ระดับเงินฝากกับเงินให้สินเชื่อก็ 55-45 ถือว่าไม่ได้ปล่อยกู้เกินตัว; ระดับ NPL ก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับปริมาณสินเชื่อที่ปล่อยได้มากขึ้นแล้วก็มีสัดส่วนแค่ 1.93% เท่านั้นเอง ถือว่าน้อยที่สุดในระบบ; coverage ratio ก็อยู่ในระดับสูง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ระดับเงินลงทุนก็เพิ่มเป็น 67,xxx ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมาก Investor Joe ไปเช็คการถือ REIT กับกองทุนอสังหาฯ ของ LHFG รอบปิด book เดือน 11 และ 12 ก็มีการถือครองตัวเดิมๆ ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นและมีตัวใหม่เข้ามาใน portfolio ด้วย เช่น amatar, egatif, tffif ก็ไม่แปลกใจที่รายได้เงินปันผลจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ถึงแม้ว่าจะกำไรดี LHFG คงเป็นหุ้นตัวเล็ก เลยไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ อีกทั้งถึงแม้ว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ยังได้รับผลกระทบจากการเพิ่มทุนเมื่อปีก่อนอยู่ EPS เลยทรงตัว แต่ปีต่อๆ ไป Investor Joe เชื่อว่าจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวของ LHFG กับ CTBC Bank แล้วนะครับ
อ่านเรื่อง LHFG จะมาเน้นเรื่อง Trade Finance และ Wealth Management ได้ที่ https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?release=y&ref=M&id=VW5Ea3JIMGZ5Ync9
สำหรับ Investor Joe แล้ว ธนาคารแต่ละแห่งก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ Investor Joe สนใจที่เขาปล่อยกู้ใคร ปล่อยกู้โดยมีการตรวจสอบที่เข้มงวดหรือไม่ สนใจมากกว่าจำนวนเงินที่ปล่อย เพราะสุดท้ายแล้วปัญหาของธนาคารหลักๆ ก็คงยังเป็นเรื่อง NPL ที่มาจากการปล่อยกู้ที่ไร้คุณภาพก่อนเสมอ เรื่องเทคโนโลยี เดี๋ยวเจ้านี้มี อีกเจ้าก็มี ตามๆ กันไป ไม่น่าเป็นห่วง
สรุป
ถึงแม้ว่าราคาหุ้น LHFG จะยังไม่สะท้อน growth ระยะยาว แถมลงอีกต่างหาก :-( แต่ยังไงก็แล้วแต่ ด้วยความแน่นอนของโมเดลธุรกิจ Investor Joe คงจะถือ LHFG ไปเรื่อยๆ จนลูกโตแหละครับ ถือแล้วกินได้ นอนหลับ ไม่ต้องกลัวใครมาปั่นหุ้น ปีนี้คงจะได้รับเงินปันผลจาก LHFG ประมาณ 0.07-0.08 บาทต่อหุ้นไปพลางๆ ก่อน อันนี้ก็เพิ่มขึ้นทุกปีเหมือนกัน เท่านี้ก็พอใจแล้ว
อ้างอิง
https://ir.listedcompany.com/tracker.pl?type=6&id=696328