ซินจ่าวฮานอย ฮาลองเบย์ @ เวียดนาม

เวียดนามเหนือ : ฮานอย ฮาลองเบย์



สารภาพตามตรงว่า เวียดนามไม่ได้อยู่ในสถานที่เที่ยวในฝัน แต่เมื่อมีคนหยิบยื่นโอกาสให้ก็ไม่พลาดที่จะตอบรับอย่างเต็มอกเต็มใจ


เริ่มต้นทำความคุ้นเคยกับคุณพี่ถาวรศรี หรือ "พี่สีจ๋า" ด้วยนิสัยใจคอน่ารักโดนใจไกด์นำทางที่แสนคล่อง เปิดตัวด้วยการแนะนำตนเองและประเทศเวียดนามคร่าว ๆ



หูฟัง ตาดู มือก็สาละวนกับการเก็บภาพตามรายทางดูวิถีชีวิตของเจ้าถิ่นชุดอ๋าวใหญ่ใส่งอบแหลมแสนเสน่ห์อย่างเมามัน

บ้านเรือนส่วนใหญ่ในฮานอยจะเป็นตึกแถวแคบถึงแคบที่สุดเป็นแถวเป็นแนว แต่มองดูแล้วเป็นสัดส่วนสวยงาม ส่วนใหญ่จะเป็นนาข้าว มองไปทางไหนก็ทุ่งนาสีเขียวเต็มไปหมด


พี่สีจ๋าเจื้อยแจ้วบอกว่าที่ฮานอยจะมีแม่น้ำกว้างใหญ่ไหลผ่านใจกลางเมืองสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ล่อเลี้ยงคนเวียดนามให้มีความอุดมสมบูรณ์ รัฐบาลจึงดูแลรักษาแม่น้ำสายนี้เป็นอย่างดี

ชาวบ้านที่นี่เรียกว่า "แม่น้ำแดง" คงเป็นเพราะสีน้ำที่ไหลผ่านนั้นมีสีแดงขุ่นมากนั่นเอง


ที่แปลกหูแปลกตา สีสันของเวียดนามในสายตาของฉันคือ สีค่ะ สีทาบ้าน แปลกตรงที่ตึกรามบ้านช่องที่นี่จะทาสีบ้านเฉพาะด้านหน้าด้านเดียว ไม่ปล่อยให้คิ้วขมวดอยู่นาน พี่สีจ๋าเฉลยว่า คนเวียดนามส่วนใหญ่ฐานะยากจนเลยทาสีบ้านแค่ด้านเดียว


คงเห็นแววตาของลูกทัวร์ยังคงมองแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงอธิบายต่อว่า เวลาคนเราทาแป้งก็ทาแต่ด้านหน้าไม่มีใครทาแป้งด้านหลัง คนเวียดนามก็ฉันนั้น ขอด้านหน้าสวยไว้ก่อนว่าไปโน้น

อะ..เชื่อก็เชื่อพี่ ส่วนสีที่ทาจะเน้นสีเหลือง เพราะคนเวียดนามชอบสีเหลือง มีความเชื่อว่าสีเหลืองเป็นสีของรวงข้าว สีของทองคำ สีแห่งความร่ำรวย จึงเป็นที่มาของสีมงคลนั่นเอง


ที่น่าฉงนใจก็คือ ตัวบ้านที่มีความกว้างแค่ครึ่งเมตร จะมีให้เห็นตลอดระยะทางที่ผ่านในฮานอยมุ่งสู่ฮาลองเบย์ จะเป็นทรงลึกเข้าไปแต่ดูยังไงก็ดูไม่ออกว่าเค้าจะอยู่จะกินกันยังไง พี่สีจ๋าบอกว่าเอาไว้ขายของอย่างเดียว


แต่ก็นั่นแหละแค่ครึ่งเมตรจะไปทำอะไรได้ อดเปรียบเทียบในใจกับสยามเมืองยิ้มไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่า คนญวนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลเวียดนามเปิดโอกาสให้กลับภูมิลำเนาแต่ไม่มีใครอยากกลับซักคน เป็นฉันจ้างให้ฉันก็ไม่กลับแน่นอน

นอกจากบ้านเรือนก็ยังมีรถราบนท้องถนนที่เป็นสีสันไปอีกแบบ หันไปทางไหนก็จะเห็นแต่กองทัพมอเตอร์ไซด์พร้อมลายหมวกกันน็อคกิ๊บเก๋เต็มท้องถนนไปหมด เท่านั้นยังไม่พอเสียงแตรรถที่ระดมกันกดนี่สิ


ว่ากันว่าเสียงแตรรถกระหึ่มบนท้องถนนนี่แหละ เอกลักษณ์ของเวียดนามเค้าเลยล่ะ

เสียงเตือนจากพี่สี่จ๋าว่าเวลาข้ามถนนที่นี่ถ้าตัดสินใจแล้วเดินข้ามไปเลย รถจะหลบคุณไปเอง แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณยึก ๆ ยัก ๆ เมื่อนั่นคุณอาจจะไม่มีโอกาสเดินข้ามถนนอีกเลย

นี่ขนาดนั่งอยู่บนรถบัสนะ ผ่านบางสี่แยก เล่นเอาฉันต้องเอามือปิดปาก ไม่ให้เสียงกรี๊ดด้วยความหวาดเสียวเล็ดลอดออกมารบกวนลูกทัวร์คนอื่น ทั้งลุ้นทั้งเหนื่อยแทนคนขับจริง ๆ


เวลาเกิดเหตุการณ์รถชน คนที่นี่จะเคลียร์กันเองเพราะถ้าถึงตำรวจเมื่อไหร่เรื่องใหญ่ทันที กฎหมายที่นี่แรงมากตามสไตน์การปกครองแบบระบอบคอมมิวนิสต์ ชาวเวียดนามนิยมใช้มอเตอร์ไซด์มากกว่ารถยนต์เหตุเพราะไม่มีที่ให้จอดรถ

ยี่ห้อสุตฮอตคือ ฮอนด้า ฮอนด้าโอนลี่จริง ๆ แท็กซี่ที่นี่น่ารักกิ๊บเก๋มาก ส่วนใหญ่จะเป็นรถซิตี้คาร์ตกแต่งลวดลายได้น่ารักน่าชัง สังเกตดูมักจะเป็นยี่ห้อแดวู

แหม..ถ้ามาแบบแบคแพคต้องไม่พลาดขอลองนั่งแท็กซี่ที่นี่ชมวิวดูซักซอยซะแล้ว


ส่วนอาหารการกินจะเน้นกุ้งหอยปูปลาเป็นหลัก เนื่องจากติดทะเลตั้งแต่เหนือจรดใต้ รสชาติค่อนข้างจืด บ้างก็ออกเค็ม บ้างก็หวานปะแล่ม ๆ คนเวียดนามเหนือไม่นิยมทานเผ็ด แต่ละภาคจะทานอาหารไม่เหมือนกัน


ดูไปก็คล้าย ๆ บ้านเรา เวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ภาค ภาคเหนือ เช่น ฮานอยฮาลองเบย์ ภาคกลางที่คุ้นเคยกันดีก็มี เว้ ดานัง ฮอยอัน ส่วนภาคใต้จะเป็นเมืองหลวงเก่าของเวียดนามเช่น ไซง่อน โฮจิมินห์ และแหล่งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคใต้หมด


มีเสียงเตือนให้ผะอืดผะอมบอกว่า มาอยู่ที่นี้ใครชอบทานไส้กรอกโปรดระมัดระวังสอดไส้เนื้อหมา แถมคำยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะจากผู้ที่น่าเชื่อถือร่วมทริป อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้กระมังที่รัฐบาลเวียดนามไม่ให้เลี้ยงหมาเพราะต้องการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศใหม่

พลันมองเห็นพี่สีจ๋าออกอาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ฉันสัญญากับตัวเองในใจเลยว่า จะไม่ให้ไส้กรอกหน้าไหนเข้าไปท่องเที่ยวในท้องของฉันช่วงเวลาที่อยู่ที่เวียดนามเด็ดขาด!!


อาหารเวียดนามที่นี่ กับอาหารเวียดนามที่ประเทศไทยแตกต่างกันราวกับไม่ใช่อาหารประเทศเดียวกัน นึกถึงอาหารเวียดนามจะมีภาพผักหรือเครื่องเขียงเยอะแยะ

แต่ที่เวียดนามไม่ค่อยมีผักเสริฟให้ ขนาดภัตตราคารแทบทุกมื้อยังนับชนิดของผักได้ไม่เกินสามอย่าง ลำไส้แทบนับญาติกับผักบุ้ง ผักกาด สารพัดผัด ต่างกับบ้านเราที่แถมให้เป็นกระบุงแถมสารพัดผักไม่อั้นอีกต่างหาก


ขนมปังฝรั่งเศสอร่อยมาก แข็งนอกนิด ๆ แต่นุ่มสุดสุดด้านใน อาจเป็นเพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมานานนั่นเอง

คนเวียดนามชอบทานเบียร์เป็นชีวิตจิตใจ เนื่องจากถูกปลูกฝังพฤติกรรมมาตั้งแต่เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส สังเกตจากคำบอกเล่า อะไร ๆ ที่ไม่ดีของคนเวียดนาม ฝรั่งเศสมักถูกเป็นจำเลยอย่างเลี่ยงไม่ได้


เส้นทางระหว่างฮาลองเบย์ล่องใต้มุ่งสู่ "นิงบิงห์หรือฮาลองบก" กูรูบอกว่ามีสับปะรดลูกเล็กกรุบกรอบเหมือนสับปะรดภูเก็ต แต่หวานฉ่ำเหมือนสับปะรดนางแล

สิ้นเสียงร่ายสรรพคุณลูกทัวร์ไม่ยอมให้ผ่านเปล่า ขอโซเฟอร์จอดรถลงลิ้มลองทันที อร่อยจริง ๆ ค่ะคุณผู้ชม สมคำร่ำลือ


ลูกเล็กนิดเดียวงับสามสี่คำก็หมดลูกล่ะ เค้าขายเป็นถุง ๆ ละ 20 บาท ได้ประมาณ 4-5 ลูก นี่ถ้าไม่กลัวอั้นฉี่บนรถละก็จะเคี้ยวตุ่ยตลอดเส้นทางเลย

เจ้าถิ่นบอกว่าคนรวยที่นี่จะทานข้าวหอมมะลิจากเมืองไทย ฐานะปานกลางจะทานข้าวของเวียดนาม แต่ถ้ามีฐานะยากจนจะทานขนมปังกับเนย


มิน่า..ฉันเห็นแม่ค้าพ่อขายปั่นจักรยานจอดเป็นจุด ๆ ตามริมถนนขายขนมปังแท่งโต มีให้เห็นตามรายทางโดยยี่หระฝุ่นและควัน คงเจาะกลุ่มตลาดล่างนี่เอง

แต่คนไทยเราคนจนกินข้าวคลุกน้ำปลา ถ้าเป็นคนมีสะตังค์หน่อยก็จะทานขนมปังกับสารพัดเนยชั้นเยี่ยม จะยังไงก็เถอะ ยากดีมีจนขนาดไหนฉันว่ายังไงซะ ข้าวก็ยังคงเป็นอาหารหลักอยู่ดี


นอกจากวิถีชีวิต อาหารการกิน ที่แตกต่างแล้วธรรมชาติสร้างสรรค์ของเวียดนามจะว่าสวยก็สวย จะว่างั้น ๆ ก็ไม่ผิด แต่หากใครที่ชอบช้อปปิ้งต้องนี่เลย "ถนน 36 สาย" จุดเด่นคือแต่ละสายจะขายของไม่เหมือนกัน


ถ้ารองเท้าก็ขายรองเท้าตลอดสาย ตลาดจะเปิดตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม เวลาไทยกับเวลาที่เวียดนามเท่ากัน แต่ไม่รู้ทำไมหกโมงเช้าที่นี่แสงแดดแผดเผาเหลือเกิน ต้องระมัดระวังกระเป๋าให้ดีมิจฉาชีพที่นี่ก็ชุกชุมสมกับที่เป็นย่านแห่งการจับจ่ายเช่นกัน


วนไปเวียนมาหลายรอบ มาใจอ่อนเอากับเจ้าหมวกกันน็อคกิ๊บเก๋เข้าจนได้ อย่าเพิ่งหัวเราะไป หมวกกันน็อคที่นี่น่ารักมาก ดูผิวเผินเหมือนหมวกแก๊ป เพียงแต่มีสายรัดคางเพิ่ม แต่เรื่องความแข็งแรงและปลอดภัยไม่รับประกัน น่าจะเป็นแนวแฟชั่นมากกว่า


สนนราคาใบละสองร้อยห้าสิบบาท รับรองไม่มีขายที่เมืองไทยแน่นอน ไม่เสียแรงเป็นเจ้าของประเทศที่มีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์เยอะที่สุด เห็นหมวกแต่ละใบนี่ถ้าไม่ห่วงที่ว่างในกระเป๋าละก็จะเหมาทั้งร้านให้ดู


ตัวฉันเองเคยเช็คเรตติ้งของหมวกกันน็อกในเมืองไทยหลังจากกลับมาแล้วได้ผล มีแต่คนแวะเวียนถามหา มากจนต้องล็อคติดเบาะรถทุกครั้งเวลาจอดเพื่อกันหาย

ว่ากันว่าของลงรักที่นี่มีชื่อเสียงมาก ผ้าปักแฮนเมดก็ไม่น้อยหน้า สวยและถูกจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าลองเป็นฉันนั่งหลังขดหลังแข็งปักผ้าเอามาขาย ต่อให้ราคาแพงกว่านี้สักสามสี่เท่าฉันไม่มีทางขายแน่นอน ทั้งนี้จะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับลีลากระชากราคาลงมาของแต่ละคนว่าจะสามารถแค่ไหน


แต่ที่ถูกใจฉันสุด ๆ เห็นจะเป็นตรงที่ใช้เงินสกุลบาทไทยนี่แหละ ไม่ต้องหาแลกเงินสกุลด่องให้วุ่นวาย พ่อค้าแม่ขายที่นี้คุ้นเคยกับคนไทยดี แถมรู้ดีซะอีกว่าพี่ไทยเราเป็นนักช้อปตัวยง

มืออาชีพแนะนำว่าให้เตรียมแบงค์ 100, 50, 20 ไว้เลย พยายามซื้อสองชิ้นร้อย หรือห้าชิ้นร้อย อย่าให้ทอนไม่อย่างนั้นอาจได้รับเป็นเงินด่องหาที่แลกคืนยาก ใช้เงินไทยสะดวกที่สุด


หากปิ๊งปั๊งสินค้าไหนให้ถามไปเลยว่าเท่าไหร่ จากนั้นก็กระชากราคาลงมาด้าน ๆ เอ๊ย ดื้อ ๆ ไม่ได้ไม่เอา เดี๋ยวเรียกกลับมาเอง ตัวฉันเองลองดูแล้วได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง

จะว่าไปคนขายบางร้านที่นี้น่ารักมาก พยายามสื่อสารภาษาไทยกับเราเพื่อดึงสะตังค์จากเราให้มากที่สุด ที่นี่เหรียญบาทกับเหรียญห้าใช้ไม่ได้แต่เหรียญสิบพอถูไถ


ถ้าอยากโต๋เต๋สำรวจตลาดสดลิ้มลองผลไม้ลูกโต หรือชิมอาหารแบบบ้าน ๆ ของชาวเวียดนามต้องใช้เงินด่องเท่านั้น หากน้ำลายสอจนอดใจไม่ไหว ให้เงินไทยยเค้าก็รับ แต่ว่าต้องเสียสละเงินทอนเพราะแม่ค้าในตลาดไม่มีเงินไทยให้ทอนเลย

แต่จะว่าไป พกเศษเงินด่องติดกระเป๋าไว้ซักหน่อยก็ดี ไว้ใช้เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะ เพราะห้องน้ำที่นี่ไม่รับเงินไทย จากประสบการณ์หน้าเขียวเพราะอั้นฉี่รับประกัน ต้องวิ่งวุ่นขอเศษเงินด่องคนอื่น


นาทีนั้นด้านได้อายเพราะฉี่แตกนี่ เป็นใครมันก็ต้องเลือกเอาประโยคหน้าไว้ก่อนล่ะ ถึงไม่ใช่บ้านเราก็เถอะ

คะเนแล้วโดยประมาณสองพันบาทรับรองได้ของตรึมตุงกระเป๋า เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ร่วมเดินทางของฉันพร้อมใจกันแตกลูกแตกหลานให้กระเป๋ากันอย่างสนุกสนาน


แล้วมาวุ่นวายโกลาหลเอาอีตอนเจอค่าโหลดมหาโหดที่แอร์พอร์ต โยกย้ายสลับกระเป๋ากันอย่างเมามัน แต่ละใบไม่เสียชื่อนักช็อปพี่ไทยน้ำหนักเฉียดฉิวไม่ขาดไม่เกินเปะๆ

สำหรับคนมีห่วงแต่ใจอยากเที่ยวไม่ต้องเปิดโรมมิ่งเสียค่าโทรมหาโหด แค่ซื้อซิมโทรศัพท์ที่เวียดนาม ราคาอยู่ที่ประมาณ 140-160 บาท โทรได้ประมาณ 20 นาที หาซื้อได้จากเคาเตอร์โรงแรมหรือไม่ก็พี่ไกด์ประจำทัวร์เรานี่แหละสะดวกสุด


สำหรับฉันไม่ว่ามุมไหนที่ใดของโลกกลม ๆ ใบนี้ มีเสน่ห์ในตัวของมันอยู่เสมอ เวียดนามในสายตาฉันนาทีนี้ ไม่ใช่ประเทศที่ควรจะมองข้าม ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศที่รอใครต่อใครเข้าไปค้นคว้าหาความสุขจากการมาเยือนอีกมากมาย


หากมีโอกาสฉันต้องกลับไปอีกครั้งแน่นอน ลาก่อนลุงโฮฯ วีระบุรุษแห่งเวียดนาม ลาก่อนทุ่งนาข้าวสีเขียว รอก่อนนะสาวชุดอ๋าวใหญ่ใส่งอบแหลมแสนสวย หากบุญมีและกรรมไม่บังเราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน..









Create Date : 13 กันยายน 2552
Last Update : 13 กันยายน 2552 15:39:59 น. 2 comments
Counter : 6314 Pageviews.

 
แวะมาอ่านครับ... รู้สึกจะประมาณเดียวกับผม เวียตนามนี่ไม่ได้อยู่ลิสท์ที่อยากเที่ยว ! แต่พอมีโอกาสได้สัมผัส(แม้บางอย่างจะไม่โสภา) ทำให้เราเห็นแง่มุมเล็กๆ บางด้าน มันก็มีเสน่ห์ จนกลายเป็นต้องไปรอบสองรอบสาม!!

นี่วางแพลนไว้อีก 2 ทริป หนาวขึ้นเหนือ ฮานอย, เลาไก, บั๊กห่า, ซาปา ส่วนใต้ก็จะไปเก็บรอบสอง ไซ่ง่อน, ดาลัต, มุยเน่ ยาจรัง ฯลฯ

เสียดายบล็อกผมที่ทำใหม่ตอนนี้บรรดารูปฝากหายจ้อยเพราะระเบียบราชการบ้านเรา ว่างจะเข้ามาอ่านเรื่อยๆครับ


โดย: sirimas_m วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:16:08:13 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่า ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ


โดย: mariabamboo วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:41:44 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

JinnyTent
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือ ชอบถ่ายรูป
& บันทึกเรื่องราว เล่าสู่กันฟัง ^^

ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนพี่น้อง Blog Gang
& ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันค่ะ :-D

Jin
09.9.09
Group Blog
 
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
13 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add JinnyTent's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.