดถือเป็นแบบอย่าง กันดีกว่า

โคลงทวาทศมาสแม้จะเป็นโคลงดั้น มีศัพท์ยากสำหรับการอ่านสักหน่อย แต่จอมยุทธฯ ขออ่านเพื่อศึกษาแล้วกันขอรับ เพราะบทที่กล่าวคร่ำครวญนั้น มีหลายบทที่กวียุคต่อมานิยมแต่งเลียนแบบ ขอยกมาเป็นตัวอย่างแล้วกัน

๏ ปางบุตรนคเรศไท้...................ทศรถ
จากสีดาเดียวลี-.........................ลาศแล้ว
ยังคืนสู่เสาวคต..........................ยุพราช
ฤๅอนุชน้องแคล้ว.......................คลาศไกล
๏ ศรีอนิรุทธราศร้าง....................แรมสมร
ศรีอุษาเจียรไคล........................คลาศแคล้ว
เทวานราจร...............................จำจาก
ยังพร่ำน้าวน้องแก้ว.....................คอบคืน
๏ สมุทรโฆเรศร้าง......................แรมพิน-
ทุมดีดาลฝืน..............................ใฝ่เต้า
ปางเจ็บชำงือถวิล........................ลิวโลด
ยังพร่ำน้าวน้องเหน้า.....................ร่วมเรียง
๏ พระศรีเสาวเรขสร้อย.................สุธน
จากมโนหราเคียง.........................คิดน้อง
ยังเสด็จไพรสนฑ์........................สังวาส
สังเวชนงนุชคล้อง........................เคลือกองค์
๏ ปราจิตรเจียรเหน้าหน่อ...............อรพินท์
พระพิราไลยปลง.........................ชีพแล้ว
คืนสมสุดาจิน..............................รสร่วม กันนา
กรรมแบ่งกรรมแก้วแก้ว.................ช่วยกรรม
๏ ปางศิลปปรเมศท้าว....................สุธนู
จากสมเด็จนุชจันทร......................แจ่มเหน้า
เจียรรัปประภาตรู..........................เตราสวาสดิ์
ยังพร่ำน้าวน้องเข้า........................คอบสมร

โคลง ๖ บทนี้กล่าวถึงคู่รัก ๖ คู่ คือ พระรามกับนางสีดา พระอนิรุทธ์กับนางอุษา พระสมุทรโฆษกับนางพินทุมดีพระสุธนกับนางมโนราห์ พระปราจิตกับนางอรพินท์ พระสุธนูกับนางจิรประภา ทั้ง ๖ คู่นี้ต้องพลัดพรากกัน มีความทุกข์ทนหม่นไหม้ แต่ก็ยังกลับคืนมาพบกัน

การใช้คู่รักที่มีในประวัติและนิทานเก่าๆ มาอ้างเปรียบเทียบความรักและความพลัดพรากของกวี ชุดนี้ถือว่าเป็นต้นแบบอย่างไร เดี๋ยวมาอ่านศึกษากันต่อขอรับ




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2548
49 comments
Last Update : 21 กันยายน 2549 14:16:21 น.
Counter : 10113 Pageviews.

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ ตอนที่ ๒

พูดถึงโคลงทวาทศมาส ถ้าไม่พูดถึงโคลงหริภุญไชย ก็ยังไงอยู่ เพราะว่ากันว่าโคลง
หริภุญไชยนี้ก็เป็นโคลงแบบฉบับของโคลงนิราศ ซึ่งเขียนกันมากในกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยกรุงศรีอยุธยานั้นยังไม่เรียกชื่อนิราศ แม้โคลงศรีปราชญ์ก็เรียก กำสรวล แต่ปัจจุบันมักเรียกโคลงหริภุญไชยว่า โคลงนิราศหริภุญไชย

ความจริง จอมยุทธฯ เองไม่มีต้นฉบับ โคลงนิราศหริภุญไชย แต่ก็จะคัดข้อมูลจากหนังสือที่มีอยู่มานำเสนอ เพื่อไม่ให้ขาดตอนกับการศึกษาต้นแบบ ๒ โคลงนิราศนี้

โคลงหริภุญไชยนี้ กวีทางพายัพเป็นผู้แต่ง และแต่งเป็นภาษาเหนือต่อมาจึงมีผู้แปลงโคลงนี้ออกมาเป็นภาษาภาคกลางแต่ถึงเช่นนั้นก็คงภาษาภาคภายัพไว้มากมาย จนไม่อาจตีความให้กระจ่างได้ สำหรับโคลงชุดนี้ ผู้แต่งกล่าวอาลัยถึงหญิงที่รัก เมื่อตนจากที่พำนักในนครเชียงใหม่ ไปนมัสการพระธาตุหริภุญไชย เมืองลำพูน

โคลงหริภุญไชย ใช้โคลงสี่สุภาพในการแต่ง ว่ากันว่าเป็นโคลงแบบฉบับที่นักโคลงพึงอ่านศึกษาในลีลาเชิงรำพันพิศวาสแม้จะมีปัญหาเรื่องถ้อยคำบ้าง แต่ก็ยังพอรู้สึกซึ้งใจ
ในเชิงพรรณา และการแสดงอารมณ์ของกวีผู้แต่ง

ทัศนะกวีและอารมณ์กวี ซึ่งปรากฎในโคลงหริภุญไชย มีหลายบทคล้ายคลึงกับโคลงทวาทศมาส โคลงกำสรวล นิราศนรินทร์ และโคลงนิราศอื่นๆ ขอยกตัวอย่างเท่าที่จะหาได้แล้วกัน

๏ ดังฤๅร้างแก้วก่อน.....................กรรมสัง
รอยแม่งสารีรัง............................ราชรื้อ
บพิตรพระเมืองมัง.......................รายราช รักเอย
เชิญต่ำนายนั้นหื้อ..........................ค่อยแก้กรรมเรียม

๏ จากเจียนเนื้อเกลี้ยงกลิ่น...............องค์ออน
องค์อ่อนสมสมรนอน....................พรากขวั้น
พรากขวัญเดือดแดดอน................อกม่อน มรเอย
อกม่อนมรบ้านั้น...........................บิ่นบ้าในทรวง

๏ ปานนี้นักนิ่มเนื้อ........................สมสมร
จักโอบเอวองค์อร........................อ่อนเหล้น
หนาวลมละวาดอรชร......................ใจพี่ มาเอย
เปลี่ยนเปล่านุชน้องเร้น..................ร่ำร้องเถิงอวร

๏ ระลึกหน้าน้องดุจ.......................หันเห็น นาแม่
ยินแต่ตาจักฝัน.............................ใช่หน้า
รอยดลแต่ใจขวัญ.........................ศรีถิ่น มาฤๅ
ศรแม่มาน้อมหน้า...........................กว่าคล้องกระหายหน

๏ รามาธิราชร้าง...........................สีดา เดียวแม่
พระก็เอานงค์พงา..........................แม่ผ้าย
ยังลุส่ำบุญตรา.............................ตรูเจตน์ เดียวเอย
เสิกส่วนยังได้ส้าย..........................เพื่อผู้หนุมาน

๏ ปภาพิโยคสร้อย.........................สุธนู ก็ดี
สมุทรโฆษร้างพินธู.........................แม่งม้าง
ขุนบาจากเจียนอู............................สาราช
อกพี่เวนร้องร้าง............................กว่าเบื้องบุรเพ

จอมยุทธฯ อาจจะไม่ได้เรียงโคลงที่ยกมาตามลำดับ เพราะไม่มีต้นฉบับในมือ โคลงดังกล่าวเป็นโคลงที่ทัศนะกวี และอารมณ์กวี เป็นต้นแบบสำหรับโคลงนิราศสมัยต่อมา เป็นแบบใดเดี๋ยวอ่านต่อไปเรื่อยๆครับ ก่อนจะกล่าวถึงโคลงนิราศเรื่องต่อไป ขอคัดโคลงหริภุญไชย พร้อมคำแปลมาให้อ่านอีก ๒ บท ขอรับ

๏ อัสดงคดาค่ำแล้ว.......................รอนรอน
สรส่องเกวียนซอนซอน..................คลาดคล้อย
ปักษีส่งเสียงวอน..........................วอนเจต รักเฮย
โอ้อิ่นดูชู้สร้อย..............................มิได้สุดาดล
๏ ราตรีเทียนทีปแจ้ง......................เจาะงาม
มัวม่วนนนตรีตาม..........................ติ่งทร้อ
อุดสากั่นโลงนาม...........................ชักชอบ ชื่นแฮ
บุญพี่บ่อเปืองป้อ..........................เปล่าซ้ำเซาทรวง

ดวงตะวันกำลังจะตกลงไปรอนๆ แสงแดดที่ส่องลงมาต้องเกวียนนั้นก็ลับไป ได้ยินนกส่งเสียงร้อง พาให้ใจนึกไปถึงความรัก นึดใคร่เห็นคนที่รัก ก็มิได้นางมาให้พบเห็น

ในเวลากลางคืนเช่นนี้ มีดวงประทีปสว่างไสว ยินเสียงดนตรีบรรเลงรับกัน ได้ฟังเสียงขับเป็นที่ชอบชื่นใจ แต่ว่าบุญของพี่ไม่มี จึงต้องจำจากน้องมาเปล่าเปลี่ยวอกในแดนนี้

คำแปล โคลง ๒ บทนี้คัดจากหนังสือ จินตวรรณคดีไทย ของ อ.เปลื้อง ณ นคร

เดี๋ยวมาว่าถึง กำสรวลศรีปราชญ์ กันต่อ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:37:30 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๓)

แล้วก็มาถึงโคลงที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว คือโคลงกำศรวลศรีปราชญ์ หรือถ้าจะเรียกว่า โคลงนิราศนครศรีธรรมราช ก็ไม่น่าจะผิด (โคลงกำศรวลศรีปราชญ์ หนังสือบางเล่มเขียนว่า กำสรวลศรีปราญ์ แต่จอมยุทธฯ ขอใช้ตามต้นฉบับ หนังสือประวัติและโคลงกำศรวลศรีปราชญ์ ฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ปี พ.ศ.๒๕๑๓)

กำศรวลศรีปราชญ์ เป็นนิราศโคลงดั้นบาทกุญชร แม้จะไม่แน่ชัดว่าแต่งในสมัยใด ใครเป็นผู้แต่งกันแน่ แต่ตรงนี้ขอผ่านไปอีกทีแล้วกัน มาอ่านและศึกษาลีลาของโคลงชุดนี้กันดีกว่า

ว่ากันว่า (อีกแล้ว) การใช้อุปมา , อุปไมยโวหาร ตลอดจนเนื้อความรำพันบทปฎิโลมหลายบทของโคลงชุดนี้ แทบจะถอดออกมาจากเบ้าเดียวกับทวาทศมาส และมีส่วนคล้ายกับโคลงหริภุญชัย ในบางบท เป็นอย่างไรไปดูกัน

ก่อนอื่นมาดูการยกเรื่องราวของ ชาย-หญิง จากวรรณคดีทีต้องพลัดพรากจากกันมารำพันคร่ำครวญเปรียบเทียบไว้หลายคู่ ดุจเดียวกับทวาทศมาส และมีส่วนคล้ายโคลงหริภุญไชยดังกล่าวมาแล้ว ลองอ่านดูครับ

๏ รามาธิราชใช้.................................พานร
โถกนสมุทรวายาม............................ย่านฟ้า
จองถนนเปล่งศิลปศร.......................ผลาญราพ (ณ์)
ใครอาจมาขวางฆ่า............................ก่ายกอง
๏ เพรงพรัดนรนารถสร้อย...............ษีดา
ยงงขวบคืนสมสอง...........................เศกไท้
สุทธนูประภาฟอง.............................ฟัดจาก จยรแฮ
ยงงคอบคืนหว้ายได้..........................สู่สมสองสม
๏ ผยองม้ามณีกากเกื้อ......................ฤทธี ก็ดี
สองสู่สองเสวอยรมย........................แท่นไท้
เพรงพินธุบดีพรัด............................พระโฆษ
ขอนขาดสองหว้ายไส้.........................จากจยร
๏ พร่ำพบมาโนชเนื้อ.........................นางเมือง
สองสู่สมมณฑยร...............................แท่นแก้ว
เท่าบาเปล่าเปลองอก........................ในอ่อน อรแม่
สองพรากพรัดแคล้วชู้.......................ชำงือ
๏ เท่าบาแส้วไส้หย้อน.......................ในนาง ไซ้แม่
ครางอยู่ฮือฮือตา...............................เลือดไล้
เท่าบาจากอกคราง............................ครวญแม่
รยมท่าวหววใจให้..............................แม่ดิ้นโดยดู

โคลงชุดนี้คัดมาจากต้นฉบับ โคลงกำศรวลศรีปราชญ์ เล่มที่ได้กล่าวแล้ว อาจจะอ่านยากซักหน่อย ดังบาทสุดท้ายของบทที่ห้าที่ยกมา ถ้าทำเป็นภาษาปัจจุบัน จะได้ว่า
" เรียมท่าวหัวใจให้...............แม่ดิ้นโดยดู "

หรือจะให้เห็นชัดยิ่งขึ้น ลองดูกันอีกบทเพื่อเปรียบเทียบศึกษาลีลาหลายๆแบบ

๏ เพรงเรารอยพรากเนื้อ..................นกไกล คู่ฤๅ
ริบราชเอาเขาขัง...............................คั่งไว้
มาทันปลิดสายใจ..............................เจียรจาก เรียมนา
มานิรารสให้.....................................ห่างไกล (ทวาทศมาส)

๏ ดังฤๅร้างแก้วก่อน.........................กรรมสัง
รอยแม่งสารีรัง................................ราชรื้อ
บพิตรพระเมืองมัง............................รายราช รักเอย
เชิญต่ำนายนั้นหื้อ.............................ค่อยแก้กรรมเรียม (โคลงหริภุญไชย)

๏ ฤๅเรียมให้ชู้พราก..........................กันเพรง ก่อนฤๅ
กรรมแบ่งเอาอกมา...........................ดั่งนี้
เวรานุเวรเอง....................................พระบอก บารา
ผิดชอบใช้หนี้หน้า.............................สู่สมสองสม (กำศรวลศรีปราชญ์)

อ่านโคลงกำศรวลศรีปราชญ์ ถ้าไม่พูดถึงโคลงแนวหวาน ต้นแบบบทฝากนางของโคลงนิราศสมัยต่อมา ก็เหมือนขาดอะไรไปอย่าง บทฝากนาง ๒ บทที่ว่า คือ (ขอใช้ต้นฉบับที่แปลงเป็นภาษาปัจจุบัน เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น)

๏ โฉมแม่จักฝากฟ้า.........................เกรงอินทร์ หยอกนา
อินทรท่านเทอดเอา.........................สู่ฟ้า
โฉมแม่จักฝากดิน............................ดินท่าน แล้วแฮ
ดินฤๅขัดเจ้าหล้า.............................สู่สมสองสม
๏ โฉมแม่ฝากน่านน้ำ......................อรรณพ แลฤๅ
เยียวนาคเชยชมอก........................พี่ไหม้
โฉมแม่รำพึงจบ.............................จอมสวาสดิ์ kuเอย
โฉมแม่ใครสงวนได้........................เท่าเจ้าสงวนเอง

ตอนหน้าถ้ายังไม่เบื่อ มาอ่านโคลงนิราศพระบาท ของมหานาค วัดท่าทราย กันต่อขอรับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:38:01 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๔)

ตอนนี้มาอ่าน โคลงนิราศพระบาท ของมหานาค วัดท่าทราย กันครับ แม้จะหลงเหลือมาถึงปัจจุบันแค่ ๒๕ บท แต่เป็น ๒๕ บทที่ทรงคุณค่า ด้วยว่าลีลาโคลงมิได้ด้อยกว่าใคร ตรงนี้ คมทวน คันธนู กล่าวไว้ในหนังสือพิเคราะห์วรรณคดีโดยวิถีประวัติศาสตร์
เล่มแรก ว่าผลงานโคลงนิราศพระบาทอันหลงเหลือมา ๒๕ บท ของมหานาค วัดท่าทราย เมื่ออ่านเทียบดูกับ นิราศนรินทร์ ที่ว่าเป็นยอดโคลงนิราศ ชั้นมือ และเชิงรสแทบจะใกล้เคียงกันทีเดียว

สำหรับการอ่านโคลงนิราศพระบาทในตรงนี้ จะใช้ต้นฉบับโคลงที่รวมผนวกอยู่ในโคลงกวีโบราณของพระยาตรัง ทั้ง ๒๕ บทจากหนังสือ วรรณกรรมพระยาตรัง

ชั้นมือ และเชิงรส แบบโคลงหวาน ของมหานาค วัดท่าทราย เป็นอย่างไร ขอคัดมาให้อ่านสัก ๑๐ บท แบบยาวๆไปเลย

๏ ดำบลชนบทโอ้............................อาทร
ตอตะเคียนใครรอน.........................จึ่งด้วน
เหมือนเรียมนิราสมร......................มาเปลี่ยว
ไม้ดั่งไมตรีม้วน..............................เกศน้องนางเสย

๏ ถึงทางประเทศไท้........................ทางหลวง
ท้ายพิกุลกลัดทรวง.........................พี่ดิ้น
นางเพียงพิกุลพวง.........................มาลิศ
จวนจะวายกลิ่นสิ้น..........................สุดร้อนเรียมคนึง

๏ แม่ลาลาลดไห้.............................หาศรี
ฤๅแม่ลีลาลี.....................................ลาศเต้า
ลาลดระทดทวี.................................ทุกข์เทวษ บ้างเลย
ลาแม่ลาแล้วเจ้า..............................จากแล้วลาสมร

๏ เรียมเมิลมยุเรศฝ้าย....................ฟ้อนฝูง
นางมยูรหมู่ยูง................................ย่างย้าย
บรรพตพิสัยสูง...............................สังวาส
ดูดำเนินนกคล้าย............................แม่คล้ายยูงยล

๏ นกน้อยลงเล่นน้ำ........................ในบาง
บอกวิโยคเยาวพลาง.......................พี่ชี้
ธานีนทีทาง....................................แสนสนุก นกเอย
นกก็เลื่อนลอยลี้..............................เล่นแล้วบอกลาง

๏ นางนวลนางนกน้อย...................บินมา
เรียมก็สั่งสารา................................นกนั้น
นางนวลแม่ครวญหา......................นวลแม่ หมองฤๅ
นกนิยมสารซั้น...............................สู่แล้วลานวล

๏ เห็นโศกเรียมเร่งเศร้า..................สงสาร
โศกร่วงโรนโรยราน........................แก่เถ้า
โศกเอยจะยืนนาน............................อยู่เมื่อ ใดนา
ดูโศกดูเรียมเศร้า.............................โศกเศร้าเหมือนเรียม

๏ รำดวนรำดบด้าว..........................ใดควร
เก็บประมวญชวนนวล......................นุชน้อง
รำดับรำดวนจวน.............................วรบาท พระนา
สองประสงค์สัตย์พร้อง....................ชาติโพ้นพบกัน

๏ สามเล่มราเมศไท้..........................สังหร
แม่ก็ทรงสามศร...............................เปรียบท้าว
ท่านผลาญอสุรมรณ์........................ลาญชีพ
เจ้าก็ผลาญชายอกร้าว......................มอดม้วยดูเสมอ

๏ ศรเนตรเสียบเนตรค้น..................คมขำ
ศรสำเนียงตรึงกรรณ.......................ส่งซ้ำ
ศรโฉมแม่ยิงยัน..............................ยายาก
ต้องผู้ใดอกช้ำ...................................เฉกท้าวสาดศร

เป็นทีน่าเสียดายว่า โคลงนิราศพระพุทธบาท ชุดนี้เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันแค่ ๒๕ บท เท่านั้น ถ้าเหลือตกทอดมาครบ น่าจะได้วรรณกรรมโคลงนิราศ ที่ยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งประดับฟ้าวรรณศิลป์ไทย

แต่แค่ ๒๕ บทที่หลงเหลือมา ก็เป็นแบบอย่างที่น่าอ่านศึกษาจริงๆ

ตอนต่อไป จะเริ่มต้นอ่านวรรณกรรมโคลงนิราศ ยุครัตนโกสินทร์ ซักที จะเริ่มต้น ด้วย โคลงนิราศพระพิพิธสาลี ซึ่งมีอยู่ ๒ เรื่องคือ โคลงนิราศทวาย กับ โคลงนิราศชุมพร (สำหรับโคลงนิราศทวาย อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า โคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย บางตำราบอกว่า
ศิษย์ศรีปราชญ์เป็นผู้แต่ง) ซึ่งว่ากันว่าเป็นต้นแบบของ โคลงนิราศนรินทร์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร เดี๋ยวมาอ่านกันครับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:38:39 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๕)

ตอนนี้มาอ่านโคลงที่ว่ากันว่าเป็นต้นแบบโคลงนิราศนรินทร์กันขอรับ โคลงที่ว่าคือโคลงนิราศทวาย หรือบางตำราเรียกว่า โคลงนิราศไปแม่นำน้อย

หนังสือที่จอมยุทธฯ จะใช้เป็นต้นฉบับในครั้งนี้ คือ หนังสือโคลงนิราศพระพิพิธมาลี ซึ่งจะประกอบด้วยนิราศ ๒ เรื่องคือ โคลงนิราศทวาย กับโคลงนิราศชุมพร ตอนนี้เรามาอ่านโคลงนิราศทวายกันก่อนครับ

นิราศทวายแต่งก่อนนิราศนรินทร์ เกือบ ๒๐ ปี แต่มีหลายโคลงที่พ้องคำพ้องความเหมือนกับโคลงนิราศนรินทร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอกด้านโคลงนิราศ ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับโคลงนิราศนรินทร์ (โดยตัวอย่างบทแรกจะเป็นโคลงนิราศทวาย ส่วนบทสองจะเป็นโคลงนิราศนรินทร์)

๏ วัดหงส์หงส์เทพไท้...........................ธาดา แลฤๅ
ไฉนบ่เห็นหงส์มา.................................หนึ่งหน้อย
ฤๅทรงกมลาสน์พา..............................ผยองยาตร ฟ้านา
จักสั่งสารนุชคล้อย...............................คลาดแล้วฤๅทัน
๏ วัดหงส์เหมราชร้าง............................รังถวาย นามฤๅ
เรียมนิราแรมสาย..................................สวาทสร้อย
หงส์ทรงสี่พักตร์ผาย............................พรหมโลก แลฤๅ
จะสั่งสารนุชคล้อย...............................คลาศท้าวไป่ทัน

๏ สังขจายกำจัดแก้ว............................กามกุ มาฤๅ
สังข์ใส่สฤษฎิ์สินธู................................โศกสร้อย
อวยอาศิรพาทชู...................................ใจชื่น หนึ่งรา
สระสว่างสมรเรียมหน้อย.......................หนึ่งให้หายหมอง
๏ สังข์กระจายพี่จากเจ้า........................จอมอนงค์
สังข์พระสี่กรทรง.................................จักรแก้ว
สรวมทิพยสุธาสรง...............................สายสวาท พี่เอย
สังข์สระสมรจงแผ้ว..............................ผ่องถ้าเรียมถึง

๏ มาถึงอาวาสไหว้...............................วันทา
บางยี่เรือเรือรา....................................อยู่ยั้ง
เรือรอหยุดคอยหา................................เห็นแม่ ราแม่
คอยจักขอเห็นครั้ง...............................หนึ่งให้คลายใจ
๏ จากมามาลิ่วล้ำ.................................ลำบาง
บางยี่เรือราพลาง.................................พี่พร้อง
เรือแผงช่วยพานาง..............................เมียงม่าน มานา
บางบ่รับคำคล้อง.................................คล่าวน้ำตาคลอ

๏ หัวกระบือกระบินทรราชเรื้อง............รณรงค์ แลฤๅ
ตัดกระบาลโยนลง................................ลากน้ำ
ศิระกาจกาษรยง...................................ยังอยู่ ฤๅแม่
เสมอพี่ทนทุกข์ปล้ำ..............................ประดักด้วยอาดูร
๏ หัวกระบือกบินทรราชร้า.....................รณรงค์ แลฤๅ
ตัดกบาลกระบือดง..............................เด็ดหวิ้น
สืบเศียรทรพีคง..................................คำเล่า แลแม่
เสมอพี่เด็ดสมรดิ้น...............................ขาดด้วยคมเวร

๏ สามสิบสองคดคู้..............................เป็นกง
เวียนวกนาวาวง...................................ลดเลี้ยว
ดุจคืนกลับหลังหลง.............................มาลอบ โลมแม่
แลลับลำคลองเคี้ยว..............................พี่ค้างตาคอย
๏ สามสิบสองคดคุ้ง.............................เวียนวง
คิดว่าคืนหลังหลง.................................ทุกเลี้ยว
บังเฉนียนไฉนบง..................................พักตร์แม่ เห็นฤๅ
แลตะลึงลืมเคี้ยว..................................ขบค้างคำสลา

เห็นทีต้องอ่านนิราศเรื่องนี้อย่างตั้งใจซะแล้ว

โคลงนิราศทวายเริ่มต้นด้วยร่ายดั้นสรรเสริญพระนคร ๑ บท และโคลงสี่ดั้น ๖ บท จากนั้นดำเนินเรื่องตามขนบของโคลงนิราศด้วยโคลงสี่สุภาพอีก ๒๐๘ บท โดยเริ่มสำนวนนิราศในโคลงสุภาพบทที่ ๕ ว่า

๏ ขอแถลงลักษณ์อ้าง...........................อรองค์
โฉมพธูนงยง........................................แม่ร้าง
ปางพระหริรักษ์มง-...............................กุฎโลกย์
เสด็จยาตรพลไปล้าง.............................ม่านม้วยเวียงทวาย

จากโคลงบทนี้ระบุอย่างชัดเจนว่า กวีผู้แต่งได้ติดตามทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไปรบพม่าที่เมืองทวาย ตามพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ระบุว่า ปี พ.ศ. ๒๓๓๔ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเสด็จยกทัพหลวงพร้อมด้วย สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โดยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงหยุดทัพอยู่ที่แม่น้ำน้อย แขวงเมืองกาญจนบุรี ส่วนสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จยาตราทัพไปยังเมืองทวาย

เมื่อพิจารณาตามความที่ปรากฎในนิราศ กวีผู้แต่งพระพิพิธสาลีน่าจะโคยเสด็จในกระบวนทัพหลวงไปเพียงเมืองกาญจนบุรี ดังนั้นบางตำราจึงเรียกโคลงนิราศเรื่องนี้ว่า โคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย ซึ่งเส้นทางที่ปรากฎในนิราศใช้เส้นทางเรือซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับโคลงนิราศนรินทร์ จนถึงเมืองแม่กลอง แต่ต่างกันที่เส้นทางในโคลงนิราศ-
นรินทร์ เมือถึงแม่กลองก็ออกอ่าวไทยมาขึ้นฝั่งที่เมืองเพชรบุรีและเดินเท้าต่อไปยังเมืองตะนาวศรีอันเป็นเมืองด่านขณะที่เส้นทางโคลงในนิราศทวายเมื่อผ่านแม่กลอง ใช้เส้นทางน้ำผ่านราชบุรี โพธาราม ไปยังเมืองกาญจนบุรี

พร่ำมาเสียเยอะ ขอมาอ่านโคลงนิราศทวาย อย่างตั้งใจดีกว่า ชั้นเชิงและลีลาโคลงเป็นอย่างไร อ่านกันเลยครับ

๏ เรือมาถั่นถั่นคว้าง.........................ควิวทรวง
ทรวงละลุงแลลวง............................ลาศเต้า
รับขวัญกอดกับดวง..........................สวาดิอยู่ หลัดแม่
บัดบ่เห็นพักตร์เจ้า............................พี่แล้วลาญสมร

๏ แรมรักอำมฤตร้าง.......................รมยา
แรมภิรมย์คฤหา..............................แห่งห้อง
แรมเกษมสุขไสยา...........................ยงยั่ว ใจแม่
แรมถนอมนุชน้อง..........................แนบไว้แนบทรวง

๏ จักเย็นสมรเหยียบเหย้า...............ยำยาม
ยามแม่นอนเดียวหวาม...................หวั่นไส้
จักโศกซูบทรงกาม.........................โรยร่าง แลแม่
จันทร์กระแจะรสไล้.........................จักร้างแรมองค์

สำนวนในบทฝากนาง ซึ่งน่าจะได้อิทธิพล จาก โคลงกำสรวล

๏ จักฝากโฉมแม่ไว้........................ธรณี
เกรงกริ่งกรุงพาลี..........................ลอบเล้า
จักฝากนทีศรี................................สาคเรศ ท่านนา
กลัวเกลือกพระสมุทรเจ้า...............ท่านเที้ยรทารุณ
๏ จักวิงวอนว่าฟ้า.........................ฝากสงวน
เกรงพระพายชายนวล...................ชอกเนื้อ
จักฝากวลาหกครวญ......................ครึมคร่ำ
กลัวแต่โฉมกามเกื้อ.......................ชุ่มชื้นเสียศรี
๏ จักฝากยุพเรศร้อย......................เรียมคิด
ฤๅปล่งปลงใจมิตร.........................กิ่งเผ้า
ใดอาจจะปองปิด............................ยังยาก
โฉมแม่ฝากใจเจ้า............................ยิ่งด้วยใครครอง

โคลงบางบทก็ได้รับอิทธิพลจาก ทวาทศมาส เช่น

๏ รอยเราพรากนกเนื้อ...................เขาขัง
เขาพลัดรวงรังทัง...........................คู่เคล้า
ทนเทวษเพื่อบาปหลัง....................หลายคาบ
มานิราศรักเจ้า...............................พี่ได้อาดูร

มีโคลงอีกหลายบทที่อยากยกตัวอย่างมาให้อ่าน เอาอีกซักสี่ห้าบทแล้วกัน

๏ นางนองนางนิ่มเนื้อ....................เสมอสาย สวาดิเอย
สายเนตรเรียมฤๅวาย.....................เลือดย้อย
ใดนางบ่เห็นกราย..........................มาเกริ่น แลแม่
นางใช่นางนุชน้อย.........................พี่โอ้อาดูร

๏ แสงจันทร์จำรัสฟ้า......................เรียมครวญ
ไฉนว่านวลจันทร์นวล.....................แจ่มหน้า
กำจรรสจันทน์อวล.........................อบกลิ่น
กลิ่นกระแจะกลอยกล้า...................กล่อมเนื้อนวลจันทน์

๏ ลำพูพิลาสเพี้ยง.........................ลำเพา
ใครเซี่ยมรวกแหลมเหลา...............ปักล้อม
ขอฝากแม่โฉมเสา-........................วพางค์ภาคย์ กุเอย
จงช่วยปักขวากห้อม......................สวาดิไว้วานสงวน

๏ วะวากขวัญจิ่มฟ้า........................แดโดย
เยียอยู่หนหลังโหย.........................ละห้อย
รอยรูปจักแรมโรย.........................รสกลิ่น จันทน์นา
รอยแม่ทุกข์ค้อยค้อย......................ค่ำเช้าฤๅเสบย

๏ เจียรจากวันหนึ่งเพี้ยง.................พันปี
จากแต่เทียมราตรี..........................ยิ่งร้อย
ไป่เห็นแลทีที..................................พันคาบ
จากแม่ปูนปีสร้อย...........................โศกเพี้ยงแสนกัลป์

คงต้องจบโคลงนิราศทวายไว้แค่นี้ เดี๋ยวไปอ่านโคลงนิราศชุมพร กันต่อ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:39:08 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๖)

ตอนนี้จะมาอ่านโคลงนิราศอีกเรื่องของพระพิพิธสาลี คือโคลงนิราศชุมพร

สำหรับโคลงนิราศชุมพรนี้ พ.ณ. ประมวญมารค (หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี) เคยนำมาพิมพ์ในหนังสือประชุมโคลงนิราศ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า โคลงนิราศพระพิพิธสาลี สำหรับปีที่แต่งนิราศเรื่องนี้ไม่มีปรากฎ แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบสำนวนโวหารของนิราศชุมพร กับ นิราศทวาย จะพบว่าโคลงนิราศทวายแต่งได้ดีกว่าโคลงนิราศชุมพร น่าจะสันนิษฐานได้ว่า โคลงนิราศชุมพรแต่งก่อนนิราศทวาย

จอมยุทธฯ พร่ามมาถึงตรงนี้ อยากจะบอกว่า นิราศชุมพรนี่แหละ คือต้นแบบของนิราศนรินทร์ อีกหนึ่งเรื่อง ลองเปรียบเทียบบทที่คล้ายคลึงกันให้ดูสัก ๔ บท

๏ หลัดหลัดมาลุด้าว...........................อาราม
วัดแจ้งแจ้งเจ็บกาม............................โศกสร้อย
อกเรียมยิ่งไฟลาม..............................ลำลาบ พระเอย
วัดแจ้งวัจนาหน้อย.............................แก่น้องนางเฉลย (โคลงนิราศชุมพร)
๏ บรรลุอาวาสแจ้ง.............................เจ็บกาม
แจ้งจากจงอาราม...............................พระรู้
เวรานุเวรตาม.....................................ตัดสวาท แลฤๅ
วานวัดแจ้งใจชู้...................................จากช้าสงวนโฉม (โคลงนิราศนรินทร์)

๏ บางกอกกอกเลือดซ้ำ.....................หนองใน แลฤๅ
กอกย่อมรักษาใคร.............................ทั่วเท้า
อกเรียมชอกตับไต.............................บวมบ่ง
วานกอกกอกหนองเหน้า...................ช่วยให้เรียมคลาย (โคลงนิราศชุมพร)
๏ มาคลองบางกอกกลุ้ม.....................กลางใจ
ฤๅบ่กอกหนองใน..............................อกช้ำ
แสนโรคเท่าไรไร................................กอกรั่ว ราแม่
เจ็บรักแรมรสกล้ำ...............................กอกร้อยฤๅคลาย (โคลงนิราศนรินทร์)

๏ ฉานฉานกระฉอกคลื่นขลั้ง..............ถล่มดิน
ฉ่าฉ่าสมุทรนองสินธุ์..........................เฟื้องฟื้น
พลพยุพัดโพยมบิน............................เรือร่อน
เสียงอ่าวโอดอกสะอื้น........................ช่วยไห้รักเรียม (โคลงนิราศชุมพร)
๏ สรวลเสียงพระสมุทรครื้น...............ครวญคะนอง
คลื่นก็คลี่คลายฟอง............................เฟื่องฟื้น
ดาลทรวงป่วนกามกอง......................กลอยสมุทร แม่ฮา
ออกโอษฐ์ออกโอยสะอื้น......................อ่าวอื้ออลเวง (โคลงนิราศนรินทร์)

๏ เรียมเรียกทุกเทพไท้......................ฤๅยิน
พันเนตรทฤษฎีดิน.............................โลกย์แล้ว
พรหมอิศวโครวิน..............................วรเวค ท่านนา
พิษณุนอนนาคแผ้ว............................เพิกได้ฤๅฟัง (โคลงนิราศชุมพร)
๏ พันเนตรภูวนาถตั้ง.........................ตาระวัง ใดฮา
พักตร์สี่แปดโสตฟัง............................อื่นอื้อ
กฤษณนิทรเลอหลัง............................นาคหลับ ฤๅพ่อ
สองพิโยคร่ำอื้อ..................................เทพท้าวทำเมิน (โคลงนิราศนรินทร์)

โคลงนิราศชุมพร แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ จำนวน ๑๙๓ บท ไม่มีร่ายนำในตอนต้น เนื้อความในโคลงตั้งแต่บทแรกถึงบทที่สิบสาม กล่าวสรรเสริญพระนครและพระมหากษัตริย์ ตามประเพณีนิยมของโคลงนิราศ ทั้งนี้โคลงหลายบทได้รับอิทธิพลมาจากโคลงสมัยอยุธยา แต่จอมยุทธฯ จะไม่เปรียบเทียบไว้ในที่นี้

เมื่อจบบทพรรณนาความสมบูรณ์พูนสุขของบ้านเมืองแล้ว กวีเริ่มดำเนินเนื้อหาตามขนบของนิราศในโคลงบทที่ ๑๔ ว่า

๏ ร่ำปางพิโยคเนื้อ............................นงลักษณ์
บ เริ่มเรียมแรมรัก............................ห่างห้อง
กำโบลแนบแนมพักตร์......................พูนเทวษ
กำสรดแสนสวาดิน้อง........................แนบไว้กับทรวง

นิราศเรื่องนี้เป็นการเดินทางทางเรือเช่นเดียวกับโคลงนิราศทวาย สถานที่ที่กวีพรรณนาเป็นแห่งแรก คือ ตำหนักน้ำหรือ ตำหนักแพ จากนั้นล่องเรือจากแม่น้ำเจ้าพระยาสู่อ่าวไทย แล้วเลียบฝั่งทะเลไปจนถึงชุมพร และหลังสวน

ความคล้ายคลึงในการพรรณนาถึงสถานที่กับนิราศนรินทร์ ช่วงหนึ่งคือ สถานที่ที่พรรณนา จากสามร้อยยอดถึงบางสะพาน เหมือนมาเป็นส่วนต่อเชื่อมส่วนที่ขาดหาย จากนิราศทวายได้พอดี ถึงตรงนี้จอมยุทธฯอยากจะบอกว่าโคลงนิราศของพระพิพิธสาลี ทั้ง ๒ เรื่องนี้แหละ คือต้นแบบของนิราศนรินทร์ ที่แท้จริง

อ่านโคลงนิราศของพระพิพิธสาลีทั้ง ๒ เรื่อง มาถึงตรงนี้ จอมยุทธฯ ก็ต้องยอมรับแล้วละครับว่า พระพิพิธสาลี เป็นยอดกวีทางโคลงอีกผู้หนึ่งแห่งรัตนโกสินทร์

มาอ่านโคลงบทอื่นๆจาก นิราศชุมพรกันหน่อยดีกว่า

๏ จักขืนจักขัดไว้...........................ฤๅทาน
ดินท่านหนาหนักปาน...................แผ่นฟ้า
จักไกลนุชเลวลาญ.......................ลับเนตร
จำจากจำเนียรหน้า.......................แม่หน้าเอ็นดู

๏มาถึงตำหนักน้ำ........................ฉนวนสินธุ์
เสมออาสน์กัมพลอินทร์..............ฝ่ายฟ้า
แซ่เสียงสุรางค์ยิน.......................รมเยศ ท่านนา
หน้าพี่ดูทุกหน้า...........................ใช่หน้านวลสมร

๏อาสูรเสาวภาคย์เพี้ยง...............พิมพ์จันทร์ แม่เอย
เคยพี่รับขวัญขวัญ.......................อยู่เหย้า
จากมาคิดคืนวัน..........................ทุกทุ่ม
ใครจักรับขวัญเจ้า......................พี่ให้คลายใจ

๏ โอ้ศรีกุสุเมศสร้อย..................ศรีสมร
โฉมแม่คืออักษร.........................แบ่งบั้น
อินทร์หากพรากเรารอน.............ราญสวาดิ แม่ฤๅ
ฤๅบาปสองมาซั้น.......................เร่งร้างเราแรม

๏ ศรกามแสนสาตร์ต้อง.............ตราทรวง
พิศม์ระลุงลาญลวง....................หมื่นไหม้
ใดอาจจักยาดวง........................แดเดือด พี่แม่
ยาจักเสียวสวาดิได้.....................แต่น้องนางถนอม

๏ โอ้ศรีสมรแม่แม้น...................สาวสวรรค์
ละพี่เดียวแดยัน.........................ว่ายฟ้า
ทรวงเรียมเรียกหาขวัญ.............แขวนสวาดิ
ทุกข์ท่านทุกข์ไตรหล้า................โลกย์นี้ใครเทียม

คงต้องจบโคลงนิราศพระพิพิธสาลี ไว้กับบทสุดท้ายของโคลงนิราศชุมพร

๏ อาวรณ์นอนนับนิ้ว.................มานาน
เทียรทุกข์แสนทรมาน...............ค่ำเช้า
จำใจลักษณ์ลองสาร...................เสาวภาคย์ นะพ่อ
หวังจักดับใจเศร้า......................สร่างให้คลายถวิล

ตอนหน้าไปอ่านโคลงนิราศพระยาตรัง กันต่อขอรับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:39:33 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๗)

ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ ๗ จนได้ สำหรับ อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ เป็นครั้งแรกที่จอมยุทธฯ ตั้งใจอ่านโคลงอย่างจริงๆจังๆ หลายเรื่องขนาดนี้ แม้ โคลงทวาทศมาส กับ โคลงกำศรวลศรีปราชญ์ จะเป็นการอ่านแค่ผ่านๆแล้วอาศัยการสรุปจากหนังสือวรรณคดีวิจารณ์ หลายๆเล่มที่มีอยู่ แต่ก็คิดว่าได้อะไรสำหรับตัวเองพอสมควรในการทำเปล
เปล้อร์ชิ้นนี้

ตอนนี้จอมยุทธฯ จะนำมาอ่าน โคลงนิราศของพระยาตรังกันขอรับ

พระยาตรังเป็นกวียุคเดียวกับพระพิพิธสาลี มีวรรณคดีโคลงนิราศที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน ๒ เรื่อง คือ

๑. โคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย แต่งเป็นโคลงสี่ดั้น เข้าใจกันว่า แต่งขึ้นเมื่อคราวตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไปตีทวาย ใน พ.ศ. ๒๓๓๐ ซึ่งถ้าเป็นดั่งที่ระบุ นิราศเรื่องนี้จะแต่งก่อนนิราศทวาย ของพระพิพิธสาลี ๒ ปี

๒. โคลงนิราศพระยาตรัง แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ เมื่อคราวไปทัพเมืองถลาง คาดว่าแต่งในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ ซึ่งถ้าเป็นดั่งระบุ นิราศเรื่องนี้ จะแต่งหลังนิราศนรินทร์ ๒ ปี (เพราะนิราศนรินทร์แต่งประมาณปี พ.ศ. ๒๓๕๐)

ก่อนจะอ่านโคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย จอมยุทธฯ ขอคัดข้อความจากหนังสือ วรรณวิเคราะห์ ตำนานฉันทลักษณ์กับหลักการใหม่ ของ คมทวน คันธนู มาให้อ่านสักช่วงหนึ่งขอรับ

" นามของนายนรินทร์ (ธิเบศร์) อิน อาจชินหูชินตากว่าพระยา (ตรัง) ทั้งที่มีผลงานน้อยกว่ามาก หากแต่นายนรินทร์อินนั้นสามารถสร้างสรรค์ลีลาโคลงสี่ฯ ได้ดีกว่านั่นเอง ทั้งที่พระยา (ตรัง) เก่งกว่าในด้านการใช้คำ "

ตรงนี้จอมยุทธฯ ยังไม่มีความเห็น แต่เราลองมาอ่านโคลงนิราศของพระยาตรังกันดีกว่า โดยจะเริ่มจาก โคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย กันก่อน

โคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย แต่งเป็นโคลงสี่ดั้นบาทกุญชรและวิวิธมาลี ๑๙๗ บท โดยมีร่ายดั้นปะปนอยู๋ ๓ บทมีโคลงสี่สุภาพปะปน อีก ๓ บท ดั่งบทสุดท้าย คือ

๏ กำศรวลนิราศสร้อย............................สารตรัง ตรองแฮ
เป็นบาทกุญชรัง....................................เรียบร้อย
ฤกับวิวิธมาลีบีง...................................เบิกบท กาพย์ราย
แสนเสนาะเพราะย้อย...............................หยาดน้ำทิพย์สรง

ลักษณะการแต่ง เริ่มต้นด้วยร่าย และโคลงบทชมพระนครและยอเกียรติพระมหากษัตริย์ ก่อนพรรณนาถึงการเดินทางคร่ำครวญถึงคนรัก โคลงหลายๆบทได้รับอิทธิพลจากโคลงสมัยอยุธยา เช่นบทฝากนาง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจาก โคลงกำศรวล คือ

๏ โฉมเจ้าจะแหวกฟ้า.............................ฝากพรหม เมศฤๅ
เกรงจะชมฌานเมิล...............................แม่ไว้
จะฝากอิศรกรม.....................................ไกรลาศ
ไฟราคร้อนหล้าไท้.................................ทั่วแหนง
๏ เลียบเล็งโลกธาตุสิ้น..........................สรรพางค์
เจ็บฝากเจ็บแฝงฝืน..............................ใฝ่เฝ้า
คิดทั่วทิศานาง.......................................แหนงพี่ วายเลย
โฉมแม่ฝากไว้เจ้า...................................จึ่งคง

สถานที่ที่พรรณนาถึงในนิราศเรื่องนี้ จะคล้ายกับสถานที่ที่พรรณนาใน โคลงนิราศทวายของพระพิพิธสาลี จึงสันนิษฐานได้ว่าใช้เส้นทางเส้นเดียวกันในการเดินทัพไปตีเมืองทวายเหมือนกัน แต่คนละช่วงเวลาเท่านั้น

สถานที่ที่กล่าวถึงแห่งแรกในโคลงนิราศชุดนี้ คือ คลองบางหลวง กวีผู้แต่งพรรณนา
ไว้ว่า

๏ บางหลวงคลองน้ำวิ่ง.......................วลวง
ขนานขนัดแพพวนเหนี่ยว.....................หน่วงฝั้น
เสนอสนองบ่วงสามสง........................สารสุด สวาสดิ์ฤๅ
นานนิพันธ์หมั้นม้วย............................หมื่นปี

เมื่อผ่านวัดหงษ์ และวัดสังขจาย พรรณนาไว้ว่า

๏ ศัลย์เสียวไป่หยุดเศร้า.......................แสนสา หัศเอย
ล่วงลุวัดหงษ์ทวี...................................เทวศซ้ำ
หวงหงษ์ประเหลหา.............................เหมสระ สนานพ่อ
ว้าวุ่นท้องน้ำถ้ำ....................................ถิ่นไศล

๏ สังขจายขจรชื่ออ้าง.........................อาราม
วงษ์ทวิชาชาญ...................................เชื่องหล้า
สังข์สรงสุร่ายพราหมณ์......................เพรงแม่น
ฤๅโสรดน้ำหน้าเศร้า.............................เสื่อมสูญ

แม้นักวรรณคดีวิจารณ์หลายๆท่าน จะบอกว่าลีลา สำนวนโวหาร ของโคลงสี่แบบพระยาตรัง จะออกแนวแข็ง การสร้างสรรค์คำยังไม่เนียนชวนอ่าน แต่จอมยุทธฯ ขอบอกว่าลีลาโคลงสี่แบบพระยาตรังนี่แหละครับ ที่เราๆท่านๆไม่น่าพลาดในการอ่านศึกษาด้วยประการทั้งปวง ขอยกตัวอย่างอีกซักสี่ห้าบท ขอรับ

๏ พวงมณฑามาศห้อง........................หัดถา เรียมเอย
ขาดบ่ทันถนอมโฉม............................เฉกทิ้ง
ดุรดวงทิพยสุดา.................................ดุรแดก ทรวงพี่
ควรจะเกลือกกลิ้งเศร้า.......................สั่งสาร

๏ อ่อโอษฐอรร่อพร้อง........................พรายแสง ทนต์แม่
เลิศลบนิลวารี....................................ร่วงรุ้ง
วาวชิรผลแตง....................................เติมหนุ่ม เนตรฤๅ
ดูดั่งน้ำกุ้งเต้น....................................ตื่นแห

๏ ลดชงฆ์ลงนั่งเล้า............................โลมสอน สวาสดิ์นา
เมิลเถิดนะใจตรอม............................ตรากเศร้า
ใจเอยเมื่อใจวอน...............................เวียนว่าย ฟังฤๅ
ห้ามเท่าห้ามเฝ้าข้อน............................ขอดศัลย์

๏ สารนี้สายสวาสดิเจ้า........................จงสงวน ไว้แม่
แทนพี่แทนถนอมองค์.........................แอบพร้อง
ไป่ควรแม่อย่าควร.............................คำพี่ เพรงเลย
เช้าค่ำเพื่อนห้องน้อง..........................ณ ศรี

๏ ฤๅรก รฦกบทตั้ง............................เทวศถวิล ถนัดแฮ
ฤๅรก เรือมาสินธุ์..............................ลุแล้ว
ฤๅรก จากมาพินธุ์..............................ดลเสน่ห์ สวาสดิ์เอย
ฤๅรก เยียมาแก้ว................................เฉกซ้ำถับถึง

๏ ถึง ๓ เทวศโอ้...............................๓ ดล ๑ เอย
ดูร ๔ ได้ ๒ ผล..................................สวาสดิ์ ๕
เสน่ห์ ๘ คิด ๔ กล.............................๒ ถนัด ถวิล ๑
รักรฦก ๔-๓ อ้า................................ลุนั้นมี ๒ พ่อฮา

คงพอแค่นี้สำหรับโคลงนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย ตอนหน้ามาอ่านโคลงนิราศพระยาตรัง หรือโคลงนิราศถลางกันต่อ ครับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:40:05 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๘)

๏ เสนาะสารเสาวนิศน้อง....................รำพรรณ์ แถลงนา
ปางนิราแรมขวัญ............................เนตรไว้
อกเรียมตระลึงศัลย์..........................สุดสิ่ง รักแม่
แสนกระซิกโศกไข้.............................ขุ่นไข้ใจเรียม ๚

นี่คือบทโคลงที่เริ่มต้นรำพันถึงนางอันเป็นที่รัก จากโคลงนิราศถลาง ผลงานของพระยาตรังอีกเรื่องหนึ่ง โดยโคลงนิราศเรื่องนี้แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ ต่างจากผลงานอีกเรื่องของพระยาตรังคือโคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย ที่แต่งเป็นโคลงสี่ดั้นเกือบทั้งหมด

โคลงนิราศพระยาตรัง (บางครั้งเรียกโคลงนิราศถลาง) ตามประวัติบอกว่าแต่งเมื่อคราวไปทัพสู้ศึกพม่า ที่เมืองถลาง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๒

นักวรรณคดีหลายๆท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าพูดถึงสำนวนโวหารจากผลงานทั้งหมดของพระยาตรัง ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน พบว่าลีลาและสำนวนในการแต่งโคลงดั้น พระยาตรังจะแต่งได้ดีกว่าบทร้อยกรองชนิดอื่น อย่างไรก็ตามสำนวนโคลงทั้งหมด(รวมถึงโคลงสี่สุภาพ)ที่พระยาตรังแต่ง ควรนับว่าแต่งดีจริง ดังนั้นจึงได้นับถือกันมาในหมู่กวีแต่ปางก่อน

ดังนั้นจอมยุทธฯ พลาดไม่ได้ที่จะต้องอ่านนิราศพระยาตรัง ที่พระยาตรังแต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ จำนวน ๑๒๖ บท พร้อมร่ายนำอีกหนึ่งบท ว่าเป็นอย่างไร ไปอ่านกันดีกว่าขอรับ

พระยาตรังใช้เส้นทางน้ำโดยเรือสำเภาในการเดินทางไปศึกครั้งนี้ กล่าวไว้ในโคลงบท
ที่ ๑๓ ว่า

๏ เสร็จโลมเสร็จสั่งสิ้น......................สอนสมร พี่นา
ลงสู่สำเภาจร....................................จากคุ้ง
ร้อยยาก บ เคยรอน..........................รักพราก อกแม่
ใจหนึ่งหนามเหน็บสดุ้ง......................เนื่องร้อยรุมกระสัน

สถานที่ทีกล่าวพรรณนาถึงแห่งแรกในนิราศเรื่องนี้ คือวัดสามปลื้ม กวีผู้แต่งพรรณาไว้ว่า

๏ ถึงวัดสามปลื้มยิ่ง..........................อาไลย์
คิดแม่ปลื้มใจใจ.................................จักขว้ำ
นับวันจะคอยใคร...............................ครวญปลอบ นางนา
โอ้ที่ปลื้มกลับปล้ำ.............................เปลี่ยนร้อนมาเรียม ๚

ใช้เส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนมาออกอ่าวไทยที่ปากน้ำ แล้วเลียบฝั่งอ่าวไทยลงไปทางใต้ ตรงนี้มีพรรณนาถึงสถานที่บางแห่งที่น่าสนใจ อาทิ

๏ เรียมมามาลุด้าว............................ดาวคนอง แล้วแฮ
เชอญเทพย์นำสารสนอง....................ข่าวเจ้า
ดาวนามคนองหมอง..........................ดาวฤกษ์ บนนา
ดีอยู่ดอกอย่าเศร้า..............................โศกร้อนรุมถวิล ๚

๏ ถึงแถวแนวบ้านช่อง.......................นนทรี
เรียมก็เมิลทฤษฎี...............................หมู่ไม้
พิศพงพุ่มสดศรี.................................เหลืองโสด แม่เอย
เรียมก็ไข้ไม้ไข้....................................ช่วยไข้ใจตรอม

๏ มาเห็นโชนเชี่ยวบ้าน......................บางขนง
บางไป่เปรียบบางทรง........................แม่ไว้
ขนงโฉมแม่สุดวง...............................หางเนตร นางนา
บางใช่เอวบางให้................................จากเจ้ามาบาง ๚

๏ ถึงสามร้อยยอดโอ้...........................อาวรณ์
สุดสั่งสุดโศกสมร................................สุดเศร้า
สุดยอดยิ่งสิงขร...................................สูงสุด นางเอย
สุดยอดรักรักเจ้า.................................ยิ่งร้อยพันทวี ๚

สำนวนครวญถึงนางอันเป็นทีรัก เป็นอย่างไรอ่านดูครับ

๏ เจ็บจันทกินเรศครั้น........................ครวญคราง
สรสอดเสียบอุรภางค์.........................เมื่อม้วย
ตราตรงกระหน่ำปาง..........................ปวดยอก ทรวงแม่
เจ็บไป่ปานเจ็บด้วย.............................ที่ร้อนเรียมเอย ๚

๏ ยามดึกเงียบสงัดด้าว.......................เดือนฉาย แม่ฮา
วับวาบลำพูพราย................................พร่างพร้อย
หิ่งห้อยจับพฤกษ์ราย..........................เรียงกิ่ง ไกวนา
แสงดั่งพลอยเพชรก้อย.......................กรีดนิ้วนางเฉวียง ๚

๏ เห็นหงษ์เคียงคู่เคล้า........................สาวหงษ์
ภักตร์สิทธิเกล้าทรง............................เฟื่องฟ้อน
ปากรับช่อหัศบง.................................พิโยค หงษ์แม่
คิดคู่รศโอษฐป้อน................................เปลี่ยนชู้ชานสลา ๚

๏ เออองค์อมเรศท้าว..........................จัตุรพักตร พ่อฮา
โฉมแม่ยังเยาว์นัก...............................ใหญ่หน้า
เยียวองค์ราชไตรจักร..........................จักเสน่ห์ นางพ่อ
ฝากแม่ใส่หีบฟ้า..................................ซ่อนไว้ทวีปพรหม ๚

๏ นุชเอยแต่พี่ร้อง..............................ครวญคนึง ถึงแม่
แม้นว่าเหวบ่อบึง................................หุบแห้ง
รุมรับสุชลพึง.....................................เพ็ญเพียบ แล้วแฮ
สายพิรุณโลกย์แล้ง............................ไป่แล้งเทวศเรียม ๚

๏ ร่ำพรรณ์ร่ำอาจอ้าง.........................ออกองค์ อรเอย
เข้าระคนทรวงลง................................ร่ำไว้
สารสมุดสมรคง...................................คำพี่ แทนแม่
ยามเมื่อนอนจักได้...............................กล่อมช้าแทนนาง ๚

โคลงสมัยอยุธยา คงมีอิทธิพลต่อแนวโคลงของพระยาตรังหลายบท มีโคลงบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

๏ ศรีปราชญ์นิราศท้าว.......................จุฬาลักษณ์
ร่ำเรื่องร่ำรักทุก..................................น่านกว้าง
ทวาทศมาสศักดิ์.................................สามปราชญ์ รังแฮ
ยังไป่ปานเรียมร้าง.............................ร่ำให้หาสมร ๚

ทัพไปศึกถลางครั้งนี้ ไปขึ้นฝั่งที่ไหนไม่ปรากฎในโคลง สถานที่สุดท้ายที่กล่าวพรรณนาถึงคือ แหลมไทรแต่กวีผู้แต่งกล่าวไว้ในบทสุดท้าย (๑๒๖) ว่าไปศึกเมืองถลาง ความว่า

๏ ร้อยยี่สิบหกสิ้น...............................แบบฉบับ โคลงแฮ
นิราศตรังไปลับ..................................เศิกสู้
ฉลางบอกแห่งเหตุทัพ........................พุกามติด ฉลางนา
ควรแก่สำปราชญ์ผู้.............................อ่านอ้างอวยผล ๚

คงขออ่านโคลงนิราศของพระยาตรังไว้แค่นี้ ตอนหน้าจะไปอ่านนิราศนรินทร์ ต่อครับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:40:39 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๙)

๏ ตราบขุนคิริข้น......................ขาดสลาย แลแม่
รักบ่หายตราบหาย....................หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย.......................จากโลก ไปฤๅ
ไฟแล่นล้างสี่หล้า......................ห่อนล้างอาลัย ๚

โคลงบทที่ยกมาเป็นโคลงบทหนึ่งจาก นิราศนรินทร์ ซึ่งถือว่ารู้จักกันอย่างแพร่หลาย และนิราศนรินทร์นี้ ถูกยกย่องว่าเป็นยอดแห่งโคลงนิราศ

ความจริงจอมยุทธฯ ไม่อยากจะโม้เรื่องนิราศนรินทร์มากนัก กลัวจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน เพราะเพื่อนๆคงจะอ่านและรู้จักโคลงนิราศเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่เพื่อไม่ให้ขาดตอนในการอ่านโคลงนิราศยุครัตนโกสินทร์ จอมยุทธฯก็จำต้องหาข้อมูลมาโม้ แต่จะพยายามให้กระชับที่สุด

เพื่อนๆท่านใดที่ไม่มีหนังสือโคลงนิราศนรินทร์ สามารถอ่านได้ที่เวปหมอโมโน คือ
//www.geocities.com/thailiterature/nn.htm

หรืออ่านได้ที่อีกเวปหนึ่ง เวปนี้ถึงแม้จะตัดโคลงบทคร่ำครวญจากนิราศบางบทออกไป แต่ก็น่าสนใจที่มีภาพสถานที่และภาพธรรมชาติบางแห่งประกอบ คือ
//203.154.104.10/service/mod/heritage/nation/nirad/narin/narin.htm

ไม่ต้องเสียเวลาเรียบเรียงมาก ขอคัดข้อความหน้าแรกของโคลงนิราศนรินทร์ จากเวปหมอโมโนมาให้อ่านโดยสังเขป

===============================================
.......นิราศนรินทร์เป็นบทประพันธ์ประเภทนิราศคำโคลงที่โด่งดังที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ ทัดเทียมได้กับ" กำสรวลศรีปราชญ์ "และ" ทวาทศมาส " ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้แต่งคือ นายนรินทร์ธิเบศร์(อิน) แต่งขึ้นเมื่อคราวตามเสด็จ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ไปทัพพม่า ในสมัยรัชกาลที่สอง ไม่มีบันทึกถึงประวัติของผู้แต่งไว้ ทราบแต่ว่าเป็นข้าราชการ ตำแหน่ง มหาดเล็กหุ้มแพร ในกรมพระราชวังบวรฯ และมีผลงานที่ปรากฏนอกจากนิราศเรื่องนี้ เป็นเพลงยาวอีกบทหนึ่งเท่านั้น แต่แม้จะมีผลงานเพียงน้อยนิด แต่ผลงานของกวีท่านนี้จัดว่าอยู่ในขั้น วรรณคดี และเป็นที่นิยม
อ่านกันอย่างแพร่หลาย

เนื้อหาของนิราศนรินทร์ก็ดำเนินตามแบบฉบับนิราศทั่วไป คือ มีการเดินทางและคร่ำครวญถึงการพลัดพรากจากนางอันเป็นที่รัก โดยได้รับอิทธิพลอย่างสูงจาก กำสรวลศรีปราชญ์ (ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าการเอาอย่างโบราณเป็นเรื่องดี) แต่นิราศนรินทร์มีจุดเด่นที่การใช้คำที่ไพเราะ รื่นหู ข้อความกระชับ ลึกซึ้งและกินใจ จะถือว่าเป็นนิราศคำโคลงที่ไพเราะที่สุดก็ย่อมได้.....
===============================================

แล้วจอมยุทธฯ ก้อโม้ต่อ

ว่ากันว่าโคลงนิราศนรินทร์แต่งขึ้นประมาณปี พ.ศ.๒๓๕๒ คราวกวีผู้แต่งตามเสด็จไปทำศึกพม่าที่แอบมาตีเมืองถลางและชุมพร ซึ่งเส้นทางเดินทัพเป็นทางเดียวกับที่นายนรินทร์อิน อธิบายไว้ในนิราศของตน คือออกจากกรุงเทพฯทางเรือ และไปขึ้นบกที่เพชรบุรี เพื่อเดินเท้าต่อไป แต่มีข้อน่าสังเกตอยู่ว่าตามประวัติศาสตร์นั้น กรมพระราชวังบวรยกทัพเดินเท้าจากเมืองเพชรบุรีตรงไปยังเมืองชุมพรทีเดียวแต่นายนรินทร์อินนั้น เมื่อออกจากเพชรบุรีแล้วตรงไปเมืองกำเนิดนพคุณ และวกกลับไปเมืองตะนาวศรี
อันเป็นเมืองด่าน ทำให้สันนิษฐานต่อไปว่า กวีผู้แต่งไม่ได้ไปพร้อมทัพหลวง อาจจะไปกับทัพหน้าซึ่งส่งไปดูลาดเลาพม่าก่อน จึงไปยังเมืองตะนาวศรีใกล้ด่านสิงขร ทั้งประวัติศาสตร์ก็มีระบุไว้ว่า กรมพระราชวังบวรได้ส่งทัพหน้าล่วงไปก่อน

โม้มาเสียเยอะยังไม่ได้อ่านโคลงเลย แหะ แหะ เริ่มกันดีกว่า

๏ โฉมควรจักฝากฟ้า......................ฤๅดิน ดีฤๅ
เกรงเทพไท้ธรณินทร์.....................ลอบกล้ำ
ฝากลมเลื่อนโฉมบิน.......................บนเล่า ณ แม่
ลมจะชายชักช้ำ..............................ชอกเนื้อเรียมสงวน ๚
๏ ฝากอุมาสมรแม่แล้......................ลักษมี เล่านา
ทราบสวยมภูวจักรี..........................เกลือกใกล้
เรียมคิดจบจนตรี...........................โลกล่วง แล้วแม่
โฉมฝากใจแม่ได้............................ยิ่งด้วยใครครอง ๚

โคลงสองบทนี้นายนรินทร์อิน เลียนแบบมาจากโคลงกำสรวลศรีปราชญ์ (ยกตัวอย่างไว้แล้วใน อ่านโคลงฯตอน ๓) แต่เป็นการเลียนแบบแนวคิดทำให้ทำนองอันมีอารมณ์กร้าวของโคลงกำสรวลฯ กลับอ่อนโยนละมุนละไมหวานชื่น โดยเติมความขึ้นอีกนิด เปลี่ยนทำนองเสียง หาคำอ่อนๆที่เหมาะกับทางของโคลงสี่สุภาพเป็นโคลงสองบทเท่ากับกำสรวล บรรจุความพอดิบพอดีเรียกว่าได้สัดส่วนพอเหมาะจริงๆ

จอมยุทธฯ คงจะไม่ยกตัวอย่างโคลงจากนิราศนรินทร์มากนักเพราะเพื่อนๆสามารถอ่านได้จากเวปที่บอกไว้ข้างต้น แต่จะขอคัดตัวอย่างโคลงนิราศนรินทร์พร้อมข้อวิจารณ์ จากหนังสือที่จอมยุทธฯมีอยู่มาให้อ่านกันดีกว่า

โคลงและข้อวิจารณ์ต่อไปนี้คัดมาจากหนังสือ แต่งโคลงตำรับประมวญมารค โดย พ.ณ.ประมวญมารค พร้อมโคลงลมหนาว ของ พ.ณ.ประมวญมารค อีกหนึ่งบท

===============================================

....ลองอีกบทหนึ่งที่พิสดารยิ่งอีก มีสลับความแลสลับเสียง

๏ ลมหนาวหนาวห่มผ้า....................ฤๅหาย
พระท่านทายว่าตาย.........................แน่แล้ว
สายยาแม่ยาสาย............................เซ้าสวาท พี่รา
ผี้ว่าพี่กอดแก้ว.............................กลับเช้าชุ่มกชวย ๚

ในบาท ๓ สายยาแปลว่าหญิง ว่าประเภทยาว่าน้ำกระสาย สลับความกันได้ ในบาท ๔ ผี้แลพี่สลับเสียงกันได้ คือผี้ว่าพี่ (ถ้าว่าพี่กอดแก้ว) หรือ พี่ว่าผี้ (พี่ว่าถ้ากอดแก้ว) pun อย่างนี้เล่นนอกตำราฝรั่งไปหน่อย

โคลงบทนี้ข้าพเจ้าชอบ เพราะง่ายดายดี ก็เลยจะขอวิจารณ์สักหน่อย วิจารณ์โคลงที่เราแต่งเองอย่างนี้ดี ไม่มีใครติได้ ไม่เหมือนวิจารณ์โคลงของคนอื่น

บาท ๑ : ใช้เสียงเปิดตลอด คือไม่มีคำตาย ลมหนาวหนนาาาวห่มผ้า.......ฤๅหาหาาาย

บาท ๒ : " พระ " หนักปักไว้ข้างหน้าตามด้วยเสียงเปิด (เซรัวร่าลงที่คำแรกเลย) ถ้าเปลี่ยนคำนี้เป็น " โหร "หรือ " หมอ " ก็จะอ่อนลงทันที สัมผัส หาย-ทาย-ตาย จะไม่กลืนกัน

บาท ๓ : " สวาท " คำตาย จำเป็น มิฉะนั้นบาท ๔ จะแข็งไป " พี่รา " สร้อยจำเป็น เพราะความผี้ว่าพี่รับสร้อยในบาทนี้ตัดเสียงแข็งทิ้งไปสองแห่ง คือ กะสาย-กะเซ้า (หรือกระสาย-กระเซ้า) ขืนเอาไว้โคลงบทนี้จะไม่เล่นความสลับ และสร้อยก็จะเอาไว้ไม่ได้ด้วย

บาท ๔ : ส่งเสียงต่ำ (ซึ่งไม่นิยมกัน) ในบาทนี้ตัดเสียงแข็งออกไปเสียเสียงหนึ่ง (กะชุ่ม-กะชวย) ถ้าส่งกลับเช้ากะชุ่มกะชวย หรือ กลับเช้าชุ่มชวย ก็จะเยิ่นหรือแบน แต่ที่เก็บเสียงแข็งไว้อันหนึ่งอย่างนี้ เท่ากับเคาะกลองเบาๆ ก่อนจบเพลง - กลับเช้าชุ่มกชวย - หรือจะว่าแขวนโคลงไว้กับดาวหางที่ระเหยไปในอากาศเฉยๆก็คงได้กระมัง

.......ลองเทียบกับนรินทร์อินสักบท

๏ ถึงชรอ่ำชรอุ่มห้อง.....................เวหา หนเอย
คิดอรแมกเมฆมา...........................กลัดไว้
ฤๅเขาชรอ่ำอา...............................ดูรเทวษ
เป็นชรอุ่มฟ้าไข้.............................ข่าวน้องนางตรอม ๚

บทนี้ของนรินทร์อินเล่นความสลับ ชรอ่ำและชรอุ่มแปลว่ามืดมัว มืดคลุ้ม แต่ชรอ่ำเป็นชื่อตำบลชายทะเลด้วย(บ้านชอำ) อยู่ก่อนถึงหัวหิน ฉะนั้นโคลงบทนี้เล่นความสลับ คำว่า " ชรอ่ำ - บ้านชอำ " แต่ไม่ชัดนัก เพราะนรินทร์อินมัวแต่พะวงคำว่าชรอุ่มด้วย ถ้าบาท ๔ ว่า เป็นชรอ่ำฟ้าไข้ จึงจะชัด ส่วนวลี " ฟ้าไข้ " แปลว่าอะไรไม่ทราบ จะทราบก็ต้องเดา วลีนี้นรินทร์อินได้มาจากกำศรวญเล่นความสลับว่า

เยียมาเยียแลเหลียว.....................ชรอ่ำ
ชรอ่ำอกฟ้าไข้.............................ข่าวตอม ๚

ส่วนในด้านสำเนียง โคลงของนรินทร์เป็นเพลงทำนอง มีจังหวะ (คำตายในบาท ๒) แต่บาท ๑ บาท ๓ และบาท ๔ ใช้คำเปิด ไม่ค่อยผิดกับบทลมหนาวของข้าพเจ้านัก เว้นแต่คำตายวางไว้ต่างบาทกันนอกจากนั้นลีลาจังหวะของนรินทร์อินเกิดจากการใช้ลหุทุกบาท ของข้าพเจ้าเสียงเบาเกิดจากสัมผัสใน.....
===============================================

จอมยุทธฯ ไม่แน่ใจว่าจะออกนอกเรื่องมามากหรือเปล่าเพราะไม่รู้จะยกตัวอย่างหรือโม้เรื่องอะไร แต่คงต้องจบอ่านโคลงนิราศนรินทร์ ไว้ด้วยโคลงถ่อมตัวของนรินทร์อินบทนี้

๏ โคลงเรื่องนิราศนี้......................นรินทร์อิน
รองบาทบวรวังถวิล.....................ว่าไว้
บทใดปราชญ์ปวงฉิน....................เชิญเปลี่ยน แปลงพ่อ
ปรุงเปรียบเสาวคนธ์ไล้..................เลือกลิ้มดมดู ๚

ตอนต่อไปมาอ่าน โคลงนิราศพระประธม ซึ่งน่าจะหาอ่านได้ยากอีกเรื่องหนึ่งกันต่อนะขอรับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:41:13 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านนิราศ (๑๐)

๏ กรมวงษาสนิทผู้.........................ปรีชา เชี่ยวแฮ
เรียบรจเรขกถา..............................เพราะพร้อง
เนืองเนกคณเมธา..........................ทุกทั่ว อ่านเอย
ควรจักยอยศซร้อง..........................แซ่ซั้นสรรเสริญ ๚

โคลงบทนี้เป็นโคลงบทสุดท้ายจาก โคลงนิราศพระประธม ถ้าใครได้อ่านแล้วไม่ทราบว่าเป็นโคลงพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงเติมลงข้างท้ายนิราศเรื่องนี้แล้ว ก็คงจะเข้าใจว่า กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ผู้นิพนธ์โคลงนิราศพระประธมนี้ ทรงยกย่องหรืออวดพระองค์เอง

แต่ทำไมสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส จึงทรงโคลงเติมลงข้างท้ายนิราศเรื่องนี้ต้องมาอ่านและศึกษากันหน่อยแล้ว ขอรับ

โคลงนิราศพระประธมนี้ พระเจ้าบรมวงศ์ กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงนิพนธ์ไว้ เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๗ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะนิพนธ์โคลงนิราศเรื่องนี้มีพระชนม์ ๒๖ พรรษา เวลานั้นยังทรงพระยศเป็นกรมหมื่นฯ

มีบทโคลงช่วงท้ายๆ บทหนึ่งจากโคลงนิราศเรื่องนี้ กล่าวไว้ว่า

๏ กำสรวลศรีปราชญ์ทั้ง.....................ทวาทศ มาศฤๅ
อีกพิพิธสาลีพจน์................................พร่ำพร้อง
ตรังนิราศนรินทร์รจ............................เรจเรื่อง ครวญพ่อ
สารโศกเรียมแรมน้อง.........................ยิ่งถ้อยทั้งมวล ๚

ตรงนี้ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงระบุชื่อนิราศ ซึ่งนิยมกันว่าดี คือ กำสรวลศรีปราชญ์ ทวาทศมาศ นิราศของพระพิพิธสาลี นิราศพระยาตรัง แลนิราศนรินทร์ ซึ่งจอมยุทธฯ ชวนอ่านมาแล้วทั้งหมดแต่โคลงนิราศพระประธมนี้ ก็พยายามฉีกแนวจากโคลงนิราศดังกล่าว หรือไม่พยายามเอาแบบอย่างใคร ดังโคลงตอนท้ายบทหนึ่งที่ทรงกล่าวอย่างภาคภูมิว่า

๏ ซึ่งนิพนธ์นิราสร้าง...........................แรมสถาน
ไป่ลักเทียบคำบุราณ.............................อื่นอ้าง
สริรักษรวบรวมสาร..............................รจเรจ เรื่องเอย
ประสงค์แต่จริงจิตร้าง...........................รักให้ขนิษฐ์ฟัง ๚

ซึ่งพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงกล่าวไว้พอสรุปโดยสังเขปว่าการแต่งโคลงนิราศมักดำเนินตามรอยทางเก่าเป็นทอดๆ แต่ผู้แต่งใหม่จำจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เหมือนของเก่า ต้องให้ดีกว่า หรืออย่างน้อยไม่ให้เลวกว่า มิฉะนั้นขายหน้า กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงพระนิพนธ์ก็ทำนองนี้แต่ไม่ทรงดำเนินตามรอยทางเก่าที่เอาอย่างกันเป็นทอดๆ เช่น บทฝากนาง ( โคลงบทฝากนางนี้จอมยุทธฯ ตั้งใจจะรวบรวมมาสรุปปิดท้ายการอ่านโคลงอีกครั้งหนึ่ง) แต่ทรงกล่าวว่า " ไป่ลักเทียบบุราณ........อื่นอ้าง " ซึ่งเป็นความจริงโดยประการที่มิได้ทรงเพ่งเล็งเอาอย่างใคร เป็นแต่ทรงเดินรูปตามแบบนิราศ แลถ้าไม่ทรงเช่นนั้นก็ไม่เป็นนิราศ

ตามประวัติกล่าวไว้อีกอย่างว่า เมื่อกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงพระนิพนธ์นิราศนี้แล้ว ได้ทรงนำถวายพระอาจารย์คือ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ให้ทอดพระเนตรและแก้ไข จะได้ทรงแก้บ้างหรือไม่ไม่ทราบ แต่ที่ต้นฉบับเขียนเขียนตัวบรรจงมีรอยขีดฆ่าแล้วเขียนตัวหวัดแก้เปลี่ยนไปหลายแห่งที่แก้นั้นดีขึ้นกว่าเดิมทุกแห่ง ผู้แก้จะเป็นสมเด็จกรมพระปรมานุชิตหรือกรมหลวงวงษาธิราชสนิทจะทรงเองก็ทราบไม่ได้ ทราบได้แต่ว่าเมื่อสมเด็จกรมพระปรมานุชิตทรงอ่านตลอดแล้ว ก็ทรงโคลงเติมลงข้างท้าย ก็คือโคลงบทแรกที่จอมยุทธฯ ยกมา

โม้มาเสียเยอะอีกแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่านจริงจังซะที มาเริ่มกันเลยดีกว่าขอรับ

จอมยุทธฯ คงขอผ่านโคลงบทชมเมือง พรรณนาความรุ่งเรืองของพระพุธศาสนา พระมหากษัตริย์มาเริ่มที่โคลงพรรณนาถึงการจากนางตามแบบนิราศ อันเป็นจุดประสงค์หลักของการอ่านโคลงครั้งนี้ ดังโคลงบทที่ว่า

๏ เสร็จสารขานยศเผ้า.........................อยุธยา ภพแฮ
ห่อนวิถารกฤษฎา................................บ่ยั้ง
จักเริ่มเรื่องรจนา................................นิราศพร่ำ พจน์พ่อ
ไปภิวาทมหาธาตุ์ตั้ง.............................ชื่ออ้างประธมประโทน ๚

โคลงนิราศเรื่องนี้ไม่มีบทฝากนาง แต่เริ่มต้นมีบทพรรณนาถึงนางในนิราศ ขอยกตัวอย่างสักหลายบท ดังนี้

๏ ถวิลวันเรียมร้างรัก...........................แรมโรย
ไปแต่กายใจโหย..................................ห่วงน้อง
จักพาสุดสวาดิ์โดย...............................ใดสดวก แดนา
เพราะแม่อยู่แยกห้อง............................ห่อนได้สมประสงค์ ๚
๏ สุดาดวงดื่นห้องห่อน.........................พาไป
เลือกภักตร์จักเสียใจ.............................โศรกเศร้า
เมื้อหมดทุรัศสถานไกล...........................เรือมาก ลำแม่
ลำบากบ่าวไพร่เต้า.................................ต่างต้องติดตาม ๚
๏ ประสงค์แต่สุดสวาดิ์สร้อย...................สายสมร เดียวแม่
คิดใคร่พากนิษฐจร................................เพื่อนพร้อง
แรมเรือเมื่อหนาวนอน............................แนบอุ่น อกเอย
ยุงกัดหวังวานน้อง................................ปัดเบื้องปฤษฎางค์ ๚
๏ สายัณห์สุริเยศเยื้อง............................อัษฎงค์
นายมหาดขนเครื่องลง............................เสร็จแล้ว
พลพายบ่ายเรือตรง...............................ประทับน่า* รับแฮ ...*(หน้า)
หวนห่วงสุดสวาดิ์แก้ว.............................เกษน้องนางเดียว ๚

๏ โอ้ศรีเสาวภาคย์ผู้................................เพ็ญภักตร์ พี่เอย
ยามนิราศรศรัก......................................เรอศร้าง
ปรานีนุชนงลักษณ์.................................ลาญเทวศ เดียวแม่
ใครจักแนบแอบข้าง................................คู่เคล้าคลึงถนอม ๚

๏ เอ็นดูเยาว์อยู่ห้อง................................โหยหวล
ภักตร์ที่ผ่องผิวนวล...............................จักคล้ำ
รันทวยรทดครวญ..................................ใครปลอบ เปลื้องแม่
เสวยสุชลต่างน้ำ.....................................เนตรน้ำนองเขนย ๚

การเสด็จไปพระประธม (พระปฐมเจดีย) ของกรมหลวงวงษาธิราชสนิทครั้งนี้ ขอสรุปคร่าวๆ คือเสด็จโดยทางชลมารคก่อน เมื่อออกจากท่าที่ประทับ แล้วผ่าน สะพานมอญ สะพานช้าง ออกคลองตลาด เข้าคลองบางหลวง ผ่านวัดอรุณ เข้าคลองนครบาล วังหลัง มาบางกอกน้อย วัดอมรินทร์ บางขวาง วัดแก้วฟ้า บางใหญ่ บางโสน งิ้วราย นครไชยศรี เข้า๕ลองบางแก้ว ถึงบ้านธรรมศาลา เสด็จขึ้นบกทรงช้าง เสด็จไปสู่พระปฐมเจดีย์

ขอคัดตัวอย่างการกล่าวถึงสถานที่บางส่วน มาให้อ่านขอรับ

๏ วิไชเยนทรก่อป้อม..............................ปราการ
ป้อมก็ปรากฎนาม...................................อยู่ช้า
เรียมก่อรักสมัครสมาน............................เสมอชีพ
ขออยู่คู่ดินฟ้า.......................................อย่ารู้เสื่อมสลาย ๚

๏ วัดอรุณคิดนิ่มเนื้อ..............................นามอรุณ เรียมเอย
เคยประทับทรวงลมุน.............................แนบน้อง
ยามหนาวแม่มีคุณ..................................แอบอก อุ่นเอย
เฉกอรุณเรืองห้อง.................................ส่องให้หายหนาว ๚

๏ มาดลฉนวนน้ำพระ..............................บัณฑูร ประทับเฮย
ตำหนักก็ร้างแรมสูญ..............................เสื่อมเศร้า
เสมอแดพี่อาดูร....................................เด็ดสวาดิ์ มาแม่
ชมแต่ชื่อต่างเจ้า...................................จากแล้วแลหาย ๚

๏ บางรมาดนามแม้นมาด.........................หมายมิตร
ประมาณสี่ห้าปีคิด..................................มาดน้อง
มาดนุชหนึ่งสุจริต..................................เรียมมาท
ห่อนมากรักอื่นพ้อง................................เพราะสร้อยสุดาเดียว ๚

๏ เรือถึงวัดไก่เตี้ย.................................ตาแสวง
หาไก่ป่าปู่แปลง.....................................แต่กี้
พาลอลิลาศสมแพง................................เพื่อนพี่ น้องนา
วานช่วยนำนุชชี้......................................ช่องเต้าตามเรียม ๚

๏ บางใหญ่ใหญ่เท่านี้...............................ไหนปาน
รักพี่ใหญ่ฤประมาณ.................................ใหญ่แท้
ดินฟ้าทั่วนทีธาร......................................ใหญ่เท่า ไฉนฤๅ
รักแม่สุดใหญ่แล้.....................................ใหญ่ล้ำรำพรรณ ๚

๏ งิ้วรายรายงิ้วเรียด..............................เรียงริม เฉนียรฤๅ
ดอกดั่งสีทับทิม.....................................แถบจ้า
คิดอรอ่าองค์ถนิม...................................ภรณ์ผ่อง ผิวเอย
ศรีจับศรีนวลหน้า...................................เนตรหน้าจับศรี ๚

๏ วัดไทรไทเทพยท้าว..............................เทพา รักษ์ฤๅ
อุ้มอนิรุทธ์สมอุษา...................................สร่างเศร้า
เรียมบำราศสมรอา..................................ดูรประดาษ เดียวพ่อ
เชิญช่วยอุ้มอรเต้า..................................สู่ข้อยคอยสม ๚

ขอคัดโคลงนิราศเรื่องนี้มาให้อ่านกันอย่างจุใจ เพราะโคลงนิราศเรื่องนี้มีถึงสองร้อยกว่าบท มาอ่านบทที่พรรณนาถึงความงามธรรมชาติกันบ้างดีกว่า

๏ แม้แม่มาด้วยพี่....................................เป็นสอง
จักมุ่งจักเมิลมอง...................................แมกสล้าง
ชี้ชวนชื่นชมผอง....................................พรรลอก หลายแฮ
น้องจักชวนชมบ้าง.................................พี่บ้างชมชวน

๏ โฉมหอมหอมยิ่งไม้...............................ดอกหอม
กลิ่นยิ่งกลิ่นประยงพยอม........................รศเร้า
รฦกกลิ่นเกษแก้มตรอม............................ทวีเทวศ ถึงแม่
ฉุนกลิ่นบุหงาพาเศร้า...............................โศกซ้ำกำศรวญ ๚

๏ ลำดวนอวลอบฟุ้ง................................สุคนธ์ขจร
คนึงกลิ่นลำดวนอร..................................อบเนื้อ
นมสวรรค์นึกนมสมร................................เคยอุ่น อกเอย
หวลภิรมย์รศเกื้อ.....................................กลิ่นกล้ำลำดวน ๚

๏ เรียมยินมยุเรศร้อง..............................เรียกนาง ยูงเอย
ฟังยิ่งเสียวอุรภางค์................................ผ่าวเศร้า
โอ้แต่สัตว์ยังคราง..................................ครวญใคร่ กันนา
เสมอพี่แรมเสน่ห์เต้า.................................แต่ตั้งครวญสมร ๚

๏ ตับคาคาคาบแคล้ว................................คลารัง
กระลุมพุกกระลุมภูผัง..............................พักพร้อง
กระทุ่มกระทาประนัง.................................ศัพท์แซ่
แก้วเกาะกิ่งแก้วซร้อง................................สื่อถ้อยแถลงสาร ๚

ในโคลงนิราศพระประธม พบโคลงแบบถึง ๕ บท คือ ( โคลงแบบหมายถึงโคลงที่ไม่ใช้คำตายแทนเอกและมีเอกจำเพาะ ๗ มีโทจำเพาะ ๔ นอกนั้นไม่มีเลย )

๏ นาวาคลาท่องท้อง................................แถวชล มารคเฮย
หลายล่องบางตำบล................................เคลื่อนคล้อย
หวงโหยห่างนฤมล..................................มาเปลี่ยว อกเอย
โศกยิ่งสุมทรวงสร้อย..............................หลั่งล้นชลไนย ๚

๏ คำนึงนุชอยู่ร้าง...................................แรมวัง
จักซื่อสนิทเนาหลัง..................................ห่อนรู้
ยังคงต่อสัจจัง......................................จริงแน่ ไฉนนา
ฤๅแม่หลงลมชู้........................................ชื่นแล้วลืมเรียม ๚

๏ แรมชมเรียมแต่เช้า...............................ชำงือ
รุมรุ่มอุระฤๅ...........................................สร่างเศร้า
โศกทรวงพี่หนักคือ..................................เททุ่ม ทับเฮย
รอาอ่อนศรโศกเร้า....................................เร่งร้อนแรงรุม ๚

๏ ถับถึงบางแก้วถิ่น.................................ธานี
เสนอชื่อนครชัยศรี...................................ท่านตั้ง
ขวาแขวงแห่งนที.....................................คลองหนึ่ง แวะนา
เรียมเร่งเรือฤๅยั้ง....................................ด่วนเลี้ยวคลองไคล ๚

๏ คลาคลามาเคลื่อนคล้อย...........................คลองบาง แก้วนา
ทุกข์พี่พรากพลัดนาง................................หนุ่มเหน้า
อาวรณ์ห่อนจืดจาง...................................ใจจี่ โศกเอย
กลืนแต่ทุกข์แทนเข้า...................................คั่งแค้นคาคอ ๚

ชักโม้เพลิน จนกู่ไม่กลับซะแล้วจอมยุทธฯ ขอยกตัวอย่างโคลงมาให้อ่านอีกสี่ห้าบทแล้วกัน

๏ งามพักตร์งามพิศน้อง.............................งามผิว
โฉมแม่งามดุจปลิว.....................................จากฟ้า
งามนิ้วหัตถ์จิ๋วมหวิว...................................เรียวรัด นาแม่
งามโอษฐ์เมื่ออรอ้า.....................................ออกเอื้อนสารเสนอ ๚

๏ เรียมลุโรงเล่าแล้ว...................................ลอยเรือ
กลิ่นเล่ากำจรเจือ.......................................จิตร์กลุ้ม
เมารักพี่เมาเหลือ........................................เมาเล่า อีกเอย
เมามืดดินฟ้าคลุ้ม........................................คลั่งเคล้าฤๅคลาย ๚

๏ เมาเล่าฮึกฮักให้......................................เฮฮา
เมาถั่วโปมักพา..........................................สัปปลี้
เมายศยิ่งยศหา..........................................ฤๅเหลือ หยิ่งแฮ
เมารักเช่นพี่นี้............................................นั่งเพ้อนอนพึม ๚

๏ ถวิลรเด่นเทวศร้าง..................................หมันหยา
โศกรักแรมจินตหรา....................................เร่าร้อน
อนงค์นางสการวา......................................ตีสุด สวาดิ์เอย
รฦกรเด่นหมันหยาข้อน................................อกไห้ดุจเรียม ๚

คงจบการอ่านโคลงนิราศพระประธม ของกรมหลวงวงษาธิราชสนิทไว้ด้วยบทโคลงบทที่ ๒๑๒ ของพระองค์ท่าน ว่า

๏ เสร็จเรื่องนิราศร้าง.................................แรมสมร
นิพนธ์พจนกลกลอน...................................กล่าวแกล้ง
เฉลิมพระเกียรติอดิศร..............................เกศมกุฎิ สยามแฮ
กับจักให้อรแจ้ง.........................................เรื่องร้างไปประทม ๚

ตอนหน้าจะนำไปอ่านโคลงนิราศที่ยาวที่สุด คือโคลงนิราศสุพรรณ ของสุนทรภู่ ขอรับ

หมายเหตุท้ายบท
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น กวีที่แต่งนิราศพระปฐมไว้ปรากฎแล้ว ๓ สำนวน คือ กลอนนิราศพระประธมของสุนทรภู่แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ โคลงนิราศพระประธมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงแต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๗ และกลอนนิราศพระปฐมของหลวงจักรปราณี (มหาฤกษ์) แต่งในสมัยรัชกาลที่ห้า

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:41:48 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๑๑)

๏ เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า................ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว......................พร่างพร้อย
ยามดึกนึกหนาวหนาว....................เขนยแนบ แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย.........................เยือกฟ้าพาหนาว ๚

โคลงบทนี้เป็นโคลงบทแรก จากนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ เป็นเพียงเรื่องเดียวของท่านที่แต่งเป็นโคลง ทำนองจะลบคำสบประมาทว่าแต่งได้แต่เพียงกลอน

นิราศสุพรรณ เกือบจัดเป็นนิราศคำโคลงที่ยาวที่สุด ใช้โคลงสี่สุภาพในการแต่งทั้งสิ้น ๔๖๒ บท และโดยที่สุนทรภู่ทำอะไรต้องมีลักษณะประจำตัวของท่านเด่นออกมาเสมอ โคลงนิราศสุพรรณ จึงมีลักษณะพิเศษของลักษณะแตกต่างจากโคลงนิราศเรื่องอื่น เช่น มีสัมผัสในเหมือนอย่างกลอน ใช้คำเอกโทษ โทโทษเปลือง

โคลงสี่สุภาพลักษณะพิเศษแบบสุนทรภู่เป็นอย่างไร เดี๋ยวไปอ่านกันครับ

นิราศสุพรรณแต่งขึ้นในปีใดไม่แน่ชัด ตำราบางเล่มบอกว่าแต่งในปี พ.ศ.๒๓๗๔ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า สุนทรภู่แต่งขณะบวชอยู่วัดเทพธิดาราม ซึ่งธนิต อยู่โพธิ์ และฉันท์ ขำวิไล ได้สันนิษฐานเพิ่มเติมว่าคงจะแต่งราว พ.ศ.๒๓๘๔ ขณะที่ พ.ณ.ประมวญมารค ว่าสุนทรภู่แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๙

สุนทรภู่เดินทางไปสุพรรณบุรีเพื่อหาแร่ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาแปรธาตุชนิดอื่นได้ พูดง่ายๆ คือท่าน "เล่นแร่แปรธาตุ" นั่นเอง การเดินทางครั้งนี้เหนื่อยยากหนักหนาแทบจะเอาชีวิตไม่รอด สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา ท่านได้เขียนเตือนบุตรหลานทั้งหลาย ดังโคลงก่อนบทสุดท้ายของนิราศ คือบทที่ ๔๖๑ ว่า

๏ หวังไว้ให้ลูกเต้า.......................เหล่าหลาน
รู้เรื่องเปลืองป่วยการ..................เกิดร้อน
อายุวัฒนะขนาน..........................นี้พ่อ ขอเอย
แร่ปรอทยอดยากข้อน..................ว่าไว้ให้ฟัง ๚

จอมยุทธฯขอออกตัวไว้ก่อนว่าคงจะยกตัวอย่างโคลงจากนิราศสุพรรณที่อ่านได้ไม่กี่บท สำหรับเพื่อนๆที่
อยากอ่านเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่เวปของ สาวน้อยร้อยแปด ตามลิ้งค์ครับ

//www.geocities.com/Paris/Library/7749/Nirat/supan.htm

ว่าแล้วก็มาเริ่มอ่านโคลงนิราศสุพรรณกัน

สุนทรภู่เริ่มออกเดินทางเริ่มต้นที่คลองมหานาค ดั่งโคลงบทที่ ๒ ว่า

๏ มหานาคฉวากวุ้ง......................คุ้งคลอง
ชุ่มชื่นรื่นรุกขสอง.......................ฝั่งน้ำ
ขุกคิดมิตรหมายครอง.................สัจสวาท ขาดเอย
กล้าตกรกเรื้อซ้ำ..........................โศกทั้งหมางสมร ๚

บทต่อมาเป็นบทฝากนางแบบพิศดาร เพราะเป็นการฝากซากสวาท ตัดใจ ดั่งโคลงว่า

๏ ขอฝากซากสวาทสร้อย................สุนทร
ไว้ที่ท่าสาคร.................................เขตนี้
ศาลาน่าวัดพร..............................พี่ฝาก มากเอย
ใครที่พี่เป็นผี้...............................พี่ให้อภัยเจริญ ๚
๏ จำร้างห่างน้องนึก......................น่าสรวล
สองฝ่ายชายหญิงยวน...................ยั่วเย้า
หวังชายฝ่ายหญิงชวน...................ชื่นเช่น เห็นเอย
กลเช่นเล่นซักเสร้า........................เสพเผื้อนเฟือนเกษม ๚

อ่านถึงตรงนี้พอจะสันนิษฐานได้ว่าสุนทรภู่คงจะเลิกร้างกับหญิงคนรัก อ่านมาถึงโคลงบทที่ ๘ จึงแน่ใจเพราะโคลงบทนี้บอกไว้ว่า

๏ วัดเลียบเงียบสงัดหน้า................อาราม
ขุกคิดเคยพยายาม.........................แย่งน้อง
รวยรินกลิ่นสไบทราม.....................สวาทร่วง ทรวงเอย
สูญกลิ่นสิ้นกลอนพร้อง..................เพราะเจ้าเบาใจ ๚

ตรงนี้ขอคัดโคลงบทต่อมาให้อ่านอีก ๒ บทจะได้ต่อเนื่อง

๏ เจริญบุญสุนทรไว้.......................ให้สมร
สืบสวัสดิสถาพร............................ผ่องแผ้ว
เชิญทราบกาพย์กลกลอน.................กล่าวกลิ่น ถวิลเอย
จำขาดชาตินี้แคล้ว..........................คลาดน้องครองสงวน ๚
๏ วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง.......................เตียงนอน
เคยปกนกน้อยคอน.........................คู่พร้อง
เคยลอบตอบสารสมร.....................สมานสมัคร รักเอย
จำจากพรากนุชน้อง.........................นกน้อยลอยลม ๚

ถึงตรงนี้มาอ่านมาถึงการพรรณนาถึงสถานที่ต่างๆ สำนวนโคลงของสุนทรภู่กันบ้างดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร

๏ ยลฉนวนหวนนึกน้ำ.....................เนตรนอง
พระธินั่งบัลลังก์ทอง.....................ที่เฝ้า
ชำระพระนิพนธ์สนอง.....................เสด็จสนิท ชิดเอย
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้า........................กลับร้างห่างฉนวน ๚

๏ วังหลังครั้งหนุ่มเหน้า..................เจ้าเอย
เคยอยู่ชูชื่นเชย.............................ค่ำเช้า
ยามนี้ที่เคยเลย..............................ลืมพักตร์ พี่แฮ
ต่างชื่นอื่นแอบเคล้า.......................คลาศแคล้วแล้วหนอ ๚

๏ เลี้ยวทางบางกอกน้อย.................ลอยแล
บ้านเก่าเหย้าเรือนแพ......................พวกพ้อง
เงียบเหงาเปล่าอกแด.....................ดูแปลก แรกเอย
รำลึกนึกรักน้อง.............................เรียกน้องในใจ ๚

๏ ยลย่านบ้านบุตั้ง.........................ตีขัน
ขุกคิดเคยชมจันทร์........................แจ่มฟ้า
ยามยากหากปันกัน.........................กินซีก ฉลีกแฮ
มีคู่ชูชื่นหน้า..................................นุชปลื้มลืมเดิม ๚

อ่านมาถึงตรงนี้ถึงบางอ้อว่า นางที่สุนทรภู่กล่าวถึงคือ แม่จันภรรยาของสุนทรภู่ที่เลิกกันไป แต่ชื่อแม่จันก็ยังไม่พ้นจากหัวใจสุนทรภู่ ดั่งโคลงบทต่อมาว่า

๏ เสียดายสายสวาทโอ้....................อาวรณ์
รักพี่มีโทษกรณ์.............................กับน้อง
จำจากพรากพลัดสมร.....................เสมอชีพ เรียมเอย
เสียนุชดุจทรวงต้อง......................แตกฟ้าผ่าสลาย ๚

มาอ่านโคลงกันต่อครับ

๏ วัดปะขาวคราวรุ่นรู้.....................เรียนเขียน
ทำสูตรสอนเสมียน........................สมุดน้อย
เดินระวางระวังเรียน......................หว่างวัด ปะขาวเอย
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย.....................สวาทห้างกลางสวน ๚

สุนทรภู่เดินทางผ่านวังหลัง เข้าคลองบางกอกน้อย เรื่อยไปทางนครชัยศรี เข้าแม่น้ำสุพรรณ ผ่านสองพี่น้องบางปลาม้า ถึงตัวเมืองสุพรรณเวลาเย็น หลังจากนั่งเรือมา ๒ วัน ๒ คืน

๏ ตะวันเย็นเห็นหาดหน้า..................ท่ามี
เมืองสุพรรณบุรี...........................รกร้าง
ศาลตั้งฝั่งนที...............................ที่หาด ลาดแฮ
โรงเล่าเขาต้มค้าง..........................ขอบคุ้งหุงสุรา ๚

จอมยุทธฯไม่อยากจะโม้มากกลัวยาวเกินไป เอาเป็นว่าจากสุพรรณบุรีสุนทรภู่ล่องเรือขึ้นทางเหนือ ผ่านสามชุกถึงบ้านทึง ออกจากบ้านทึงนี่แหละขอรับที่สุนทรภู่เดินทางเข้าสู่ตอนผจญภัยอันน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ พบเรื่องประหลาดๆ เช่นเห็นเจ้าป่ามาปรากฎบ้าง ฝันเห็นเจ้าที่บ้าง จนถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยง ได้กะเหรี่ยงชำนาญป่านำทางคนหนึ่ง (มาถึงตรงนี้จอมยุทธฯ นึกถึงเรื่องเพชรพระอุมาเลยครับ) เพื่อนำทางไปเขาโพรง ผจญภัยในป่าผ่านหมู่บ้านละว้า จนมาถึงเขาโพรงจุดหมายปลายทาง ตรงนี้ขอคัดบทโคลงมาวางไว้หน่อย ขอรับ

๏ ถึงถิ่นหินเงื้อมงอก.....................กรอกเขา
หินหลักปักสองเสา........................ซอกน้อย
ลอดเลี้ยวเหนี่ยวหน่วงเถา...............ลดาช่วย ด้วยแฮ
ลงพุปรุน้ำพร้อย...........................พร่างคล้ายสายฝน ๚
๏ พระเจดีย์ที่ค่างถ้ำ.......................บุรำบุราณ
สูงสักหกศอกประมาณ....................ละม่อมป้อม
ประตูมีที่ช่องดาน..........................ดันปิด สนิทแฮ
ปูนเพชรเขตเขาล้อม......................แหล่งไว้ใบลาน ๚

แต่สุนทรภู่ก็ไม่สามารถผลักประตูเข้าไปข้งในได้ แม้จะทำพิธีแก้อาถรรพ์และบวงสรวง มิหนำซ้ำยังเจอเหตุประหลาดอีกหลายเรื่อง จนต้องเลิกค้นหาสิ่งของที่ต้องการ เดินทางกลับ
จากนิราศเรื่องนี้พบว่าสุนทรภู่ได้เผชิญภัยอย่างแปลกประหลาด ถึงแม้ไม่ได้รับผลสำเร็จดังที่หวังไว้ แต่สุนทรภู่ก็ได้ไปจนที่สุด สุดท้ายก็เขียนโคลงเตือนบุตรหลานไว้ในบท ๔๖๑ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

เพื่อนๆท่านใดอยากอ่านถึงการผจญภัยของสุนทรภู่ดังที่กล่าวมา ต้องหาอ่านจากนิราศสุพรรณเองแล้วละครับจากเวปที่จอมยุทธฯ บอกไว้ข้างต้น ตอนนี้มาอ่านโคลงหวานๆ ตามจุดประสงค์การอ่านโคลงนิราศครั้งนี้จากนิราศสุพรรณ กันดีกว่าขอรับ

๏ รอนรอนอ่อนอกโอ้.....................อัศดง
เลี้ยวเหลี่ยมพระสุเมรุลง.................ลับฟ้า
มืดคลุ้มพุ่มไผ่พง..........................พี่เปลี่ยว เดียวเอย
เสียงพึ่งหึ่งหึ่งหน้า........................นึกคร้ามหวามถวิล ๚

๏ ลำพูดูหิ่งห้อย...........................พรอยพราย
เหมือนเม็ดเพชรรัตน์ราย................รอบก้อย
วับวับจับเนตรสาย........................สวาทสบ เนตรเอย
วับเช่นเห็นหิ่งห้อย.........................หับหม้านนานเห็น ๚

๏ เนื้ออ่อนห่อนซู่เนื้อ.....................น้องหญิง
อ่อนแอบแนบอกอิง......................อุ่นล้ำ
นวลจันนั่นนวลจริง.......................แต่ชื่อ ลือเอย
นวลที่พี่กลืนกล้ำ...........................กลิ่นเนื้อเหลือนวล ๚

๏ ขาวอื่นหมื่นสิ่งล้วน.....................นวลขาว
แพรพ่าฟ้าดินดาว..........................ดุจพร้อง
ขาวดูครู่เดียวคราว........................หนึ่งเบื่อ เหลือแฮ
ขาวบ่เบื่อเนื้อน้อง.........................น่วมนิ้วผิวขาว ๚

๏ ถึงหน้าท่าน้ำวัด..........................มะนาวหวาน
ลือเลื่องเบื้องบูราน.......................ร่ำพร้อง
หวานอื่นคลื่นไส้นาน.......................นักเบื่อ เหลือแม่
หวานแต่น้ำคำน้อง.........................เสนาะน้ำคำหวาน ๚

๏ สงสารบ้านวัดร้าง......................แรมโรย
เสียงแต่นกหกโหย.........................ค่ำเช้า
อกพี่ที่เดียวโดย............................ด้วยแก่ แม่เอย
เข้าเรื่องเมืองร้างเศร้า...................โศกซ้ำรำจวน ๚

๏ เกือบรุ่งฟุ้งกลิ่นเกลี้ยง...............เพียงสุคนธ์
หึ่งหึ่งผึ้งเวียนวน.........................ว่อนเคล้า
มาลีคลี่กลีบบน.............................บานกลิ่น ระรินเอย
ยิ่งรุ่งฟุ้งหอมเร้า...........................เร่งให้ใจเจริญ ๚

๏ ด้อมดูหมู่มยุรย้าย......................ร่ายรำ
เยี่ยงอย่างนางระบำทำ...................ท่าฉะม้าย
เคยดูคู่เคียงระบำ..........................ระเบงกลับ ลับเอย
เห็นแต่ฝูงยูงคล้าย........................นุชฟ้อนงอนงาม ๚

ราชสีห์เทียมรถ
๏ ยลโศกยามเศร้ายิ่ง.....................ทรวงเย็น
คิดสุดขัดแสนเข็ญ........................โศกไข้
หวนหนาวหากนึกเห็น.....................หน้าแห่ง น้องแฮ
ดวงจิตเด็ดจากได้........................จึ่งดิ้นจำโดย ๚

สกัดแคร่
๏ หนาวลมห่มผ้าห่อน.....................หายหนาว
ฟ้าพร่ำน้ำค้างพราว........................พร่างฟ้า
เด่นเดือนเกลื่อนกลาศดาว...............ดวงเด่น
ใจเปล่าเศร้าซบหน้า........................นึกน้องหมองใจ ๚

๏ ดึกดื่นชื่นชุ่มไม้..........................ไพรพนม
พร่ำพร่ำน้ำค้างพรม.......................พร่างฟ้า
กลิ่นว่านซ่านส่งลม.........................กระหลบกรุ่น อุ่นเอย
ยิ่งมืดครืดสว่างกล้า.......................กลิ่นกลุ้มคลุ้มเมา ๚

๏ คิดกลับหลับอ่อนสะอื้น................ตื้นใจ
กรีดกริ่งหริ่งเรไร..........................เรื่อยร้อง
แจ้วแจ้วแว่วเสียงใส.......................ซอรับ ขับเอย
เรื่อยเรื่อยเฉื่อยเสียงซ้อง................เสนาะน้ำคำครวญ ๚

๏ พร่ำพร่ำน้ำค้างพร่าง...................กลางไพร
ผอยเผาะเหยาะเย็นใจ.....................แจ่มพร้อย
แน่นิ่งกิ่งก้านใบ............................บ่กะดิก ริกเอย
ดาวเคลื่อนเดือนบ่ายคล้อย...............เคลือบคลุ้มพุ่มพง ๚

๏ เดือนเอยเคยคู่แก้ว......................แววตา
เกือบตกอกอาทวา..........................ว่างแล้ว
โปรดด้วยช่วยรอรา........................รถสว่าง ทางเอย
อย่าเลื่อนเคลื่อนคล้อยแคล้ว.............คลาศข้าอาลัย ๚

๏ เช้าตรู่พรูพร้อยพร่าง...................ทางจร
หวานฉ่ำน้ำทศกร.............................เกาะไม้
ขูดได้ใส่กระบอกคอน......................ค่อยชื่น ขึ้นแฮ
เปลียวอกตกยากไร้........................ร่อนเหร้ระเหระหน ๚

ขอจบการอ่านโคลงนิราศสุพรรณ ด้วยโคลงบทสุดท้าย (๔๖๒) จากนิราศเรื่องนี้

๏ โคลงไว้ใช้ชื่ออ้าง.......................ต่างนาม
นาคปริพันธ์ตาม............................กบเต้น
สระล้วนส่วนอักษรสาม....................สกัดแคร่ แม่นา
ซ้อนดอกบอกบ่เว้น........................ว่าไว้ให้ฟัง ๚๛

และจอมยุทธฯ ก้อคงจะจบการอ่านโคลงเป็นเรื่องๆ ไว้ที่นิราศสุพรรณขอรับ

ถึงตรงนี้จอมยุทธฯเกือบไม่เชื่อตัวเองว่าจะอ่านโคลงหวานชุดนี้มาได้ถึง ๑๑ ตอน เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ที่อ่านหนังสือหลายเล่มขนาดนี้ นิราศโคลงบางเรื่องที่เคยอ่านผ่านๆก็อ่านจนจบ

แม้จะจบการอ่านโคลงหวานไว้ที่นิราศสุพรรณ แต่จอมยุทธฯ ขออ่านโคลงหวานอีกตอน ขอเป็นตอนสรุปแล้วกันแต่จะเป็นการสรุปโคลงหวาน บทฝากนาง จากหนังสือเล่มต่างๆเท่าที่จะค้นได้ มาฝากในตอนหน้าขอรับ

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:43:12 น.  

 

อ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศ (๑๒)

ตอนนี้จอมยุทธฯจะพามาอ่านสำนวนบทฝากนางจากโคลงนิราศเรื่องต่างๆกันขอรับ

การเลียนแบบแนวคิดหรือสำนวนการเอาอย่างรูปแบบหนึ่งในโคลงนิราศ คือบทฝากนาง ที่กวีมักจะดำเนินตามรอยทางเก่าหรือเอาอย่างกันเป็นทอดๆ คือรำพึงว่าจะฝากนางไว้กับใครดี ฝากพระอินทร์ก็กลัวจะเป็นชู้ฝากนั่นก็เกรงอย่างนั้น ฝากนี่ก็เกรงอย่างนี้ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยฝากนางกับใจนางเองเกือบทุกสำนวน

สำนวนที่ถือว่าเป็นต้นแบบของบทฝากนาง คือ สำนวนจากกำศรวลศรีปราชญ์

๏ โฉมแม่จักฝากฟ้า.........................เกรงอินทร์ หยอกนา
อินทรท่านเทอดเอา.........................สู่ฟ้า
โฉมแม่จักฝากดิน............................ดินท่าน แล้วแฮ
ดินฤๅขัดเจ้าหล้า.............................สู่สมสองสม ๚
๏ โฉมแม่ฝากน่านน้ำ......................อรรณพ แลฤๅ
เยียวนาคเชยชมอก........................พี่ไหม้
โฉมแม่รำพึงจบ.............................จอมสวาสดิ์ กุเอย
โฉมแม่ใครสงวนได้........................เท่าเจ้าสงวนเอง ๚
(จากโคลงกำสรวลศรีปราชญ์)

ทีนี้ก็ต้องมาลองอ่านสำนวนการเอาอย่าง จะว่าง่ายก็ไม่ง่ายนะขอรับเพราะการเปรียบโดยยึดแนวคิดเดิมผู้แต่งใหม่จำต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เหมือนของเก่า ต้องให้ดีกว่า หรืออย่างน้อยต้องมิให้เลวกว่า มิฉะนั้นขายหน้า

ลองมาอ่านสำนวนแรกของพระพิพิธสาลี จากนิราศทวาย กันดีกว่า

๏ จักฝากโฉมแม่ไว้.........................ธรณี
เกรงกริ่งกรุงพาลี..........................ลอบเล้า
จักฝากนทีศรี................................สาคเรศ ท่านนา
กลัวเกลือกพระสมุทรเจ้า.................ท่านเที้ยรทารุณ ๚
๏ จักวิงวอนว่าฟ้า...........................ฝากสงวน
เกรงพระพายชายนวล....................ชอกเนื้อ
จักฝากวลาหกครวญ......................ครึมคร่ำ
กลัวแต่โฉมกามเกื้อ.........................ชุ่มชื้นเสียศรี ๚
๏ จักฝากยุพเรศร้อย......................เรียมคิด
ฤๅปล่งปลงใจมิตร.........................กิ่งเผ้า
ใดอาจจะปองปิด............................ยังยาก
โฉมแม่ฝากใจเจ้า.............................ยิ่งด้วยใครครอง ๚
(โคลงนิราศทวาย : พระพิพิธสาลี)

สำนวนนี้เป็นของพระยาตรัง และเป็นการแต่งโดยโคลงดั้นเหมือนสำนวนต้นแบบของศรีปราชญ์ด้วย

๏ โฉมเจ้าจะแหวกฟ้า........................ฝากพรหม เมศฤๅ
เกรงจะชมฌานเมิล..........................แม่ไว้
จะฝากอิศรกรม...............................ไกรลาศ
ไฟราคร้อนหล้าไท้.............................ทั่วแหนง ๚
๏ เลียบเล็งโลกธาตุสิ้น......................สรรพางค์
เจ็บฝากเจ็บแฝงฝืน........................ใฝ่เฝ้า
คิดทั่วทิศานาง.................................แหนงพี่ วายเลย
โฉมแม่ฝากไว้เจ้า..............................จึ่งคง ๚
(นิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย : พระยาตรัง)

แต่การฝากนางในนิราศพระยาตรังบทหนึ่ง ที่อาจถือได้ว่าฉีกออกจากรูปแบบเก่าได้ คือบทนี้

๏ เออองค์อมเรศท้าว..........................จัตุรพักตร พ่อฮา
โฉมแม่ยังเยาว์นัก...............................ใหญ่หน้า
เยียวองค์ราชไตรจักร..........................จักเสน่ห์ นางพ่อ
ฝากแม่ใส่หีบฟ้า..................................ซ่อนไว้ทวีปพรหม ๚
(โคลงนิราศพระยาตรัง)

บทฝากนางที่น่าจะถือว่าดีเด่นที่สุดคือบทฝากนางจากนิราศนริทร์ แม้จะเป็นการเลียนแบบกำสรวลศรีปราชญ์ แต่ในการเลียนแบบนั้น ก็มีลักษณะที่เป็นตัวของตัวเองอยู่ด้วย เช่นชี้ให้เห็นถึงความสวยของนางเสียก่อนแล้วจึงหาที่ฝากลงเอยที่ใจนางเป็นสุดท้าย รวมถึงการเลือกใช้ถ้อยคำที่ทำให้ทำนองอันมีอารณ์กร้าวของศรีปราชญ์กลับอ่อนโยนละมุนละไม ดังนี้

๏ โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ.....................แลโลม โลกเอย
แม้ว่ามีกิ่งโพยม.............................ยื่นหล้า
แขวนขวัญนุชชูโฉม........................แมกเมฆ ไว้แม่
กีดบ่มีกิ่งฟ้า.................................ฝากน้องนางเดียว ๚
๏ โฉมควรจักฝากฟ้า......................ฤๅดิน ดีฤๅ
เกรงเทพไท้ธรณินทร์.....................ลอบกล้ำ
ฝากลมเลื่อนโฉมบิน.......................บนเล่า ณ แม่
ลมจะชายชักช้ำ..............................ชอกเนื้อเรียมสงวน ๚
๏ ฝากอุมาสมรแม่แล้......................ลักษมี เล่านา
ทราบสวยมภูวจักรี..........................เกลือกใกล้
เรียมคิดจบจนตรี...........................โลกล่วง แล้วแม่
โฉมฝากใจแม่ได้............................ยิ่งด้วยใครครอง ๚
(โคลงนิราศนรินทร์ : นายนรินทร์ทิเบศร์)

ลองมาอ่านสำนวนบทฝากนางอีกสักหลายๆบท

๏ โฉมแม่จะแหวกฟ้า.......................ฝากพิมาน แมนเฮย
น้อยเทพเล็งไปลาน........................สวาทดิ้น
หวนคิดฝากชันญาน........................โสฬส เล่านา
พรหมก็ดีโดยสิ้น............................สิ่งเคล้ายังแคลง ๚
๏ จักฝากพื้นใต้ต่ำ..........................เมรุมิด รอดฤๅ
กรองกริ่งไพรปราจิตร...................แอบเย้า
ฝากน้ำเกลือกนาคอิจ.......................ฉาลอบ โฉมแม่
จนอกโอ้พี่เฝ้า................................ฝากน้ำตานาง ๚
(โคลงนิราศเสด็จยกทัพไปเวียงจันทร์ : กรมพระยาเดชาดิศร)

๏ ฝากโฉมสมรแม่ไว้........................แห่งใด ดีฤๅ
ฝากเมฆเกรงวรุณไท.......................ลอบกล้ำ
ฝากโฉมลักษมีใน............................เกษียรสมุทร์ ก็ดี
เกรงพระสี่กรปล้ำ...........................ปลุกให้สลายศรี ๚
๏ ฝากองค์อุมาแม่เจ้า......................จอมสวรรค์ ดีกระมัง
เกรงเกลือกองค์อินทร์ฝัน.................ใฝ่น้อง
ฝากฟ้าขลาดทิวัน.............................สอดเนตร์ สบแม่
ฝากน้ำเกรงนาคต้อง.........................จิตต์ต้องใจสมร ๚
๏ ฝากมาตุหรือท่านไซร้.....................บุตรหลาย
ฝากมิตรกริ่งมิตรหมาย.....................แตะต้อง
เรียมนึกออกเรียมคลาย.....................วิตกแน่ แล้วแม่
โฉมฝากใจแม่น้อง............................ยิ่งด้วยฝากใคร ๚
(ลิลิตพายัพ : ร.๖ ทรงพระราชนิพนธ์ในนามปากกาหนานแก้วเมืองบูรพ์)

๏ เจาะจอมเมรุแมกน้อง....................นงพาล เล่านา
กริ่งตรึกไตรเนตรชาญ.....................เชี่ยวรู้
เอาศรีแทรกบาดาล...........................ดลซ่อน ไว้แม่
เกรงพิษภุชคินท์ผู้............................พ่นพ้องพานโฉม ๚
๏ โฉมนุชเนาสดวกได้........................แดนดล ใดนา
โสฬศกมลาศหน...............................หกฟ้า
จักรพาฬพนัศจน.............................จบทวีป ไว้แม่
จตุรพักตร์พิทยถ้า............................เทพกล้ำกลายโฉม ๚
๏ นึกหนึ่งรัตนเนตรน้อง.....................เนาเรือน แลนา
อยู่อื่นอยู่ห่อนเหมือน..........................อยู่ห้อง
ผิว์ไข้เผ่าพงศ์เยือน...........................ญาติเยี่ยม แลนา
บุญธิราชร่มป้อง...............................ปกคุ้มภัยพาล ๚
(โคลงนิราศฉะเชิงเทรา : พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์)

ลองมาอ่านสำนวนฝากนางแบบแปลกๆกันบ้างครับ

๏ โฉมแม่จักฝากไว้.........................แห่งใด ดีฤๅ
ฝากกับใครฤๅใคร..........................จักเว้น
ฟ้าดินพี่ตรวจไตร...........................ดูหมด มาแม่
โฉมแม่ขอบแต่เร้น..........................อยู่ห้วงนฤพาน ๚
(โคลงนิราศท้าวสุภัตติการภักดี : ร.๕ ทรงพระราชนิพนธ์ในนามของท้าวสุภัตติการภักดี)

จอมยุทธฯ คงขอจบด้วยสำนวนบทฝากนางอีกสำนวนหนึ่ง จากโคลง นิราศกรุงเก่าของ มหาฤกษ์ ที่อาจจะถือว่าเป็นสำนวนบทฝากนางที่ยาวที่สุด คือมีถึง ๗ บท ซึ่ง อ.เปลื้อง ณ นคร กล่าวไว้ในหนังสือจินตวรรณคดีไทยว่า ทั้งที่มหาฤกษ์เลียนแบบกำศรวลเหมือนกัน แต่รำพันยืดยาดเกินไป เลยเสียสัดส่วนหมด ความไพเราะและซาบซึ้งใจเลยหย่อน มหาฤกษ์เขียนไว้ว่า

๏ เชิญโฉมแม่ฝากห้อง......................หกสวรรค์ ไว้ฤๅ
เกรงเทพไทชิงกัน.........................แก่งแหย้ง
ฉุกเกิดศึกสวรรค์สรรพ์...................สุเมรุมอด หมดฤๅ
หมื่นโลกพลอยตายแล้ง...................บาปได้เรียมเดียว
๏ จะฝากสิบหกท้าว........................พรหมาน เล่านา
พรหมพระฤทธิ์เรืองญาณ................อยู่ด้วย
ฉุกฉมสำเร็จฌาน............................เฉยพี่ เสียแม่
เรียมจะกลัดเกลศม้วย.....................ม่ายชู้ชมใคร ๚
๏ จะฝากประเทศด้าว.......................ดินแดน ใดนา
ทุกเทศทุกไทแสน.............................เสน่ห์น้อง
มององค์อุมาแมน............................ศิวมุ่ง ชมแม่
มอบพระลักษมีพ้อง.........................พิษณุเจ้าจักกวน ๚
๏ ลองนุชลอยน่านน้ำ.......................วนวัง ไว้ฤๅ
ฉวยภุชงค์ฉกผัง............................ผาดเคล้า
จะเจาะสุเมรุฝัง...............................แฝงแม่ ไว้แม่
เกรงพระไพรปจิตรเจ้า.....................เจาะชู้ชิงชม ๚
๏ จะแบกบงกชแก้ว.........................เกาะกาย ไปฤๅ
เกรงแต่แดดลมชาย........................ชอกกล้ำ
นุชเนาเกลือกอันตราย......................ดำริ ไฉนนา
อยู่ก็ช้ำไปก็ช้ำ.................................สุดรู้เรียมสงวน ๚
๏ แสนยากฝากทั่วแล้ว.....................ระลุงถอน ใจเฮย
ปรับทุกข์ฤทัยสมร...........................แม่ข้อง
ครั้นเรียมพิไรนอน...........................ฝากจิต เจ้านา
สบฤทัยน้องท้าว..............................รับน้ำคำเรียม ๚
๏ เดียวงามสามแผ่นอ้าง....................อาจระวัง ได้ฤๅ
โฉมบ่ควรฝากฝัง.............................โลกหล้า
ฝากใจแม่เรียมหวัง..........................ใจอุ่น ใจเอย
ดีกว่าฝากดินฟ้า...............................ฝากเจ้าใจดี ๚
(โคลงนิราศกรุงเก่า : มหาฤกษ์)

นี่คือตัวอย่างการรำพันที่มากเกินไป เปรียบอย่างนักเลงเหล้าก็ว่า เติมโซดาเสียจนจางไม่เป็นรส

สุดท้ายจอมยุทธฯ คงต้องขอจบการอ่านโคลงหวานผ่านโคลงนิราศไว้แค่นี้ หวังว่าเปลเปล้อชุดนี้คงจะมีประโยชน์แก่เพื่อนๆบ้าง ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็แนะนำกันได้ขอรับ

แล้วก็เอวังด้วยประการฉะนี้แล ๚๛

๑๗ พ.ย. ๒๕๔๕ ๑๓.๐๐ น.

 

โดย: จอมยุทธเมรัย 29 พฤศจิกายน 2548 15:43:59 น.  

 

 

โดย: Malijauna IP: 61.7.158.188 13 ธันวาคม 2548 2:42:38 น.  

 

โดนคัฟ

+++
++
+++++++++
++
+
+
+
+++++

*****

 

โดย: ไรท์ IP: 203.113.41.38 10 มกราคม 2549 20:17:31 น.  

 


ดีนักนะเรื่องที่หาก็ไม่ใช้

 

โดย: 007 IP: 202.129.9.225 19 มิถุนายน 2549 20:50:53 น.  

 

อยากรู้จุดมุ่งหมายการแต่งโคลงนิราศพระยาตรังค่ะ

 

โดย: cried IP: 58.9.122.214 31 กรกฎาคม 2549 20:28:50 น.  

 

 

โดย: noname IP: 125.24.119.84 11 สิงหาคม 2549 8:55:56 น.  

 

เย็นเยียบยะเยือกย้ำ อกเอ๋ย
ขวัญคู่เจ้าเคียงเคย คู่เคล้า
วารผันผ่านห่างเชย จิตพี่ เฝ้าตรม
รำลึกเพียงถึงเจ้า ผ่อนได้ฤาไฉน

เห็นคุณจอมยุทธ์แต่ง แล้วเลยอยากแต่งมั่งอ่ะค่ะ
เป็นไงคะ พอทนรึเปล่า -*-

(พอดีหาข้อมูลทำรายงานเลยบังเอิญมาเจออ่ะค่ะ ขออนุญาตแต่งด้วยคนนะคะ)

 

โดย: เจ้าหญิง IP: 202.44.136.50 4 กันยายน 2549 14:38:44 น.  

 

เซ็งจังหาไม่เจอ

 

โดย: นานา IP: 125.24.182.5 26 มกราคม 2550 9:52:49 น.  

 

พี่จอมยุทคร่ะ
พี่คงก่งภาษาไทยมาก
อยากห้ายช่วยหา งานเกี่ยวกับ
พวกเนี้ยค่ะ พอจาว่างช่ยมั๊ยคร่ะ
ถ้ามีเวลาก้อแอดมาหน่อยน่ะคะ
nuu_jane@msn.com

 

โดย: เจน IP: 203.113.80.16 11 กุมภาพันธ์ 2550 15:02:24 น.  

 

เพ่ค่ะ

นู๋อยากได้เนื้อหาโคลงทั้งหมดอ่ะ

ของ โคลงราชสวัสดิ์ อ่ะค่ะ

ช่วยแอดเมล์ของนู๋หน่อยได้ไหมค่ะ

หาแร้วก้อไม่เจอค่ะ...ใกล้ส่งแร้วด้วย


deer_duck7358584@hotmail.com

 

โดย: เดียร์ IP: 222.123.232.84 24 เมษายน 2550 20:30:43 น.  

 

หาไม่เจอเลย

 

โดย: l IP: 124.157.138.91 18 มิถุนายน 2550 16:52:40 น.  

 

แต๋นสวย

 

โดย: แต๋น IP: 125.24.154.34 28 มิถุนายน 2550 17:52:06 น.  

 

หาไม่เจอ

 

โดย: ... IP: 58.8.172.124 16 กรกฎาคม 2550 18:44:57 น.  

 

มีโคลงภาพพระราชพงศาวดารป่าว

 

โดย: no name IP: 58.8.172.124 16 กรกฎาคม 2550 18:46:03 น.  

 

ไม่เจอเลย

 

โดย: 54878/ IP: 125.27.69.243 30 กรกฎาคม 2550 15:33:24 น.  

 

ไม่มีสักอย่างที่ต้องการ

 

โดย: 543210 IP: 125.27.148.38 13 กันยายน 2550 12:33:08 น.  

 

ไม่มีตามที่ต้องการ อะแงแงแง

 

โดย: โฮ IP: 203.113.80.15 17 กันยายน 2550 21:16:37 น.  

 

อยากได้เรื่องโคลงหริภุญไชย

 

โดย: classic bear IP: 203.172.75.192 2 พฤศจิกายน 2550 18:37:53 น.  

 

มีเเต่เรื่องน่าเบื่อ เวนนนนนนนนนนนน
เเต่เรื่องของเราไม่มีวันน่าเบื่อ

 

โดย: 125 IP: 202.183.178.137 18 ธันวาคม 2550 16:25:55 น.  

 

ช่วยหาเนื้อเรื่องย่อ สาระสำคัญ คุณค่าที่ได้รับ โคลงนิราศพระพุทธบาท ให้หน่อยนะค่ะ ถ้าว่างช่วยส่งมาที่
pack_234@hotmail.com ด้วยนะค่ะ

 

โดย: pack IP: 203.113.70.11 20 ธันวาคม 2550 21:01:46 น.  

 

โคลงนิราศพระบาท ของมหานาค วัดท่าทราย ขอ 25 บทเลยได้มั้ยคะ
ต้องรีบทำงานส่งนะค่ะ

 

โดย: Ja-ae+ IP: 125.25.211.0 10 มกราคม 2551 20:08:19 น.  

 

เรื่องโคลงนิราศพระบาทแต่งโดยใคร

 

โดย: แอนนี้ IP: 222.123.37.118 3 กุมภาพันธ์ 2551 13:16:54 น.  

 

ขอประวัติผู้แต่งให้หน่อยค่ะ

 

โดย: แอนนา IP: 222.123.37.118 3 กุมภาพันธ์ 2551 13:20:39 น.  

 

 

โดย: ben IP: 124.121.109.196 24 พฤษภาคม 2551 8:50:19 น.  

 

 

โดย: teeee IP: 124.121.109.196 24 พฤษภาคม 2551 8:50:59 น.  

 

vbvcbvbvbcvbcvbcvcbcbvcbcvbcvbvbcbvcbcvbgfbgfhfkliydfdfd

 

โดย: tit IP: 124.121.109.196 24 พฤษภาคม 2551 8:51:37 น.  

 

สุดยอด

 

โดย: แพร IP: 118.173.35.118 25 พฤษภาคม 2551 20:53:56 น.  

 

โอ้ยมึน

 

โดย: ทมู IP: 222.123.233.144 26 พฤษภาคม 2551 18:58:14 น.  

 

งง สุดๆเลยพี่อยากได้เเบบนามปากกาอ่า*

 

โดย: เนลล์ IP: 168.120.27.61 10 มิถุนายน 2551 18:09:45 น.  

 

ช่วยหาโครงนิราชพระบาท ตอนเหตุการณ์การเดินทางจากอยุธยาคับ ใครมีบ้างช่วยหน่อยนะ

 

โดย: inkom_333_@hotmail.com IP: 118.174.102.18 6 ธันวาคม 2551 9:55:29 น.  

 

อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว…. อ่านต่อเลย
เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ”เปลวเทียน”เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี
(ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)

เพิ่มเติมความคิดเห็นเรื่อง ลิลิตครับ
ในลิลิตพระลอซึ่งสัณนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในสมัยอยุธยา
มีการร้อยสัมผัสระหว่างบทบ้างแต่ไม่ทั้งหมดครับ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นลักษณะบังคับ
โดยเฉพาะในส่วนของโคลงสี่ ไม่นับที่ร้อยแบบดั้นนะครับ


ช่วงขับซอยอโฉมพระลอเพื่อล่อใจพระเพื่อนพระแพงครับ



 

โดย: 555 IP: 118.173.159.124 29 พฤศจิกายน 2552 21:10:45 น.  

 

ได้คำตอบทำการบ้านหลายข้อเลยครับ
ขอบคุณครับ...

 

โดย: film_bie IP: 113.53.95.172 26 สิงหาคม 2553 18:40:02 น.  

 

รักพี่คีย์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

โดย: น้องจิน IP: 115.67.238.106 11 กันยายน 2553 11:07:32 น.  

 

อยากอยู่ใกล้ๆ พี่คีย์

 

โดย: น้องจิน IP: 61.19.66.13 15 กันยายน 2553 14:34:13 น.  

 

อ่านแล้วนึกถึงตอนเรียนวิชาภาษาไทย ขอบคุณครับ ^^

Xbox Kinect Games Canon Rebel T3i Xbox 360 Kinect Games Syma Helicopter Syma RC Helicopter Cuisinart Multiclad Pro Gelish Nail Polish Cuisinart Multiclad Pro Stainless Cuisinart Multiclad Unlimited Digital SLR Cameras

 

โดย: dannyloa 21 พฤศจิกายน 2554 1:42:30 น.  

 

อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว…. อ่านต่อเลย
เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ”เปลวเทียน”เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี
(ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)

 

โดย: der IP: 180.183.205.110 18 กุมภาพันธ์ 2555 13:00:47 น.  

 

อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว…. อ่านต่อเลย
เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ”เปลวเทียน”เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี
(ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)

 

โดย: 123 IP: 180.183.205.110 18 กุมภาพันธ์ 2555 13:01:07 น.  

 

อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว…. อ่านต่อเลย
เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ”เปลวเทียน”เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี
(ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)

 

โดย: 88 IP: 180.183.205.110 18 กุมภาพันธ์ 2555 13:01:27 น.  

 

พี่ยังเข้ามาบล๊อกไหมหน้อ
... พี่พอจะเเปลโคลงกำสลวญศรีปราญช์ ช่วยหนูหน่อยได้ไหมค่ะ หนูไม่เก่งเรื่องนี้อ่ะค่ะ
๑๐๙ โออกสดวกไส้ เสาโขดง
ลํโบกใบบินอยง แล่นผ้ำ
ขทิงทองรนนทดโยง ลยวแล่ง
ลํช่วยขวาซ้ายล้ำ แล่งเรือ ฯ
๑๑๐ สลาตนนตราษหน้าแต่ง พลยุทธ
ลํสเภาลํเสือ ต่างต้อง
ตรึงตราโขดงทรุด ปลงยาก
สายสมุทรไห้ร้อง รยกศรี ฯ
๑๑๑ น้ำหน้าสองฟากฟุ้ง ผกาแจรง
ฟองฟ่องตามตีอก คลื่นเคล้า
รนนชลรนนแชงอึง อากาศ
เรือยิ่งอยงน้ำเข้า ขาดใจข่นใจ ฯ

 

โดย: ลอยลม IP: 180.183.69.118 8 ธันวาคม 2556 1:22:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


จอมยุทธเมรัย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add จอมยุทธเมรัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.