เมื่อไม่นานมานี้
ผมซื้อเครื่องพริ้นเตอร์มาใหม่ หลังจากที่ไม่ได้ใช้มานานแสนนาน
สาเหตุที่ซื้อ มีหลายอย่างครับ แต่หนึ่งในนั้นก็เพราะเครื่องพริ้นเตอร์สมัยนี้ ทำอะไรได้มากกว่าพริ้นท์ นั่นคือเป็นเครื่องสแกน ส่งแฟ็กซ์ และเป็นได้แม้กระทั่งเครื่องถ่ายเอกสาร
อีกทั้ง เครื่องพริ้นเตอร์สมัยนี้ก็ราคาถูก (แต่ตลับหมึกกลับเล็กและแพงขึ้นกว่าเดิม - มีคนบอกว่า นั่นคือการปรับกลยุทธ์ในการขาย คนใช้ของก็ปรับมาใช้แท้งก์หมึกกัน เหมือนน้ำมันแพง ก็เปลี่ยนมาใช้แก๊ส แต่ของเดิมๆจากโรงงาน อย่างไรเสียก็ต้องดีกว่า)
พอได้เครื่องมาเสร็จสรรพ ใช้ได้สักพัก ก็เพิ่งค้นเจอรูปเก่าๆ (อ่อ พอดี ผมเพิ่งย้ายออกจากเมืองกรุงกลับบ้านนอกได้ไม่นาน เพิ่งจะขนเอารูปเก่าๆกลับมา)
สนุกเลยครับทีนี้ นั่งสแกนรูปเก่าๆที่ถ่ายร่วมกับเพื่อนๆ ไปแปะในเว็บรุ่น ให้เพื่อนๆชมกัน อดีตต่างๆก็พรั่งพรูออกมาจากรูปภาพเหล่านั้น
"ตอนนั้น.. นะ......."
"โอ้โห.. ปี 2535 ตอนนี้ 2551 กี่ปีแล้วว่ะ.."
"เฮ้ย... นี่รูป.........."
"มีตติ้งปีนี้เมาง่าวสุดๆ"
"จำได้ว่าปีนี้ชวนพวกกรุงเทพไป นั่งรถไฟชั้น 3 สิบหกหรือสิบแปดชั่วโมงถึงเชียงใหม่ มาวตั้งแต่รถยังไม่ออกจากมหาลัยเลย ง่าวแต๊"
ค้นๆไปอีก ก็เจอภาพเก่าๆที่เคยถ่ายไว้ด้วยกล้องฟิล์ม (ปัจจุบันไม่อยู่กับผมแล้วครับ เจอโจรใจร้ายปีนเข้าบ้าน ยกไปเมื่อหลายปีแล้ว)
ตั้งแต่ตอนเรียนถ่ายรูป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนในมหาวิทยาลัย สมัยนั้นใช้ฟิล์มขาวดำ แล้วก็อัดล้่างกันเอง
ตอนนั้น ต้องถ่ายหลายๆรูป แล้วก็มีตารางคอยจดว่า รูปนี้ฟิล์ม iso เท่าไหร่ ความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสงเท่าไหร่ สภาพแสงเป็นอย่างไร เพื่อประโยชน์ในการถ่ายครั้งต่อๆไป
ถ่ายเสร็จแล้ว เอาฟิล์มมาล้าง แล้วก็เอามาอัดในห้องมืด ลองทำเป็นขนาดเท่าฟิล์มก่อน เพื่อเอามาเลือก และตัดส่งอาจารย์พร้อมรูปขนาดใหญ่
ค้นมาเจอรูปสีที่ถ่ายจากฟิล์ม ช่วงนั้น จะมีคนเขาบอกกันเลย รวมถึงผมเองที่เชื่อเช่นนั้นว่า ถ้าฟิล์มโกดักจะให้สีโทนส้่มแดงมากกว่า แต่ถ้าใช้ฟิล์มฟูจิจะได้สีเขียวมากกว่า
หมายความว่า ถ้าจะถ่ายภาพวิวก็ให้ใช้ฟูจิ จะได้สีสันของพันธุ์ไม้่ที่สวยงาม ส่วนจะถ่ายภาพคนก็ให้ใช้โกดักจะสดใสกว่า
แต่ถ้าจะให้ใสกริ๊งเลยนะ สีชัด คอนทราสต์สุดยอด ก็ให้ใช้ฟิล์มสไลด์
ดูรูปภาพเหล่่านี้แล้วให้นึกถึงตอนช่วงนั้นว่า กว่าจะกดชัดเตอร์ถ่ายแต่ละภาพ ดูแล้วดูอีก ดูให้แน่ใจ วัดแสง จัดองค์ประกอบอย่างดี
เพราะว่าฟิล์มเองก็ไม่ถูก ถ่ายเหลือ อยากเอามาดูก่อนก็ต้องไปตัดฟิล์ม ค่าล้างค่าอัดภาพแต่ละครั้งก็หลายบาทอยู่ทีเดียว
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีกล้องดิจิตอล ถ่ายกันเต็มทีตามความจุของเมมโมรีการ์ด ถ่ายแล้วไม่พึงใจก็ดีลีต ลบทิ้ง เมื่อก่อนกล้องฟิล์ม ถ่ายแล้วไปลุ้นเอาตอนล้าง จนเป็นที่มาของคำว่า ขอกันเหนียว หรือถ่ายเผื่ออีกสักใบ ในการถ่ายรูปหมู่
วันนี้ อาจจะมีข้างหลังภาพน้อยลง เพราะภาพต่างๆอยู่ในระบบดิจิตอล ทั้งในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แม้่แต่มีการทำกรอบภาพดิจิตอลมาแล้ว
แต่ก็ยังคงเหลือความหลังภาพเหลืออยู่ให้ได้จดจำกัน
เหมือนกับประโยคที่ว่า ภาพหนึ่งภาพให้่ความหมายมากกว่าคำเป็นพันๆคำ
หยิบหรือเปิดไฟล์ภาพขึ้นมาชมครั้งใด ก็ให้นึกถึงความหลังครั้งนั้น
จริงมั้ยล่ัะครับ..