ข้อความต่อจากนี้ไป เป็นการประจานตัวเองหน้าปกที่เห็น ต้นฉบับปกทำเบลอไว้ให้แล้ว
คงไม่ต้องป้ายยาหม่อง หรือเติมม่านหมอกแห่งศีลธรรม
แต่เชื่อไหม ครั้งแรกที่ไปซื้อหนังสือเล่มนี้
จขบ. ไม่ได้มองเห็นเลยว่าปกเป็นเช่นนี้และไม่รู้เลยว่าตัวเองหยิบ โลกิยนิยายมา
อันนี้เป็นความจริงทั้งหมด
เมื่อวันหนึ่งยามดึก จขบ. สี่ตา เดินไปร้านหนังสือหาอะไรอ่าน
ร้านเขาก็ใกล้ปิด เราเองก็ใกล้กลับบ้าน หลังจากเดินซื้อของสบายอารมณ์
วันนั้นจำได้ว่าคว้าหยิบหนังสือมา 3-4 เล่ม
หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องนี้
แค่เห็นว่าเป็นปกภาพวาดจีน ก็ไม่ได้มองอะไรมาก
ชื่อเรื่อง ก็ด้วยความโง่เขลา ไม่เคยรู้ว่าหนังสือเรื่องนี้คือแนวไหน
หน้าปกคำโปรยอะไรก็ไม่ได้อ่าน
คว้าสอยหยิบรวบไปกับหนังสือเล่มอื่น
ด้วยล้วนตีความไปเองทั้งสิ้น จากชื่อเรื่อง
ว่ามันคงเป็นพวกปรัชญา ตีความ แนวคิดอะไรแหงๆ
(แล้วก็กลายเป็นหนังสือปรัชญาทางโลก... ไปจนได้ เหอะๆๆ
จนวันหนึ่งหยิบขึ้นมาอ่าน ความโง่ก็ยังบังตาที่มีอยู่ 4 ตา
เปิดอ่านโดยข้ามคำนำ ไปอ่านเนื้อหาเลย
อ่านแรกๆก็ไม่คิดอะไร คิดว่าคงเป็นนิยายจีนธรรมดา
พออ่านสักพัก อะไรหว่า โอ้... มีอย่างนี้ด้วย
แล้วก็ตาสว่าง เมื่อพิจารณาปกดีๆ
โอ้แม่เจ้า... มันช่าง... ข้าน้อยตาต่ำใช่ไหมที่มองไม่เห็นแต่แรก
ปกออกจะโจ๋งครึ่ม แถมหน้าปกก็บอกไว้เด่นชัด
"โลกิยนิยาย"แล้วตูทำไมมองไม่เห็นแต่แรกหว่า
(ที่สำคัญ มิน่า ทำไมตอนไปหาเจอ มันซุกอยู่ชั้นล่างสุดของชั้นหนังสือ)
อ่านมั่ง วางมั่ง คงเพราะมันไม่ได้จูงใจในเนื้อหาอย่างหนังสือที่ปกติชอบอ่าน
เลยอ่านมั่ง หยุดมั่ง จนหยุดไปนานจนลืมไปว่ามีหนังสือเล่มนี้
แล้วมาวันหนึ่งจำได้ว่าคุยเรื่องทะลึ่ง ลามกกับเพื่อน
เลยนึกขึ้นได้ ว่ายังมีหนังสือเล่มนี้ตกตะกอนนอนก้น อยู่ในชั้นหนังสือที่บ้าน
เล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง แล้วก็จบท้ายด้วยการเพื่อนลองยืมไปอ่าน
แล้วหลังจากนั้นก็แจกจ่ายวนเวียนให้สหายหลายต่อหลายคนอ่าน
โดยที่เจ้าของมันยังคงโง่งมต่อไป
เดิมทีว่าจะเอาหนังสือเรื่องนี้ประเดิมแปะในส่วนของ
"ร้านน้ำชา"ด้วยเห็นว่าเนื้อหา สำนวนไปทางแนวจีนโบราณ
แต่เกรงว่า หากแปะไป อาจจะมิใช่ร้านน้ำชา
มั่นใจว่าคงกลายเป็น
"โรงน้ำชา" อาคาร 7 ชั้นเป็นแน่
ไม่ก็กลายสภาพเป็น
"หอโคมเขียว" ไปเสียก่อน
พอดี มาเปิดส่วนที่พูดถึงเรื่องหนังสือ
เลยนำมาพูดถึง ก่อนที่หนังสือจะน้อยใจ
อ่านก็อ่านไม่จบ เลยเขียนบลอคให้นะจ๊ะ