ธันวาคม 2548

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
9
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
๒๒๒ ถึ ง เ ธ อ ค น นั้ น ๒๒๒
วันนี้ที่นี่ฝนตกอีกแล้ว ฝนตกปรอย ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานแดดออก ส่องแสงร้อนจ้าไปหมดจนผมแทบจะหมดความอดทนกับฤดูฝนที่กลายเป็นฤดูร้อนอย่างผิดปกติในปีนี้

แต่พอฝนตกลงมามันก็เลยลดความร้อนของผมลงไปได้บาง และในขณะเดียวกันมันก็ไปกระตุ้นเตือนต่อมแห่งความทรงจำบางเรื่องของผมเข้า...

ฝนตก...ทำให้ผมคิดถึงใครบางคนอย่างจับใจ ใครบางคนซึ่งตอนนี้เค้าน่าจะลืมผมไปแล้ว...และเธอก็เป็นคนที่ไม่ใช่ภรรยาของผมในตอนนี้

เรื่องราวระหว่างเรามันเกิดมาเนิ่นนานแต่มันยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ ... เรื่องระหว่างเราเกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนที่ฝนตกหนัก

วันแรกที่ผมไปเริ่มงานที่โรงงานใหม่ ๆ ฝนตกหนักตลอดวัน ที่ด้านล่างตึกออฟฟิศที่ผมไปรายงานตัว มีห้องกระจกห้องหนึ่งที่แยกจากออฟฟิศชั้นสาม มาอยู่ที่นั่น ติดป้ายหน้าห้องว่า ห้องหัวหน้าแผนกขนส่งและสต๊อคสินค้า

พอมองผ่านเข้าไปผมก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ท่าทางคงจะเป็นเจ้าของห้อง ๆ ผู้หญิงขี้โวยวาย โมโหฉุนเฉียว เสียงดัง และปากจัด เวลาเห็นเธอทีไร ผมก็ได้แต่อมยิ้มกับกิริยาอาการของเธอเสมอ

ไม่มีครั้งใดที่ผมเห็นเธอ แล้วเธอจะไม่ยุ่ง นั่นคือคำสรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ของผมและทุกคนในโรงงาน ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง เธอมีงานยุ่ง และวุ่นวายอยู่เสมอ

และไอ้ทุกกิริยาอาการของเธอนั้นก็มาจากงานที่ไม่ได้สเป็ค ลูกน้องสั่งไม่ได้เรื่องได้ราวสั่งหนึ่งเอาสองมาให้ประมาณนั้น แต่ทุกสิ่งที่เธอทำก็เพื่อให้งานที่เธอรับผิดชอบออกมาได้ดี

จริง ๆ ผมก็รู้ว่า ไอ้อาการโวยวาย ปากจัด เสียงดังของเธอนั้นจะเป็นเหมือนเกาะคุ้มกันตัวจริงของเธอต่างหาก ตัวจริงที่เธอซ่อนมันไว้ข้างใน...

ไว้ผมจะเล่าให้คุณฟังทีหลังนะ...

“แหวนสวยนะ” ผมเหลือบตามองคนที่พูดกับผม คนพูดที่ยืนทำหน้าเครียดสั่งงานอยู่ข้าง ๆ ผมที่กำลังซ่อมเครื่องอยู่ เธอมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“ครับ” ผมยังคงเอ๋อ ๆ ว่าเธอพูดกับผมหรือเปล่า แต่เธอพูดกับผม ...เธอเหลือบตามองมานิดหนึ่งพร้อมยิ้มบาง ๆ “แหวนคุณก็สวย”

“นี่เหรอ” เธอยกมือซ้ายที่สวมแหวนเทอร์คอยซ์ รูปวงรีสีฟ้าอมเขียวที่สวมติดอยู่ที่นิ้วนางขึ้นมาตรงหน้าผม ซึ่งที่นิ้วกลางข้างขวาของผมนั้นเป็นแหวนเทอร์คอยซ์รูปสี่เหลี่ยม และในตอนนั้นก็พอทำให้ผมเดาได้ว่าเธอชอบเครื่องประดับหินชนิดนี้มากเพียงใด

และนับแต่วันนั้น ผมและเธอก็เริ่มทำความรู้จัก ทักทายกันมากขึ้น มากขึ้นตามวันเวลาที่เพิ่มมากขึ้น โดยต่างคนต่างเอาความรู้สึกมาเจอกัน

“ชอบคำนี้จัง เอาความรู้สึกมารู้จัก มาเจอกัน” เธอเอ่ยปากบอกผมในวันหนึ่งในหลายวันที่เราคุยโทรศัพท์กันอย่างนี้

“แล้วเราเจอกันหรือยัง” ผมเอ่ยปากถาม เธอเงียบ ๆ ไปก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียด ซึ่งผมแปลไม่ได้ว่ามันหมายความว่าอะไร

“แล้วคิดว่าอย่างไรล่ะ” ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากออกมา

“เจอแล้ว” ผมตอบ และในคำตอบนั้นแม้ว่ามันจะผิดในความรู้สึกของผม แต่ผมก็อยากบอกให้เธอรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับผม ตัวผม...

ในทุกวันที่เราแยกกันกับบ้าน ผมมักจะอดไม่ได้เสมอที่จะโทรหาเธอหลังสองทุ่ม เพราะรู้ว่าเธอจะถึงบ้านแน่นอนแล้ว และแม้ว่าเราจะเจอกันที่โรงงานแทบจะทุกวันแล้ว ผมก็ยังมีเรื่องราวที่คุยกับเธอไม่หมดสิ้น และบ่อยครั้งที่เราคุยกันจนถึงเช้า

และผลของการคุยโทรศัพท์มาราธอนนั้นทำให้ต่างคน ต่างพกหมีแพนด้ามาทำงานด้วยกันทั้งคู่ จนเธอเองเป็นฝ่ายทนไม่ไหว

“เราจำกัดเวลาคุยกันเถอะ คุยกันถึงเช้าอย่างนี้ไม่ไหวแล้วนะ”

“สองทุ่มถึงหกทุ่ม” ผมจำได้ว่าบอกเธอไปอย่างนั้น เธอตีหน้ายุ่ง ๆ ก่อนจะต่อรองว่า

“สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม”

“ทำไม”

“เธอจะได้พักผ่อนไง อย่าลืมนะว่าตัวเองทำงานกับเครื่องจักร ส่วนเราทำงานกับคนมันไม่เท่าไรหรอก”

ผมซาบซึ้งกับความห่วงใยของเธอในคำพูดประโยคนั้น และมันก็เป็นเช่นนี้มาเรื่อย ๆ จนคนสองคนไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ความผูกพัน นั้นได้กลายเป็นความรัก ที่เรารู้สึกได้ ในส่วนลึกของหัวใจผม และผมเห็นความรักนั้นอยู่ในแววตาของเธอเช่นกัน

แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงมัน เพราะต่างคนต่างรู้ว่า ระหว่างเรามีเส้นคั่นบาง ๆ กั้นกลางอยู่ มันเป็นเส้นที่เธอเป็นคนลงมือขีดไว้ และเป็นเส้นที่ผมข้ามผ่านไปไม่ได้

“ถ้าถนนที่เรากำลังเดินกันไปอย่างนี้ มันไม่มีปลายทางล่ะ” ผมเอยปากถามเธอในวันหนึ่งที่เราไปเที่ยวทะเลยด้วยกัน และตัวผมก็เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองกำลังอยากจะข้ามเส้นที่ตัวเองข้ามไปไม่ได้นั้นไป

“มันก็อยู่ที่ว่าบนถนนนั้นมีนายอยู่ด้วยหรือเปล่า” เธอตอบพร้อมทอดสายตามองเกลียวคลื่นอยู่เงียบ ๆ

“ถ้าเรากำลังเดินอยู่ด้วยกัน โดยที่รู้ว่า ถนนเส้นนี้ไม่มีปลายทางล่ะ” ผมเอ่ยถามเธอไปอีกครั้ง

“ก็ ไหน ๆ ก็ลงเดินมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องลองเดินต่อไปให้สุดล่ะ ไม่ว่าปลายทางจะสิ้นสุดตรงไหนก็ตรงนั้น อยู่ที่นายนั่นแหละว่าจะเดินไปสุดทางด้วยกันหรือเปล่า เจ้าแมวยักษ์” เธอบอกผมง่าย ๆ และพักหลังเธอมักเรียกผมด้วยคำ ๆ นี้เสมอ

“ผมยาวมากแล้วนะ” จู่ ๆ เธอก็หันมามองผมพร้อมรอยยิ้มที่ผมไม่เคยลืม

“อื่อ ...มัดให้หน่อยสิ เริ่มรำคาญแล้วเหมือนกัน” ผมบอกเธอง่าย ๆ พร้อมกับยื่นหัวไปใกล้ ๆ เธอหัวเราะก่อนจะแกะหนังยางที่มัดผมตัวเองออกมามัดผมของผมแทน

“แมวตัวใหญ่ ขี้อ้อนไม่เข้าท่า” เธอว่าผมอย่างนั้นก่อนจะเอนตัวลงนอนง่าย ๆ บนพื้นทราย ผมทำบ้าง

ระยะหลัง ๆ มานี่ เธอมักจะเรียกผมจนติดปากว่า แมว เจ้าแมว หรือนายแมวยักษ์บ้าง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ชื่อผมสักนิดเดียว แต่ผมก็ยินดีที่จะให้เธอเรียกอย่างนั้น และดูเหมือนมันจะกลายเป็นอีกชื่อของผมไปแล้วนะสิ...

แล้ววันแห่งเหตุผล และการลาจากก็มาถึง ผมจำได้ว่าผมเคยสอนเธอไปว่า ...อย่าเอ็นดูใคร จนเป็นเอ็นดูเขา เอ็นเราขาดก็แล้วกัน...

วันนี้เธอยอมเป็นคนเอ็นขาด อาจเป็นเพราะผมนี่แหละคือต้นเหตุของเรื่องทั้งปวง เธอไม่เคยล้ำเส้นของความเป็นเพื่อนเข้ามา และไม่เคยบอกรักผม และผมก็เคยบอกว่ารักเธอ แต่เรารู้จากความรู้สึกที่มาเจอกัน

สาเหตุมันก็แค่ผมมีใครอีกคนอยู่แล้ว...และเธอรู้ตั้งแต่แรก

ต่างคนต่างใช้ชีวิต และเวลาที่มี ให้คุ้มค่า และไม่ล้ำเส้นของกันและกัน โดยทำเป็นลืม ๆ ไปซะ เหมือนทุกครั้งที่ผมบอกกับเธอ

“ลืม ๆ ไปซะไม่ได้หรือไง ตอนนี้มีแค่คุณกับผม ก็ดีอยู่แล้ว”

“ลืมไปนะเหรอว่าเธอมีใครอยู่แล้ว เหอะ...” เธอหันหน้าหนีผมไปอีกทาง ผมรู้เธอเสียใจ จริงๆ ถ้าผมไม่รับโทรศัพท์สายนั้นก็จะดีหรอกเราจะได้ไม่ต้องเริ่มทะเลาะกัน

“ลืมไปได้ไหม” ผมจำดวงตาของเธอในวันนั้นได้ดี รอยตาของความเจ็บปวดทั้ง ๆ ที่พยายามอย่างเต็มที่ ๆ จะแสดงว่าตัวเองปกติ และเข้มแข็ง

“เราไม่ลืม และไม่เคยลืม อย่ามาบอกให้เราลืมในความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่ แค่นี้มันก็ดีอยู่แล้ว อยากหลอกตัวเองเลยนะ” เธอบอกผมอย่างนั้น พร้อมรอยยิ้มที่เธอคิดว่าดูดีที่สุด แต่แย่ที่สุดในความรู้สึกของผม

“....................” ผมพูดอะไรไม่ออก ทุกสิ่งที่เธอพูดมันเป็นความจริง และเธอยอมรับความจริงและอยู่กับมันมาตลอด แต่ผมเปล่า...

“ถ้าเรามาเจอกันก่อนหน้านี้ก็คงดีนะ” ในที่สุดผมก็เป็นคนทนความเงียบที่ผมเป็นคนก่อขึ้นมาไม่ไหว

“เจอกันตอนไหนก็เหมือนกัน”

“ไม่เหมือน ถ้าแค่ ผมไม่ใช่คนที่พลาดในวันนั้น ก็คงไม่มีเค้าในวันนี้” ผมยอมรับว่าผมมีใครอีกคนเพราะความเมา และพลาดเองในวันก่อนเก่า มันเลยกลายมาเป็นผลที่ต้องทำใจให้ยอมรับจนถึงตอนนี้

“ใคร ๆ ก็พลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ เราก็เจอกันแล้ว ดีแล้วที่เป็นอย่างนี้” เธอบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ผมจับความผิดปกติจากสายตาเธอได้

เราเงียบกันไปนาน และนานจนในที่สุดเธอก็พูดขึ้นมาว่า

“คนที่รักกันไม่จำเป็นจะต้องเป็นคน ๆ เดียวที่เราจะใช้ชีวิตร่วมกันก็ได้นะ” แล้วเธอก็ลุกเดินจากไป

ผมเข้าใจประโยชน์นั้นของเธอดี และผมเข้าใจทุกสิ่งที่เธอทำดี เส้นบาง ๆ ที่คั่นเราไว้ เธอไม่ก้าวข้ามมา และผมก็ไม่มีความกล้าที่จะข้ามไป ต่างคนต่างอยู่ในที่ของตน มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่กำลังพูดคุยกันเงียบ ๆ

หลังจากวันนั้นผมและเธอ พูดจากันน้อยลง มีเพียงสายตาที่ยังมองหาถึงกันเสมอ มีเพียงเหตุผลที่ผมไม่เคยเข้าใจ คือ การที่เธอหายไปเงียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมเองต่างหากที่สมควรจะเป็นคนไปจากเธอ

“ลาออกแล้ว” นั่นเป็นคำที่เพื่อนเธอบอกให้ผมฟัง หลังจากผมกลับมาจากพักร้อน และไม่พบเธอที่ห้องกระจกนั้น

ผมโทรไปหาเธอ แต่มือถือเบอร์นั้นถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว โทรไปที่บ้าน ทางบ้านเธอก็บอกกับผมว่าเธอไปต่างจังหวัด...

ผมเพิ่งมารู้ในตอนหลัง ๆ ว่า คนของผม เธอคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราเธอเป็นคนยอมถอยออกไป ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเธอ เธอยอมไปทั้ง ๆ ผมต่างหากที่ควรจัดการให้คนของผมอยู่เป็นที่เป็นทาง ผมรู้ว่ามันมันผิด...

คนขี้โวยวายคนนั้นไม่มีอีกแล้ว เธอหายไปพร้อม ๆ กับวันเวลาที่เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก็ซ่อนคนขี้โวยวาย โมโหร้าย ปากจัด คนนั้นไปพร้อมกัน ซ่อนเธอจากผม และซ่อนเธอจากความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่

ผมรู้ว่าเธอเจ็บมากมาย แต่...ข้ออ้างเพียงข้อเดียวที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันขาดวิ่นจนหารอยต่อไม่เจอ ...ลูกสาวของผม

ผมไม่โทษคนของผม และผมก็ไม่โทษที่เธอหายไป ผมเพียรโทษความโง่งมของตัวเองต่างหากที่ดึงเธอเข้ามา โทษที่ผมไม่เด็ดขาดไม่เข้มแข็ง พอที่จะเลือกใครคนใดคนหนึ่ง

หรือแม้ว่าจะอธิบายว่าสิ่งที่เราสองคนรู้สึก จะเป็นเพียงเพื่อนกัน เพราะความรู้สึกอื่นนอกจากนั้น จะถูกขีดด้วยเส้นบาง ๆ เส้นแห่งศีลธรรม ของเธอ และเส้นความความรับผิดชอบของผม แต่ไม่มีใครรู้และเข้าใจ...

ทุกวันนี้แม้ว่าใครจะเรียก แมว หรือ อะไรก็ตามผมมักจะหันไปมองหาเสมอ ด้วยหวังว่าในวันหนึ่งผมอาจพบเธอที่ไหนสักที่บนโลกกลม ๆ ใบนี้

สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือ เธอ จะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข และผมก็จะมีความสุขเมื่อคิดเช่นนั้น แต่พอเห็นฝนตกทีไร ใจผมก็พลอยแต่จะคิดไปถึงเธอคนนั้นไม่ได้ว่าป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่ที่ไหน และที่สำคัญ เธอมีความสุขดีอย่างที่ผมคาดหวังไว้หรือเปล่า..

ผมในตอนนี้ แค่อยากบอกเธอว่า...ผมคิดถึงเธอ...เพียงเท่านั้น



Create Date : 07 ธันวาคม 2548
Last Update : 7 ธันวาคม 2548 11:54:02 น.
Counter : 438 Pageviews.

1 comments
  
เรื่องของความรู้สึกนี่มันพูดยากจริงๆนะ
โดย: wormearth IP: 58.136.199.254 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:46:53 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จิตปาตลี
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นในบล็อคนี้ เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของเรื่อง


คนที่จากไปอาจจะดีกว่า
คนที่เหลืออยู่ข้างหลัง....
เพราะการเหลืออยู่เพียงคนเดียว
มันทุกข์ทรมานยิ่งกว่า
การตายไปแล้วเสียอีก...



Love of my life
you've hurt me
You've broken my heart and now you leave me
Love of my life can't you see
Bring it back, bring it back
Don't take it away from me
Because you don't know -
What it means to me

Love of my life - don't leave me
You've taken my love and now desert me
Love of my life can't you see
Bring it back, bring it back
Don't take it away from me
Because you don't know -
What it means to me

You will remember -
When this is blown over
And everything's all by the way -
When I grow older
I will be there at your side to remind you
How I still love you - I still love you

Back - hurry back
please bring it back home to me
Because you don't know
What it means to me

Love of my life
Love of my life ...



คืนนี้ มันช่างซาบซึ้งถึงไออุ่น
เมื่อเราสองเคียงข้างกัน
คืนนี้ ไม่เป็นแค่ความฝัน
ฉันมิเธออยู่ในอ้อมแขนตามลำพัง
เอ่ยคำรัก ใต้เงาแสงจันทร์
สบตากัน อย่างรู้ใจ
จูบเบา ๆ และลูบไล้ กอดเธอไว้ในอก
จะมีอะไรที่ดีไปกว่าสิ่งนี้ที่เฝ้ารอ

แค่หนึ่งคืน ก็อิ่มเอมสุขใจ
ที่ได้สัมผัส ไอรักกันและกัน

แค่หนึ่งคืน ก็เนิ่นนาน
เหมือนล่องลอยสู่วิมานสุดฟ้า

คืนนี้ เธอได้ยินไหม เสียงหัวใจ
ซึ่งเรียกร้องเพียงแต่เธอ
คืนนี้ ขอเพียงได้พร่ำเพ้อ
เรียกแค่ชื่อเธอ
เมื่อเป็นของกันและกัน

เอ่ยคำรัก ใต้เงาแสงจันทร์
สบตากัน อย่างรู้ใจ
จูบเบาๆและลูบไล้
กอดเธอไว้ในอก
จะมีอะไรที่ดีไปกว่าสิ่งนี้ที่เฝ้ารอ

แค่หนึ่งคืน ก็อิ่มเอมสุขใจ
ที่ได้สัมผัส ไอรักกันและกัน
แค่หนึ่งคืน ก็เนิ่นนาน
เหมือนล่องลอยสู่วิมานสุดฟ้า
อัศจรรย์และลึกล้ำ
เกินกว่าคำ พูดใด
ยากเกินที่ใครจะมาแยกเรา
ถึงแม้พรุ่งนี้ ไม่มีเธอแล้ว
จะเก็บคืนนี้ไว้กับใจ
แค่หนึ่งคืน ก็อิ่มเอมสุขใจ
ที่ได้สัมผัส ไอรักกันและกัน
แค่หนึ่งคืน ก็เนิ่นนาน
เหมือนล่องลอยสู่วิมานสุดฟ้า

(แค่หนึ่งคืน : เอ็กซ์แอลสเต๊ป)