เพื่อสรรสร้างสังคมไทย ร่วมมอบความจริงใจให้แก่กัน
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
กินเจกับความทรงจำที่ไม่เลือนหาย

..ปัง.....ปังๆ... เสียงประทัดที่ดังประปราย แต่เป็นระยะๆ ในบริเวณตัวเมือง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเทศกาลที่สำคัญของชาวภูเก็ต ใกล้จะมาถึงอีกครั้งแล้ว เด็กๆผู้ชายส่วนใหญ่ที่อยู่ในแหล่งชุมชน ต่างใจจดใจจ่อรอคอยวันนี้ให้มาถึงในเร็ววัน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว มันเป็นช่วงที่น่าตื่นตาตื่นใจมากและยังสามารถมีเรื่องมาเล่ามากมาย แลกเปลี่ยนกันในห้องเรียนเมื่อมีเวลาว่าง กระทั่งว่า มีเด็กบางคน เล่นทรงเจ้ากันในห้องเรียน โดยเลียนแบบท่าทางต่างๆเหมือนในพิธีกรรมยังไง ยังงั้นเลยทีเดียว
.............เทศกาลถือศีลกินเจหรือที่ภูเก็ตเรียกว่า “กินผัก” เป็นเทศกาลเก่าแก่ที่บรรพบุรุษของชาวภูเก็ต ปฏิบัติติดต่อกันมาอย่างยาวนาน ในอดีตจะเป็นเรื่องของคนจีนกลุ่มหนึ่งที่มาอาศัยหรือ ทำงานเป็นกรรมกรเหมืองแร่ ในภูเก็ตและขยับขยายสร้างเป็นชุมชนเมืองเป็นหย่อมๆ แต่ปัจจุบันประเพณีได้ครอบคลุมไปทั่วเกือบทั้งเกาะภูเก็ต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนโปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัดไปโดยปริยาย โดยมีตารางเวลาที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวเตรียมใจแต่เนิ่นๆ ในการที่จะเข้าร่วมพิธีหรือเดินทางมาชมพิธี
..............พิธีกรรมที่จะมีขึ้น ในเทศกาลมีมากมายนัก แต่ที่พวกเรา(ผมและเพื่อน)ตอนเด็กๆ ในสมัยนั้นประทับใจมากก็เห็นจะเป็นการทรงเจ้า เพราะคนทรง(ม้าทรง) ที่ได้รับการประทับทรงแล้ว (พระ) จะมีอิทธิฤทธิ์ มากมาย ตั้งแต่การเต้นสั่นศีรษะหรือ ส่ายหน้าโดยไม่หยุดพัก การใช้ขวานหรือดาบที่ถืออยู่ในมือฟันมาทางด้านหลังของม้าทรงเอง หลายๆครั้งซ้ำๆกัน จนเป็นแผลลึกเหวอะเลือดแดงไหลเป็นทาง บ้างก็ใช้ลูกตุ้มเหล็กที่ทำเป็นหนามยาวๆแหลมๆ ร้อยด้วยโซ่ถือเหวี่ยงให้กระทบแผ่นหลัง จนปักติดเป็นรูๆ จนบางทีต้องแอ่นอกขยับหลังเล็กน้อยเพื่อให้หลุดออก รวมถึงบางครั้งพี่เลี้ยงต้องมาคอยช่วยดึงออก หากหนามปักลงลึกเกินไป ดูแล้วน่าหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง
.................ในสมัยนั้น มีการเล่าขานถึงการกินเจ ว่าหากใครที่ไม่สะอาด หรือกินเจไม่จริงหมายความว่ากินแล้วแอบไปกินของคาวสลับกันในบางมื้อ หรือแอบไปหยิบจับของคาว คราใดที่มีพระเดินผ่านคนนั้นจะถูกลงโทษ หรือหากเดินเข้าศาลเจ้า จะถูกพระจับได้และลงโทษอย่างหนัก แต่ผมก็ไม่เคยเห็นจริงๆสักครั้ง ( ด้วยตอนเด็กๆ ผมเองก็ช่วยทางบ้านขายของชำ แน่นอนว่ามีการแตะต้องกะปิ น้ำปลาหรือเผลอหยิบกุ้งแห้งที่วางขาย เข้าปากเคี้ยวอยู่บ่อยๆ ) ทั้งนี้รวมถึงแม่ค้าที่ขายอาหารเจแล้วทำไม่สะอาดพอด้วย เพราะการกินเจไม่เหมือนมังสวิรัติทั่วๆไป แต่มีข้อห้ามมากมายเยอะ แยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผักที่มีรสฉุน, เครื่องเทศบางชนิดจะเป็นของต้องห้าม เพราะจะเป็นตัวทำลายธาตุต่างๆในร่างกาย และมีส่วนกระตุ้นจิตใจให้เร่าร้อน หงุดหงิด โกรธง่าย ส่งผลให้การถือศีลไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ส่วนการดื่มนม ในสมัยนั้นก็ยังมีการถกเถียงกันว่าได้หรือไม่ พวกเราจึงเคร่งครัดมากทุกครั้งที่เริ่มกินเจ และคิดก่อนล่วงหน้าเสมอ ว่าใครสามารถอดทนกินได้กี่วัน เพื่อไม่ให้มีการออกเจก่อนจะครบกำหนด ใครที่มีศรัทธามากหน่อย ก็เริ่มกินกันตั้งแต่วันแรก กว่าจะสิ้นสุดก็เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ส่วนใครเห็นว่าไม่ไหวก็ลดหลั่นลงไป หรือจะกินแค่ 1วันสุดท้ายก็ไม่ว่ากัน โดยก่อนพิธีหนึ่งวันจะมีการชำระล้างศาลเจ้า มีการจุดรมไม้หอม อบอวลไปทั่ว และมีพิธีขึ้นเสาไม้สูงๆแขวนตะเกียงน้ำมัน 9 ดวง หมายถึงเทพเจ้าทั้ง 9 องค์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ว่างานเทศกาลได้เริ่มขึ้นแล้ว ใครที่ตั้งต้นกินเจตั้งแต่วันนี้ด้วยก็จะเป็น 10 วัน และในหมู่พวกเราจะถือว่าคนนั้นเก่งที่สุด
.....................สัญลักษณ์ อย่างหนึ่งของเทศกาล ที่ขาดไม่ได้คือการแต่งกาย แค่กางเกงขาก๊วยสีขาวคาดเข็มขัดเชือกสีเหลืองหรือบางคนก็ใช้ผ้าขนหนูสีเหลืองคาด สวมทับด้วยเสื้อยืดคอกลมสีขาวสะอาดตา แค่นี้พวกเราก็ยืดอก สวมรองเท้าแตะย่ำเท้าเข้าศาลเจ้าอย่าสง่าผ่าเผยแล้ว เพราะจริงๆแล้วการประดับประดาด้วยของมีค่าตามร่างกายหรือของใช้ที่ทำด้วยหนังสัตว์เช่นสายนาฬิกาหรือเข็มขัด ก็ยังถือเป็นข้อห้ามหนึ่งด้วย และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องพกเงินติดกระเป๋าไปเลยก็อยู่ในศาลเจ้าได้ทั้งวัน และไม่แปลกหากพวกเราทุกคน จะมาเจอะเจอกันในศาลเจ้า เหมือนนัดหมาย เพราะใจของพวกเราอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
.....................ศาลเจ้ากับโรงเรียนของพวกเราอยู่ไม่ไกลกันนัก และช่วงเวลากินเจมักเป็นช่วงใกล้สอบหรือไม่ก็กำลังสอบพอดี พอพักเที่ยงพวกเราจะวิ่งแข่งกันไปศาลเจ้าเพื่อทานอาหารมื้อเที่ยง ที่จัดเป็นโรงทานกลางลานกว้าง โดยกับข้าวหลักก็เป็น แกงจืดฟักกับถั่วงอกรสชืดจืดสนิทแต่ผมเลือกซดแต่น้ำ ด้วยเพราะไม่กินผัก และที่มีประจำคือผัดฟักทองที่ผมไม่เคยชอบ และแกงพริกของโปรดหรือแกงส้มใส่สับปะรด สลับกับแกงกะทิในบางวัน แล้วแต่เมนูอาหารของแม่ครัวและสิ่งของที่ได้รับการบริจาคที่มีคนศรัทธานำมาบริจาค เพราะการบริจาคเป็นศีลข้อหนึ่งในเทศกาลนี้ด้วยแต่ต้องเป็นการบริจาคโดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน ในศาลเจ้าสมัยนั้นไม่มีอภิสิทธิ์ให้สำหรับใคร ไม่มีใครเหนือกว่าใครในที่นั้น ทุกคนกิน และร่วมกิจกรรมรวมทั้งช่วยเหลืองานเหมือนกันหมด ด้วยความสมัครใจและที่สำคัญคือด้วยความเต็มใจจึงจะได้บุญกุศล
......................ตกกลางคืนในศาลเจ้า จะมีคนมากมายจากหลายที่ มาไหว้องค์พระ( พระบูชาที่แกะสลักด้วยไม้หอม เป็นพระหรือเทพเจ้าองค์ต่างๆ และบางองค์ยังแยกย่อยเป็นหลายปางอีกด้วย ) เพราะถือว่าในการกินเจที่สมบูรณ์ทุกครั้งต้องมาไหว้องค์พระที่ศาลเจ้าด้วย ,บางคนมาขอรับการรักษาโรคต่างๆจากพระ หากเป็นเด็กๆอย่างพวกเราในตอนนั้นก็พากันเล่นประทัด ที่สมัยนั้นยังไม่มีข้อห้ามเคร่งครัดใดๆ ยังจุดโยนใส่กันได้ตามปกติ


.........ในค่ำคืนแห่งเทศกาลนั้นหลายคนเดินทางมาเพื่อเที่ยวชมการแสดงบนเวที ซึ่งจะมีการละเล่นต่างๆแล้วแต่จะจัดกันไป แต่ที่ขาดไม่ได้คือลิเก หญิงสาวบางคนติดใจพระเอกลิเกหน้าหวานที่ร้องลิเกไพเราะเสนาะหู ถึงกับส่งเสียงวี้ดว้ายกัน ตอนพระเอกลิเกเล่นเข้าพระเข้านาง บางคนเอามือสองข้างขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอายก็มีกับฉากนั้น ส่วนถ้าเป็นหนุ่มๆ ก็มักตามจีบนักแสดงสาวในตอนกลางวันที่ไม่มีการแสดง ทั้งๆที่การเกี้ยวพาราสี หรือการถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามโดยจงใจ ก็เป็นข้อห้ามหนึ่งของการถือศีลกินเจด้วย (แต่ผมก็ไม่รู้ว่าในปัจจุบันนี้สำหรับผู้ที่รักเพศเดียวกันแล้ว จะมีการบัญญัติข้อห้ามเพิ่มหรือเปล่า) ผมจำได้ว่าสมัยนั้นพอเสร็จจากเทศกาลกินเจคราใด นางเอกลิเกมักจะหายไปด้วยเสมอๆ แม้กิจวัตรประจำวันของพวกเรา มีอยู่ไม่มากมายนัก แต่ก็มีความสุขมาก ตลอดช่วงระยะเวลาที่กินเจ
..............ภูเก็ตยุคนั้นมีคณะรำวงอยู่หลายคณะ โดยจะเปิดเป็นสถานที่(โรงรำวง)ให้ความบันเทิงทุกคืนตลอดปี สาวรำวงส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวจากทางภาคเหนือ แต่ก็มีสาวใต้อยู่บ้างเช่นกัน มีนักร้องนักดนตรีคอยเล่นดนตรีสดๆ และหนุ่มๆที่ไปเที่ยวหากใครต้องการจะเต้นรำ ก็ซื้อตั๋วและเลือกคู่เต้นที่รออยู่บนเวที จบเพลงก็จบรอบ บางคนที่มาดูอย่างเดียว ก็มักเลือกนั่งหลบมุม ดื่มสุราอยู่ห่างๆ หรือบางคนก็จะเรียกสาวรำวงลงมาคุยด้วยที่โต๊ะ โดยจะคิดค่าบริการเป็นชั่วโมง แต่ไม่มีการพาออกไปข้างนอกและไม่มีการขายตัวด้วยเด็ดขาด แต่ครั้นเทศกาลกินเจมาถึง บรรดาหนุ่มๆก็หายไปจากโรงรำวงมากพอสมควร ด้วยเพราะห้ามดื่มของมึนเมาสุรายาดองทุกชนิด ในตอนถือศีลกินเจ และการเข้าไปในสถานที่ๆไม่เหมาะสม หรือสถานที่ๆมีสิ่งยั่วยวนใจอื่นๆ ก็เป็นกฎห้ามอย่างเคร่งครัดในสมัยนั้นด้วย ดังนั้นหลายคนจึงเลือกชมการแสดงที่ทางศาลเจ้าจัดให้มีขึ้นแทน
............... การประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในแต่ละวันช่วงกินเจที่สำคัญๆก็มี การบูชาเจ้าในวันแรกๆ , การเลี้ยงเหล่าทหารหาญ เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่ง โดยตระเตรียมอาหารและเหล้าไว้สำหรับเซ่นสังเวยทหาร และมีหญ้าและธัญญาหาร เตรียมไว้สำหรับเป็นอาหารของม้าอีกด้วย ,การบูชาดาว หรือพวกเราเรียกว่าไหว้เทวดา พิธีนี้จัดในตอนกลางคืนโดยเขาจะต่อเป็นเวทีสูงๆเพื่อจะจัดโต๊ะหมู่บูชาเทพยดาบนสรวงสวรรค์ แล้วพระจะต้องขึ้นไปทำพิธีบนนั้นกับคนที่เกี่ยวข้องบางคน จำได้ว่าพวกเราจะตั้งหน้าตั้งตารอให้พิธีกรรมนี้เสร็จเพื่อคาดหวังว่าจะได้รับแจกผ้ายันต์ (เป็นผ้าหรือกระดาษสีเหลืองประทับอักขระจีนด้วยหมึกสีแดง) ยิ่งเป็นผ้ายันต์ที่ได้รับการเช็ดด้วยเลือดสดๆที่พระใช้ดาบหรือเลื่อยฟันโตๆถูไปมาบนลิ้นม้าทรงด้วยแล้ว จะเป็นที่ต้องการอย่างมากและพี่เลี้ยงบางคนมักอุบไว้ให้พวกพ้องตัวเองบ่อยๆ
................ข้างศาลเจ้าจะมีโรงครัวใหญ่เป็นตึก 2 ชั้น ชั้นบนทำเป็นที่พักรวม ไว้สำหรับม้าทรงที่จะมาปฏิบัติภารกิจช่วงกินเจ ได้มาพักเหมือนการเก็บตัว พอตกกลางคืนตรงบันไดซึ่งอยู่นอกอาคาร ก็จะกลายเป็นเหมือนอัฒจรรย์ไว้ยืนชมลิเก ด้วยผู้คนข้างล่างเบียดเสียดกันจนเต็มพื้นที่ ผมเองก็เคยได้อาศัยบันไดนี้ช่วยให้ชมการแสดงได้บ่อยๆ ในสมัยนั้น



…… เฮ้ย! เสียงคนที่ยืนอยู่ขั้นบนๆของบันไดดังลั่น ตามด้วยเสียงร้องจากใครคนหนึ่งดังพอสมควรแต่ฟังไม่เป็นศัพท์ ผมหันขึ้นไปมองที่ต้นเสียงก่อนที่จะมีม้าทรงคนหนึ่งสวมกางเกงขาวไม่สวมเสื้อ คลานลงมือลงเท้าผ่านลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว (จนบางคนโดนชนแทบกระเด็น) ท่าทางดูคล้ายท่าทางของสัตว์ป่าที่ดุร้าย ผมและคนอื่นๆหลายคนวิ่งตามลงไปดู พอคลานถึงหน้าโต๊ะหมู่บูชาในศาลเจ้า จึงค่อยลุกขึ้นยืนสั่นศีรษะเบื้องหน้าองค์พระ ยกเท้างอเข่าข้างหนึ่งขึ้นตั้งฉาก แขนข้างเดียวกันกางยกขึ้นไปป้องหน้าผาก คล้ายการตั้งการ์ดของนักมวย ก่อนที่จะมีพี่เลี้ยงคอยนำผ้าเตี่ยวที่เป็นของพระองค์นั้นๆมาผูกไว้กับคอและเอว พร้อมแส้ที่ถักจากเชือกอย่างประณีต กับธงสีดำลงอักขระผืนใหญ่มาให้ถือ เสียงกลองหนังสองหน้าใบเล็กมีด้ามถือ และโล่ทำจากโลหะทองเหลืองแผ่นบางๆ ถูกตีรัวรับเป็นจังหวะๆแรงๆจากเด็กๆที่รออยู่แถวๆนั้น ส่งให้พิธีการนั้นน่าเร้าใจยิ่งนัก ถามไถ่กันไปมาก็ได้ความว่า พระที่ประะทับทรงอยู่นี้เป็นพระทหารบู๊ และหากจะเข้าทรงครั้งใดท่านจะขี่เสือมาทุกครั้งนั่นจึงเป็นที่มาของลักษณะการคลานสี่ขาอย่างรวดเร็วในตอนต้น ........

..........ในกองทัพจีนสมัยก่อน ทหารหาญถูกแบ่งกันเป็นหน้าที่และมีแม่ทัพคุมกองกำลังเป็นหมวดหมู่ โดยใช้สัญลักษณ์คือธงนำทัพ การเคลื่อนขบวนแห่พระก็เช่นกัน พอถึงวันที่จะทำพิธีแห่พระเพื่อออกโปรดสัตว์(ช่วงกลางวัน)โดยแห่ไปตามถนนสายต่างๆในตัวเมือง จะมีขบวนธงนำหน้า เป็นธงสีต่างๆผืนยาวๆผูกติดกับไม้ไผ่รวก มีอักขระจีนกำกับบนผืนธง ขบวนธงนี้ถือเป็นที่สุดของพวกเราในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะการได้ครอบครองในวันนั้นใช่ว่าจะได้มีโอกาสง่ายๆ ต้องจับจองก่อนล่วงหน้าเลยทีเดียว เด็กที่ได้ถือธงจะได้รับแจกเสื้อให้สวมใส่ด้วยคนละตัวสองตัวดังนั้นจึงเป็นที่ปรารถนายิ่งนัก งานนี้ต้องมีระบบเส้นสายมาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน และหากใครได้ธงไปจะต้องนำกลับไปเก็บที่บ้านในคืนนั้นเหมือนของรักของหวงเลยทีเดียว และทุกคนที่จะมาร่วมขบวนต้องพร้อมใจกันมาแต่เช้า เพื่อจัดรูปแบบขบวนที่หน้าศาลเจ้า พิธีกรรม,การประทับทรงจะถูกกระทำแต่เช้ามืด เมื่อเจ้าเข้าประทับทรงแล้วพี่เลี้ยงจะนำเหล็กแหลม ที่เตรียมไว้หรือบางคนก็มีเพื่อนฝูงตระเตรียมมาให้ บรรจงเสียบทะลุกระพุ้งแก้ม บ้างก็เสียบตรงส่วนบริเวณผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกาย ตามแขน ขา หรือ ใบหู หนังตา คิ้ว ริมฝีปาก ลิ้น เต็มไปหมด ลักษณะการเสียบตกแต่ง แลดูสวยงาม คล้ายศิลปะบนเรือนร่างอย่างหนึ่ง ที่ปลายเหล็กอาจมีธงผูกอยู่หรือบางรายอาจใช้ผลไม้ต่างๆเสียบถ่วงน้ำหนักไว้ ว่ากันว่าเพื่อเป็นการแบกรับความทุกข์ทรมานแทนชาวบ้านช่วงถือศีลกินเจ
.........แต่ก่อนใครที่จะเป็นม้าทรงนั้นต้องได้รับการคัดเลือกจากพระเองเท่านั้น และเมื่อใครที่ร่างโดนพระประทับทรงก็จะต้องเป็นม้าทรงไปตลอดชีวิต ระยะหลังในบางปีที่ศาลเจ้าขาดม้าทรงหรืออาจต้องการเพิ่มจำนวนม้าทรงก็จะมีการรับสมัครชายหนุ่มที่มีความต้องการ มานั่งเรียงแถวในศาลเจ้าแล้ว ให้ทำพิธีอันเชิญ
ดวงวิญญาณพระมาประทับร่าง สักครู่หนึ่งม้าทรงจะมีอาการหาวเป็นช่วงยาวๆให้เห็นก่อนที่พระจะประทับทรง บางคนก็กินเวลานาน ดูแล้วก็ทรมานเหมือนกัน แต่ก็มีหลายรายที่ไม่สำเร็จ

..........หัวขบวนแห่ในวันนั้นแถวหน้าสุดเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากขบวนธง ถัดมาจึงเป็นขบวนรถแห่ต่างๆ รถตีกลอง,ปี่,ฉาบ ตามด้วยขบวนสามล้อถีบ ( มีลักษณะเป็นจักรยานชายคันโต ต่อพ่วงเหล็กด้านข้างทางซ้ายมือแล้วมีเบาะหนังนุ่มๆวางบนเก้าอี้หวายไม่มีหลังคาคลุม แต่จะมีร่มด้ามไม้สีดำ ที่ทำด้วยใบไม้แทนผืนผ้า ไว้กันแดด หรือบางคันอาจมีพลาสติคใสๆไว้กางคลุมกันฝน ไว้คอยบริการแทน) ตามด้วยขบวนพระประทับทรงและขบวนเกี้ยวหามแห่องค์พระ โดยจัดตามลำดับชั้นและความสำคัญของพระนั้นๆ โดยเกี้ยวสำคัญที่สุดอยู่จะลำดับท้ายสุด ประกบด้วยฉัตรจีนทำด้วยผ้าสีเหลืองตกแต่งวิจิตร แต่พรุนไปด้วยร่องรอยไหม้จากประทัดในปีก่อนๆ เมื่อขบวนแห่เริ่มออกไปตามถนน ทุกเส้นทางได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ชาวบ้านที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมถนนที่จะมีขบวนแห่ผ่าน ต่างก็จัดโต๊ะบูชาพร้อมผลไม้,น้ำชา วางกระถางธูป เทียน และนำองค์พระที่แต่ละบ้านมี ออกมาวางกราบไหว้ พระในขบวนบางองค์จะแวะเวียนเข้าไปสักการะที่โต๊ะบูชา หรืออาจจะเข้าไปในบ้านเพื่อสักการะที่หิ้งที่ประทับองค์พระ (ในกรณีที่เจ้าบ้านไม่ได้นำองค์พระออกมาด้านนอก) ถือว่าเป็นสิริมงคลยิ่งนัก ( ว่ากันว่าถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าพระที่เข้าไปนั้น จะเป็นพระเดียวกันกับองค์พระที่บ้านนั้นบูชา ) ระหว่างทางมีการจุดประทัดตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่าจุดกันดังหูดับตับไหม้ ขบวนธงซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเด็กๆ และเป็นด่านหน้าสุดจะถูกชาวบ้าน, คนดูที่ยืนข้างทาง จุดประทัดโยนต้อนรับ โดยโยนใส่เข้าไปไม่มีการหยุดตลอดรายทางเลยก็ว่าได้ ยิ่งหากผ่านย่านที่เป็นคนมีฐานะหรือย่านธุรกิจ ก็จะเจอประทัดราวแขวนกับไม้ไผ่หย่อนใส่ในขบวน เพื่อทดสอบว่าจะเหนียวแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่ทุกคนพร้อมที่จะปะทะด้วยเสมอ เพราะแต่ละคนเลือกที่เข้ามาร่มขบวนเองด้วยความมุ่งมั่น จะมีบ้างก็อาจเป็นเด็กใหม่แตกแถวไปบ้างสักพักก็ย้อนเข้ากลุ่มใหม่ เป็นที่สนุกสนาน ส่วนขบวนที่โดนทดสอบจากประทัดหนักที่สุดเห็นจะเป็นขบวนเกี้ยว (เป็นเกี้ยวหามที่มีองค์พระประทับอยู่ ) เพราะชาวบ้านจะจุดประทัดราวถวาย แล้วคนที่หามเกี้ยวซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นชายฉกรรจ์ ก็จะแบกองค์พระเล่นประทัด โดยการหมุนเกี้ยววนอยู่กับที่บ้าง ยืนนิ่งๆให้คนจุดใส่บ้าง นัยว่าเป็นตัววัดความเหนียวในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ด้วย

..........ผมได้มีโอกาสร่วมขบวนเสมอๆในตอนเด็ก โอกาสที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็เห็นจะเป็นการร่วมขบวนแห่โดยมีตำแหน่งเป็นเด็กตีโล่ แต่ยังถือว่าเป็นรองจากกลอง คืนก่อนวันแห่ผมเกือบนอนไม่หลับคงเพราะตื่นเต้นมาก แม้ในใจยังอยากได้ตีกลองมากกว่า ผมออกจากบ้านไปแต่เช้าถอดรองเท้าไว้ที่ศาลเจ้า แล้วเข้าสู่ขบวน วันนั้นผมต้องเดินกับมือกลอง และร่วมเดินเคียงคู่กับพระองค์หนึ่ง เป็นพระที่ชอบเล่นประทัดเสียด้วย วันนั้นพวกเราและพระองค์นั้นเดินนำขบวน โดยไปก่อนหน้าธงเสียอีก ( ระหว่างทางวันนั้นพระจะแวะเวียนตลอดรายทางเพื่อแจกลูกอมกับส้มหรือผลไม้ต่างๆตลอดทาง โดยส่วนใหญ่จะแจกให้แก่เด็กๆที่ยืนดู และเด็กที่พ่อแม่อุ้มมายืนรอรับพรมากที่สุด) แต่เพราะศรัทธาที่ผมมีมากมายในพิธีกรรมนั้นผมไม่นึกกลัวประทัดเลยแม้แต่น้อย และมันก็ไม่ระคายผิวเลยแม้นิดเดียว ทั้งๆที่ไม่มีส่วนใดปกปิดร่างกายมากไปกว่าเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาก๊วยสีขาว คาดผ้าขนหนูเหลืองอีกผืนหนึ่ง ไม่มีหมวกปกปิด ไม่ต้องการผ้าคลุมหัว วันนั้นไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเลยสำหรับผม มีแต่ความภูมิใจลึกๆที่ได้มีโอกาสร่วมในขบวน เพราะความเลื่อมใสและศรัทธาก็เป็นกฎอีกข้อหนึ่งที่ทุกคนพึงปฏิบัติในการถือศีลกินเจ
.....พระที่ผมเดินเคียงคู่ให้จังหวะโล่ในวันนั้น เป็นพระเด็กในร่างทรงคนแก่ ถ้าใครเคยดูหนังประวัติศาสตร์จีนบ้างคงรู้จัก เด็กกุมารผูกจุก มีรองเท้าติดล้อ มือข้างหนึ่งถือทวนกับถือห่วงเหล็กอีกข้างหนึ่ง ถ้าสังเกตจะพบว่าลักษณะของพระแต่ละองค์ที่ประทับทรงจะมีลักษณะบุคลิกที่ไม่เหมือนกัน ตามแต่องค์พระนั้นจะเป็น เช่นหากเป็นพระ(ไม่ใช่ม้าทรง)เด็ก ก็จะรักชอบเล่นหยอกล้อกับเด็ก หากเป็นพระแก่(กง)แม้จะอยู่ในร่างม้าทรงหนุ่ม หลังก็จะงุ้มงอย่อส่วนลงทันที พระบู๊ ก็จะบู๊แหลกลาญ แสดงอภินิหารให้เป็นที่หวาดเสียว อาบน้ำมันร้อนๆบ้าง เอาโซ่เผาไฟมาฟาดลำตัวบ้าง หรือหากเป็นเห้งเจียก็จะต้องกระโดดโลดเต้น และเกาสีข้างไปด้วย (ภายหลังเสร็จขบวนแห่เกือบทุกครั้ง ม้าทรงบางคนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาตัว)
.......พ่อผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อและเคารพศรัทธาในองค์พระและพิธีกรรมทั้งปวงในการกินเจ เพราะพ่อเป็นผู้ที่อันเชิญดวงวิญญาณพระที่สถิตอยู่ ณ.ที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้ให้มาประทับทรงบนร่างม้าทรง พ่อเป็นเพียงไม่กี่คนแรก ที่ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ในสมัยนั้น และก็กลายมาเป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำในทุกๆปี ผมยังได้ยินพ่อฝึกท่องบทอัญเชิญอยู่เสมอๆ เป็นบทสวดจีน ด้วยพ่อเป็นคนชอบฮัมเพลงยามว่างและด้วยความที่พูดจาเสียงดังอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จึงทำให้มักจะท่องเสียงดังด้วยท่วงทำนองไพเราะ จนฟังแล้วได้สมาธิได้อารมณ์ที่เคลิ้มไปได้พอสมควร ( ครั้งหนึ่งยังมีคนในศาลเจ้ามาขอตำราที่พ่อเขียนไว้จากผม หากแต่หลังพ่อเสียชีวิตผม ก็ทราบว่าแม่เลี้ยงเป็นคนเอาไป ส่วนจะเอาไปทำอะไรผมไม่อยากรู้ )
....... ก่อนถึงวันถือศีลกินเจ บ้านเรือนเครื่องใช้ต่างๆจะถูกแม่ทำความสะอาดเสียทั้งหมด เพราะกฎอีกข้อคือห้ามใช้ภาชนะและสิ่งของเครื่องใช้ปะปนกับผู้ไม่ถือศีลกินเจ และพ่อจะต้องนอนแยกกันกับแม่ โดยจัดที่นอนให้ต่างหากบนแคร่ผ้าใบที่ขึงตึงบนขาไม้กากบาท แม้พ่อจะเป็นคนเคร่งครัดมาก แต่ก็ไม่เคยบังคับลูกๆหรือใครให้ต้องเป็นและเชื่อแบบที่พ่อเชื่อ หรือพ่อคงรู้ความลับอะไรดีๆหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ พ่อแค่อาจให้ผมไหว้พระเปลี่ยนน้ำชา หรือทำความสะอาดโต๊ะบูชา และจุดไม้หอมให้มีควันอบอวลตลอดเวลา ในทุกวันช่วงเทศกาลกินเจ ( การไหว้พระทุกวันก็ถือเป็นข้อพึงปฏิบัติหนึ่งด้วย ) และเมื่อผมเจอพ่อในศาลเจ้าคราวใด ผมก็มักจะเข้าไปทักทายเพื่อขอเงินซื้อขนมกิน จากร้านค้าข้างศาลเจ้าที่มีไม่มากมายในสมัยนั้น..........


.............พิธีลุยไฟ บนกองไฟศักดิ์สิทธิ์ ดูเสมือนเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หากแต่เป็นการชำระร่างกายผู้เข้าร่วมพิธี เพื่อให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียมากกว่า กองไฟกองใหญ่ขนาดสนามบาสเกตบอลย่อมๆ ที่ถูกก่อสุมไว้ตั้งแต่กลางวันจนร้อนระอุเหลือแต่ถ่านแดงๆ แผ่ความร้อนไปโดยรอบ เพื่อใช้ทำพิธีในตอนกลางคืน ที่ใครก็ได้ทั้งพระและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปลุยได้ทั้งสิ้น ( ผมยังนึกเสียดายที่ใจไม่กล้าพอในตอนนั้นทั้งๆที่มีโอกาสดีที่สุดที่จะตามพ่อเข้าไปลุยอย่างง่ายๆ เพื่อทดสอบตัวเอง ) และบางศาลเจ้ายังมีพิธีขึ้นบันไดมีดที่ขั้นบันไดทำด้วยเหล็กบางๆลับเป็นคมคล้ายใบมีดวางตั้งอยู่เป็นขั้นๆทุกขั้น หลายสิบขั้นแต่พิธีนี้ผมเห็นแต่พระเป็นผู้ขึ้นบันไดเอง
...........พิธีสะเดาะเคราะห์ก็เป็นอีกพิธีหนึ่ง ที่มีคนเข้าร่วมพิธีอย่างมากมาย และเป็นพิธีที่อยู่วันท้ายๆ ทุกคนที่มาร่วมจะต้องเดินข้ามสะพานไม้ที่จัดขึ้นเพื่อให้พระทำพิธีและประทับตรา บนด้านหลังเสื้อ หลายคนเป็นลมก่อนที่จะได้ทำพิธีเพราะความแออัดยัดเยียด เบียดเสียดแย่งกันทำให้ขาดอากาศไปบ้าง บางคนก็ถูกล้วงกระเป๋า (การยักยอกทรัพย์หรือลักขโมยถือเป็นการผิดศีลข้อห้าม) มีหลายคนสวมใส่ เสื้อที่มีรอยประทับเก่าของในปีก่อนๆ มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ บ่งบอกจำนวนปีที่เข้าร่วมพิธีได้เป็นอย่างดี



..........ระยะหลังผมเรียนมัธยม ก็ห่างเหินพิธีกรรมทั้งหลายไปพอสมควร คงเหลือแต่การกินเจบ้างเป็นบางปี ส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะผู้ชม หาใช่ฐานะผู้แสดงแล้วไม่ ยิ่งหลังจากไปเรียนกทม.แล้วผมแทบไม่ได้มีโอกาสไปศาลเจ้าอีกเลย และครั้งสุดท้ายที่เข้าไปไหว้พระที่ศาลเจ้าก็ยี่สิบปีมาแล้วในวันแต่งงาน พักหลังๆผมมีส่วนร่วมกับเทศกาลหรือประเพณีนี้อยู่บ้างไม่มาก และยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ด้วยความเข้าใจต่ออะไรๆมีเพิ่มมากขึ้น ผมเห็นม้าทรงมีทั้งเด็กหญิงและเด็กชายเต็มไปหมด หลายคนอายุเพิ่งสิบกว่าขวบเท่านั้น กฎข้อห้ามต่างๆถูกละเลยไม่ค่อยมีใครใส่ใจปฏิบัติอย่างจริงจัง ผมเห็นอาหารเจที่ถูกปรุงแต่งเป็นเนื้อหมู ,ไส้หมู เห็นเนื้อปลาอินทรีย์เค็มเทียมยำ ที่มีรสชาติที่คล้ายของจริงมากๆ ทุกอย่างทำเทียมเลียนแบบ เพื่อให้การกินเจง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน ร้านอาหารเจมากมายรายรอบข้างโรงเจ หลายศาลเจ้าที่เกือบร้างในอดีตถูกปัดฝุ่นมาทำกิจกรรมกันเพิ่มมากขึ้น บ้างก็สร้างขึ้นใหม่อย่างใหญ่โตสวยงาม เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้คนถือศีลกินเจหรือเพื่อการใดไม่แน่ชัด
.......... ผมเห็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ที่มากกว่าเก่า มีการเสียบโครงรถจักรยาน,กิ่งไม้ใหญ่ๆถูกเหลาจนแหลมแล้วเสียบแทนเหล็ก ลวดหนามที่เจาะทะลุผ่านกระพุ้งแก้ม ป้ายโฆษณากิจการถูกนำมาติดกับปลายเหล็กแหลม เสื้อที่จะใช้ใส่ร่วมขบวนก็ไม่ต้องแย่งกันเหมือนแต่ก่อน เพราะมีผู้นำมาแจกจ่ายมากมาย ขบวนธงและขบวนต่างๆ ถูกจัดเป็นระเบียบเพื่อความสวยงาม ผู้คนในบางขบวนไม่ต้องหลบห่าประทัดเพราะข้อห้ามในการเล่นประทัดถูกกำหนดขึ้น ขบวนแห่รถโฆษณาธุรกิจต่างๆมาเข้าร่วมยาวเหยียด มีการนำกิจกรรมมาใช้เพื่อเสริมอำนาจบารมี เสริมสร้างธุรกิจ และฐานทางการเมือง มีการหาประโยชน์ด้วยรูปแบบต่างๆนาๆ แฝงเข้าไปกับขนบธรรมเนียมประเพณี จนแยกไม่ออก เหมือนที่เกิดขึ้นกับประเพณีดีๆอื่นๆทั่วไปในประเทศนี้.........



........ขบวนแห่เพื่อส่งพระในกลางดึกของปีนั้น เสียงประทัดแผดกังวานก้องไปทั่ววงเวียนน้ำพุ ผู้คนนุ่งขาวห่มขาวเดินก้มหน้าหลบควันจากประทัด เป็นขบวนแน่นอัดเสียดบนท้องถนน มือขวาถือธูปเล่มโตชูขึ้นเหนือศีรษะ ทุกคนต่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามถนนตามหลังขบวนพระและขบวนเกี้ยว เพื่อไปให้ถึงที่หมายเร็วที่สุด คนแก่หลายคนเดินตามห่างๆหลายคนผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า หลายๆคนยังเฝ้ายึดถือปฏิบัติตามประเพณีอย่างเคร่งครัด หลายคนนั่งรถตามขบวนไปหรือขออาศัยชาวบ้านไปด้วย ขบวนธงในวันนั้น ยังคงเป็นด่านหน้าที่วิ่งฝ่าห่าประทัด บ้างเอาธงโบกสะบัดปัดให้ออกจากตัว บางคนหลับตาวิ่งโดยไม่สนใจแถว ประทัดรัวดังกังวานไม่ขาดสาย ควันตลบอบอวลไปทั่วทั้งถนนปกคลุมจนแทบจะไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ นอกจากแสงจากปลายธูป คืนนั้นผมร่วมเดินอยู่ในขบวนด้วย ในมือกำธูปขนาดใหญ่หลายดอกที่มีคนฝากไปตลอดรายทาง ผมเชื่อว่าไม่ใช่แต่ผมเท่านั้นที่มาโดยไม่ได้นัดหมายใคร เพราะทุกคนที่มีใจเลื่อมใส , มีศรัทธาเดียวกัน จะต้องมาเจอกันบนถนนสายนี้ในคืนนี้ ถนนสายที่มุ่งไปสู่ “สะพานหิน” สถานที่ๆสำคัญที่ในอดีตเป็นท่าเรือ และมีเรือสำเภาลำหนึ่งพาชายชาวจีนผู้ซึ่งขันอาสาเป็นคนไปนำควันไฟและควันธูปมาจากมณฑลกังไส ในประเทศจีน เขาใช้วิธีต่อธูปมาเรื่อยๆตลอดการเดินทางเพื่อไม่ให้ดับ เขามาพร้อมกับตำรา คัมภีร์ และกำหนดการรวมถึงพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้การถือศีลกินเจของคนที่นี่สมบูรณ์ และปฏิบัติถูกต้องเหมือนต้นกำเนิด เขามาหลังจากที่ผู้คนบนเกาะแห่งนี้ ต่างก็เฝ้ารอคอยการเขาอย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลาหลายปี และประเพณีนี้ก็ได้รับการสืบทอดต่อมาจวบจนปัจจุบัน


บันทึกไว้เมื่อ พ.ย. 2550



Create Date : 04 ธันวาคม 2550
Last Update : 8 ธันวาคม 2550 8:24:04 น. 0 comments
Counter : 570 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kopo
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีทุกท่านที่ได้แวะมาเยี่ยมชมนะครับ
เป็นบล็อคที่มีไว้เก็บเรื่องราวดีบ้างไม่ดีบ้าง
ของตัวเองที่พบเจอมา หรือบางอารมณ์ก็
เขียนขึ้นคราอยากเขียน ก็เพื่อเตือนใจตัวเองเป็นหลัก
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่พลัดหลงมา
**อบอุ่นกับครอบครัว เป็นบล็อคแนะนำครอบครัวและเรื่องที่เกิดขึ้นของสมาชิกในครอบครัวครับ
**เรื่องเล่าจากแดนไกลคือประสบการณ์เสี้ยวหนึ่งของชีวิตจริง ที่ดีบ้างเลวบ้าง
**มุมกลอน-โคลงมีไว้ระบายอารมณ์และใครจะฝากฝีไม้ลายมือเชิญได้ครับห้องกลอนฝากจากเพื่อน จะเป็นเกียรติมากครับ
**กดกริ่ง ไว้สำหรับเพื่อนๆที่รักกดเรียกใช้ได้นะครับ
**สดุดีวัน-บุคคลสำคัญ เป็นที่แสดงความมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ต่างๆ หรือกับบุคคลต่างๆ ถ้ามีเวลาเขียนก็จะทันเหตุการณ์ หากไม่ว่างก็ถือว่าเป็นควันหลงไปแล้วกัน
**วาดวางคราวันว่าง เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นช่วงสั้นๆในชีวิต แล้วก็ใส่ร้ายป้ายสีไปตามเรื่อง
**dim [do it myself] เป็นงานที่สามารถชนะใจตนเองในสิ่งที่อยากทำได้มั่ง และก็ลงมือทำดู
**กล่องจดหมาย เป็นกล่องใส่จดหมายเพื่อโต้ตอบกับลูกสาวที่ห่างไกลบ้าง กับเพื่อนๆตั้งแต่สมัยเรียนบ้าง(คงได้แต่เขียนทิ้งไว้ไม่ได้ส่งให้) เป็นอารมณ์ที่อยากบอกกับเพื่อนแต่ไม่มีโอกาสบอกกันตรงๆ
**ลิ้นชักบนสุด ปกติเป็นที่เก็บพระเครื่องของสะสม ต่างๆที่พอมีเล็กๆน้อยๆ
**รีวิว ออฟ มาย ไลฟ์ ทีแรกตั้งหัวข้อไว้จะเขียนเรื่องตามหัวข้อนั่นแหละแต่ไปๆมาๆ กลายเป็นความเห็นทางการเมืองซะ ไม่เป็นไรคิดว่าแสดงตัวตนของตัวเองผ่านความเห็นทางการเมืองละกัน
Friends' blogs
[Add kopo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.