|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ส า ร ะ จ า ก พ่ อ คำ เ ดื่ อ งเรื่องเกษตรประณีต
โลกใบใหญ่ แต่ไม่เท่าใจอยาก...
พ่อคำเดื่อง ภาษี ..ปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสาน ผู้เรียนรู้ธรรมชาติจนสามารถพลิกฟื้นชีวิตตัวเอง และพยายามพลิกฟื้นแผ่นดินอิสานให้เขียว
บอกว่าปัญหาของโลกเราทุกวันนี้ เกิดจากการไม่เข้าใจธรรมชาติ และไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างพอเพียง
การพัฒนาของโลกเป็นไปอย่างผิดทิศผิดทาง ความต้องการของคนนั้นมากขึ้นทุกวัน พอคนเยอะขึ้นโลกก็ถูกแบ่งซอยไป ทรัพยากรธรรมชาติก็น้อยลง ยิ่งใช้ก็ยิ่งน้อยลง...
..ความต้องการของคนนั้นสวนทางกับธรรมชาติ ไม่มีความพอดี.. ปัญหาต่างๆ จึงตามมามากมาย
กิจกรรมที่เป็น Hi-Light ของโครงการนี้ คือ การอบรมวิธีคิดให้เกิดความ .. เข้าใจเรา เข้าใจโลก เข้าใจธรรมชาติ .. โดยพ่อคำเดื่องได้พาชาว Tree O Camp ชมแปลงเกษตรประณีตและไร่
ความรู้หลักๆ ที่พ่อคำเดื่องอธิบายคือ เรื่องของการเรียนรู้ธรรมชาติ ที่จะมีการจัดสรรกันเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีวงจรที่เป็นวงกลม พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ถ้าเราได้เรียนรู้ก็จะพบว่า ไม่จำเป็นที่มนุษย์จะต้องเข้าไปแทรกแซง ด้วยการใช้สารเคมีใดๆ เลย
ซึ่งความรู้หลายอย่างที่พ่อคำเดื่องได้เรียนรู้จากโรงเรียนธรรมชาตินั้น ก็หักล้างความรู้ทางวิชาการเดิมๆ ที่เคยเชื่อถือกันมาอีกด้วย
.. เพราะจริงๆ แล้วธรรมชาติสามารถดูแลกันเอง กำจัดศัตรูด้วยวิธีการทางธรรมชาติเอง แต่ที่สำคัญ เราต้องมีองค์ความรู้ และเข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริง ...
พ่อคำเดื่องบอกว่า “เกษตรประณีตคือวิธีการแก้ปัญหาของคนแก้ตัว ความจำกัดของทรัพยากรไม่ใช่ปัญหา ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ รู้จักวางแผน และจัดสรรการใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และพอเหมาะพอดี
.. ขอให้เราได้เริ่มต้น ถ้าเราได้เริ่มต้นลงมือทำ และเรียนรู้ เราก็จะรู้เอง .. และถ้าเรารีบรักษาธรรมชาติ เราก็จะเห็นผลเร็ว ..
ไม้โตเร็ว ก็คือ ไม้ที่ปลูกเร็ว ไม้โตช้า ก็คือ ไม้ที่ปลูกช้า ไม้ที่ไม่โต คือไม้ที่ไม่ได้ปลูก
เราไม่จำเป็นต้องนั่งรอให้ต้นไม้โต อย่างที่คนมักจะอ้างว่า ปลูกแล้วเมื่อไหร่มันจะโต … ก็จะไปนั่งรอทำไม ปลูกแล้วจะไปไหนก็ไป ไม่เห็นต้องรอ” ...
พ่อคำเดื่องอธิบาย แถมด้วยมุขตลกทิ้งท้าย
เรียนรู้เพื่ออยู่กับธรรมชาติอย่างพอเพียง
พ่อคำเดื่องมักพูดเสมอว่า ความรู้ที่ตนกำลังพยายามเผยแพร่นั้น ไม่ใช่ความรู้ด้านการเกษตร แต่เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ และ เข้าใจความต้องการ ที่แท้จริงของชีวิตแล้ว เราจะมีวิถีชีวิตที่เป็นสุข โดยไม่เบียดเบียนธรรมชาติ และยังมีทรัพยากรธรรมชาติ เป็นมรดกให้กับลูกหลานสืบไป..
พ่อคำเดื่องปรับแนวคิดใหม่ในทุกๆ เรื่อง ทั้งแนวคิดการทำเกษตรที่พึ่งพาธรรมชาติ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ปรับชีวิตให้พออยู่พอกิน ไม่หวังผลอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นแก่ผลทางการเงินเป็นเป้าหมายสูงสุด
..พ่อคำเดื่องเรียนรู้ธรรมชาติเพื่อวางแผนจัดสรรทรัพยากรทุกอย่างที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ..ซึ่งเป็นแนวทางที่พ่อคำเดื่องบอกว่า
“ ทำทีเดียว ได้ทุกอย่าง ”
เกษตรประณีต “ ทำทีเดียว ได้ทุกอย่าง ” นวัตกรรมที่โลกจะต้องใช้ต่อไปจากนี้
เกษตรประณีต คือการเริ่มต้นจากเล็กๆ ไม่มีข้อจำกัด มีพื้นที่เล็กๆ ก็ทำได้ และเมื่อมีความรู้แล้ว จะขยายไป ก็ไม่มีความเสี่ยง
การใช้พื้นที่น้อย เช่น พื้นที่ 1 ไร่ ก็สามารถทำได้แล้ว ซึ่งการมีพื้นที่น้อย เป็นการบังคับให้เราต้องวางแผนให้ดี
วางแผนในการจัดการดิน จัดการน้ำ จัดการเวลา รู้จักการออมดิน ออมน้ำ การจัดการอากาศ จัดการแสง จัดการปัจจัยต่างๆ ทั้งหมด
ซึ่งก็คือ การวางแผนเพื่อจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
..เราสามารถที่จะปลูกพืชได้ครบทั้ง 9 ประเภท ในพื้นที่เล็กๆ นี้ คือ ไม้ยืนต้น ผัก ผลไม้ สมุนไพร ไม้ประดับ ไม้หอม พืชกินหัว พืชเถา และพืชเรี่ยดิน ..ถ้าเรามีความรู้ที่ถูกต้อง
คุณครูธรรมชาติ
ความรู้สมัยใหม่ที่เราหลงใหลมานาน มักจะบอกว่าการปลูกพืชแต่ละต้นต้องมีระยะห่าง แต่ที่ธรรมชาติสอนเรานั้น บอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้น
สมมติว่าเราปลูกกล้วย โคนกล้วยเราก็ปลูกพริก ปลูกมะเขือ หรือปลูกไม้ยืนต้น อย่างตะเคียนทอง ยางนา ฯลฯ
พืชแต่ละอย่างป้องกันแดดให้กันและกัน ดูดน้ำและธาตุอาหารที่ต่างกัน และยังเป็นการจัดการที่ดินทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ..อย่างการรดน้ำ พวกพริก มะเขือ มีรากอยู่ผิวดิน ก็จะดูดน้ำผิวดินไปใช้ ก่อนที่น้ำจะซึมไปให้พวกตะเคียนทองได้ดูด หญ้าก็เช่นเดียวกัน มันไม่ได้แย่งอาหาร แต่จะป้องกันไม่ให้น้ำระเหยเร็วกว่าปกติ เวลาตายก็กลายเป็นปุ๋ยอีก
พืชแต่ละอย่างมีความแตกต่างกันในเรื่องปัจจัยความต้องการ หากจะจัดสรรให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ต้องจัดอย่างไม่ให้เกิดการเบียดเบียนกัน ต้องเข้าใจพืชนั้นๆ ความต้องการน้ำ ความต้องการแสง ความต้องการดิน ฯลฯ เพื่อจัดวางตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนนี้เราสามารถเรียนรู้ศึกษาได้จากธรรมชาติ
....นอกจากนี้ เกษตรประณีตยังเป็นการเริ่มต้นสร้างระบบนิเวศน์ เพราะการปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่เดียวกันนั้น จะทำให้เกิดการจัดการศัตรูพืชอย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ( เพราะสีสันที่สดใส หรือกลิ่นของพืชบางชนิด เช่น โหระพา จะเป็นสิ่งป้องกันแมลงไปในตัว ) และยังสามารถเป็นที่พึ่งพิงของสัตว์ได้อีกด้วย
คิดนอกกรอบ
เกษตรประณีตไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว
เพราะความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่ขอให้คิดออกจากกรอบเดิมๆ มีความหลากหลาย ประยุกต์ได้หลายรูปแบบ
แต่ต้องเป็นไปอย่างเกื้อกูลและสมดุล พยายามใช้ที่ดินให้เต็มประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ความต้องการของเจ้าของจะเป็นตัวกำหนด รวมทั้งต้องปรับความคิดให้เกิดการพึ่งตนเองมากที่สุด
ที่สำคัญ ต้องเข้าใจ อยู่ร่วมกับธรรมชาติ พึ่งพาธรรมชาติ โดยไม่เบียดเบียนกัน
คุณค่าของชีวิต
อุณหภูมิในไร่ ที่แตกต่างจากภายนอก 5-6 องศา
..ปุ๋ยใบไม้ที่ไม่เคยต้องซื้อหา
.. พืชผักสวนครัว ผลไม้ สมุนไพร ปลา ที่มีให้กินไม่มีวันหมด เพราะปลูกและเลี้ยงไปเรื่อยๆ
..หิ่งห้อยหลายสายพันธ์ ตัวเล็กตัวใหญ่ ที่พ่อคำเดื่องเชื้อเชิญให้ไปดู
...ต้นไม้ใหญ่หลายชนิดเต็มไร่ เอาไว้ให้ลูกหลาน ปลูกบ้านในอนาคต
...และความหลากหลายทางชีวภาพอีกมากมายในไร่ ได้สร้างระบบนิเวศน์ซึ่งเป็นที่พึ่งพากันของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ให้เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ..
...พ่อคำเดื่องใช้เวลาทำงานน้อย แต่ได้ผลตอบแทนเยอะเพราะเข้าใจธรรมชาติ
...ลูกๆ ภูมิใจ ที่เห็นพ่อเป็นแบบอย่างแก่คนทั่วไป และดำเนินตามรอยพ่อ มีอาชีพและอนาคตแบบเรียบง่าย แต่มีความสุข และไม่ต้องดิ้นรนออก ไปหางานทำให้ไกลหูไกลตา ครอบครัวพร้อมหน้า ชีวาเป็นสุข
สิ่งเหล่านี้ คือรายได้ ที่พ่อคำเดื่อง ไม่เคยคิดคำนวณบวกลบคูณหารเป็นตัวเงิน เพราะคุณค่าของมันมากมายกว่านั้นหลายเท่านัก เพราะนี่คือ คุณค่าของชีวิต ที่เงินไม่อาจซื้อหาได้
..ทั้งๆ ที่สิ่งของหลายอย่างในไร่ อาจเปลี่ยนเป็นตัวเงินได้ แต่พ่อคำเดื่องกลับปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพยากรหมุนเวียนภายในไร่
เพื่อสร้างและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติของโลก ให้คงอยู่ เป็นสมบัติอันมีค่าให้ลูกหลานสืบไป...
วิถีชีวิตที่เป็นสุข ที่ทุกคนปรารถนานั้น แท้จริงแล้วอยู่ที่ใด
..เราอาจไม่เคยตั้งคำถามจริงจังกับตัวเราเอง และดิ้นรนแสวงหาแต่สิ่งภายนอก ที่เราคิดว่า สามารถตอบสนองความสุขให้กับชีวิตเราได้
เป้าหมายสำคัญในชีวิตของคนเราส่วนใหญ่ ก็คงไม่พ้นวังวนที่พ่อคำเดื่อง เคยหลงติดอยู่ในนั้นมาก่อน
ดังประโยคที่ว่า “ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ”
..การทำงานหนักของเรา จึงเพื่อหาเงินมาตอบสนองความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด
..บางครั้งเราอาจ เบียดเบียนธรรมชาติ เบียดเบียนตัวเอง ลืมคิดถึงลูกหลานในอนาคต
ใช้ทรัพยากรราวกับว่ามันจะไม่มีวันหมด
ใช้ชีวิตซับซ้อน ฟุ่มเฟือย อย่างเกินความจำเป็น
จุดเริ่มต้นแรกของวิถีแห่งความพอเพียง และการพึ่งตนเองนั้น อาจเป็นการย้อนกลับมามองดูตัวเอง
ตั้งคำถามถึงสิ่งที่ต้องการแท้จริงในชีวิต
บางทีความต้องการสูงสุดของคนเรานั้น อาจกลับคืนสู่ความเรียบง่ายที่เราเคยมองข้าม
อาจหมายถึงคุณค่าบางอย่างที่เราหลงหาเงินมาเพื่อซื้อหามัน
แต่แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นอยู่รอบตัวเรานี่เอง แต่เราไม่เคยเห็นคุณค่าและคิดที่จะรักษา ซ้ำกลับทำลายเพื่อสร้างสิ่งที่เราคิดว่าศิวิไลซ์กว่า
หลักการจัดสรรการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด คงไม่ได้นำไปใช้ได้แค่การปลูกต้นไม้ หรือทำการเกษตร
ถ้าทุกคนรู้จักเรียนรู้ เพื่อเข้าใจธรรมชาติของชีวิต
ไม่ไปแทรกแซงหรือเบียดเบียนให้เกิดความสูญเสีย ..
ความสมดุลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก็จะช่วยโอบอุ้มทุกชีวิต ให้ดำเนินไปอย่างงดงามได้
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ประกอบอาชีพใด
ชีวิตที่มีความสุขและความสมดุล ก็อยู่ไม่ไกลเกินจะก้าวไปถึง..
ขอบคุณเรื่องราวเรียบเรียงจากคุณ : NovemberSky100 และเครดิตภาพจากคุณ: AimH
Create Date : 17 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 18 สิงหาคม 2553 0:05:10 น. |
|
1 comments
|
Counter : 993 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
เผอิญได้มีส่วนร่วมในกระทู้เฉลิมไทยที่กล่าวถึงเรื่องนี้
จึงทราบว่านอกจากคุณ NovemberSky100 แล้ว
ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดที่น่าสนใจ
ของพ่อคำเดื่อง คือคุณชมะฯ และเพื่อนๆ จากทีมงาน
Simple Secrets Society ตามที่แจ้งไว้ในกระทู้นะคะ
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่ได้ช่วยกันเผยแพร่แนวคิดดีๆ
ที่น่าสนใจของพ่อคำเดื่อง และเชื่อว่าพ่อคำเดื่องคงดีใจมาก
ที่ทราบว่ามีผู้สนใจความคิดและแนวคิดของท่านในเรื่องนี้