Group Blog
พฤษภาคม 2560

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
นั่งรถไฟเที่ยวโตเกียว



ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่คนไทยนิยมไปเที่ยวมากที่สุด เพราะเที่ยวง่าย อาหารอร่อย สถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย และสามารถเที่ยวได้ทั้งปี จะมาฤดูไหนก็สามารถมาได้

เริ่มแรกกับการจองตั๋วเครื่องบิน แวะไปดูโปรโมชั่นที่เพจอาแป๊ะได้โพสต์บอกว่า Malaysia Airline ลดราคา ไม่รอช้ารีบเข้าไปจองเลยจ้า (อาแป๊ะลิงก์ช่องทางการจองไปยัง Expedia) ได้ตั๋วไป-กลับ BKK-KUL-NRT / NRT-KUL-BKK ช่วงวันสงกรานต์ ราคาน่ารักมาก (แม้จะต่อเครื่องที่ KL ก็ตาม)


ต่อมาก็จองโรงแรมผ่าน Agoda ผมเลือกโฮสเทล ชื่อว่า 1 Night 1980 Hostel Tokyo ในราคา 7xx ต่อคืน เป็นแคปซูลโฮทเทล มีแคปซูลที่นอนส่วนตัวไม่ต้องหันหน้าไปเจอกับใคร (อยากจะบอกว่าโรงแรมที่โตเกียวราคาสูงเลยทีเดียวสำหรับการไปคนเดียว เพราะไม่มีใครช่วยหารค่าห้อง)

การเดินทางไปญี่ปุ่นก็โอเคแล้ว ที่พักก็จองเรียบร้อย เหลือเพียงการเดินทางจากสนามบินไปตัวเมือง ผมแพลนไว้ว่าอยากนั่ง Skyliner จากสนามบินสู่ตัวเมือง เลยไปที่ H.I.S แล้วซื้อแพคเกจ Skyliner Round Trip + 72 hr Tokyo Subway Ticker ในราคา 1,7xx โดยตั๋วจะมีอายุไม่เกิน 6 เดือน (คำนวนดีๆ ว่าจะซื้อตอนไหน) แล้วเอาตั๋วนี้ไปเปลี่ยนเป็นตั๋วรถไฟที่สนามบินนาริตะ



คนติดโซเชียลฯ อย่างเราต้องมีอินเทอร์เน็ตติดตัว ผมเลือก Sim2Fly จาก AIS ครับ ราคา 399 บาท ก่อนจะบินออกจากไทยเข้าไปเปิดใช้บริการก่อน หรือจะเปิดใช้บริการที่ญี่ปุ่นก็ได้ ซิมนี้สามารถนำไปใช้ที่ต่างประเทศได้หลายประเทศครับ (ทางเราต่อเครื่องที่มาเลเซียก็สามารถใช้ได้นะจ๊ะ) ของดีต้องบอกต่อ ใช้ดีมากกกกกกกกกกกก เน็ตเร็วสุดๆ เมิน WiFi โรงแรมได้เลย (ใครใช้แล้วไม่อยากทิ้งก็เก็บไว้นะ ค่อยๆ เติมตังเดือนละครั้ง แล้วครั้งต่อไปจะไปเที่ยวประเทศไหน ค่อยซื้อแพคเกจเพิ่มได้)


และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ตอนนั้นมีขาวว่า MH มีการเปลี่ยนไฟร์ท มีหลายๆ คนโดนเท เราก็แอบตกใจเบาๆ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ดูรีวิวการเดินทาง Malaysia Airline ได้ที่ >> มาเลเซียแอร์ไลน์จากกรุงเทพฯ สู่โตเกียว





ผมเริ่มเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 5 โมงเย็นไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ตอนเที่ยงคืนครึ่ง (แอบดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าๆ) เมื่อเข้าญี่ปุ่นใกล้แลนดิ้งค์จะเห็นภูเขาฟูจิ

เมื่อมาถึงนาริตะแล้วความตื่นเต้นก็ยังไม่จบ เพราะอ่านรีวิวจาก Pantip มาเยอะโดนเฉพาะกระทู้ ตม ที่มีแต่คนบอกว่า ตม โหด ศุลกากรโหดมาก โดนเข้าห้องเย็นเป็นว่าเล่น แต่…อย่าเพิ่งไปเชื่อนะครับ ผมเดินเข้า ตม แบบชิวสุดๆ พอไปถึงด่านศุลกากร ยื่นใบศุลกากร มีการบอกว่าโอเค ยูไปได้แล้ว  เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งกังวลไปครับ อย่าทำตัวให้เขาต้องจับพิรุธเราก็พอ [สามารถอ่านวิธีการเตรียมตัวผ่าน ตม ได้ที่ เทคนิคผ่าน ตม ยังไงให้ฉลุย]

วันที่ ๑



หลังจากผ่าน ตม, ศุลกากร และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราจะไปแลกตั๋ว Skyliner+Subway Pass  กันก่อนเลย โดยเราจะเดินตามป้าย Train to City ไปเรื่อยๆ นะครับ พอมาถึงทางเข้าสถานีรถไฟแล้ว มองหา Skyliner Keisei Information Center ไว้



สังเกตุง่ายๆ ออฟฟิศจะอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าสถานีรถไฟติดกับ Family Mart เดินเข้าไปหาพนักงานและแสดงตั๋วที่ได้จากเมืองไทย พนักงานจะให้เราดูว่าจะไปรถไฟรอบไหนดี เลือกรอบแล้วจะปริ้นตั๋วให้



ใบแรก เราจะได้ตั๋วรถไฟ สนามบิน – อูเอโนะ ในตั๋วจะบอกรอบที่เราเลือก (Date/DEP/ARR) / ตู้ที่เราต้องไปนั่ง (CAR) / ที่นั่งของเรา (SEAT) และจะได้ตั๋วขากลับสนามบินอีกใบ (ตั๋วอีกใบลืมถ่ายมา) เป็นตั๋วที่ต้องเอาไปแลกตั๋วอีกทีนะครับ ไม่ใช่ตั๋วนั่งรถไฟ เราต้องเอาตั๋วนั้นไปยื่นที่ขายตั๋ว เขาจะให้เราเลือกรอบรถไฟขากลับอีกครั้งนึงครับ




และก็จะได้ตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน 72 ชั่วโมง (บัตรเป็นระบบ 24 ชั่วโมง แตะเข้าครั้งแรกเวลาไหน ก็นับไปจนครบ 72 ชั่วโมง)

[เนื่องจากเราจะใช้การโดยสารรถไฟเป็นหลัก สำหรับมือใหม่สามารถเข้าไปอ่านวิธีการขึ้นรถไฟเบื้องต้นได้ที่ เทคนิคการขึ้นรถไฟเที่ยวไม่หลง ]



ไปครับ ไปนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน เดินเข้าทางนี้เลย ใครไม่ได้จองแพคเกจตั๋วมาจากไทย สามารถซื้อตั๋วที่นี่ก็ได้นะ




เดินเข้าไปในสถานีแล้วอย่าสับสนนะ ทางเราเข้าใจว่า Skyliner มันสีฟ้า เลยเดินตามสีฟ้าไปเรื่อยๆ พอผ่านประตูเข้ามาแล้ว มองทางซ้ายมือไว้ จะเห็นประตูสีส้มๆ เขียนหมายเลข 1 ใหญ่ๆ มีโลโก้ Skyliner เดินเข้าไปเลย พอเราเดินมาถึงชานชาลาให้มองที่พื้น เขาจะมีหมายเลขตู้กำกับไว้ (Car no.) จะได้ยืนรอถูกตู้รถไฟ




นั่งไปประมาณ 40 นาทีได้มั้ง ก็มาถึงสถานที Ueno (จะจอดแค่ 2 สถานีนะ) เมื่อเดินทางมาถึง สถานี Keisei Ueno ใครจะไปเที่ยวต่อแล้วอยากฝากกระเป๋าไว้ก่อน ที่สถานีมีตู้ Locker ให้บริการนะครับ (กระเป๋าใบใหญ่ๆ บางทีก็เต็ม แต่ใบเล็กๆ มาตอนเช้าๆ ยังว่างอยู่เยอะ)

ล็อคเกอร์ฝากกระเป๋า




วิธีใช้งาน คือ เล็งไว้เลยตู้ไหนว่างอยู่ > เปิดประตูเอากระเป๋าใส่เข้าไป > ปิดประตูให้แน่น > จำหมายเลขตู้ > ไปที่เครื่องจ่ายเงิน > กดเลือกภาษาอังกฤษบนหน้าจอ > กดเลือกฝากประเป๋า > กดเลือกหมายเลขตู้ > หยอดตังค์ > รับสลิป



เก็บสลิปไว้ให้ดี แนะนำว่าถ่ายรูปไว้เลย มันจะมี PIN สำหรับเปิดตู้ครับ (เวลาจะเปิดตู้ แค่มากดเลือกเปิดตู้ แล้วใส่รหัสที่ได้รับ ตู้จะปิดออกมาครับ ขอแนะนำว่าตอนเปิดตู้ อย่าเปิดแรง อย่าให้ประตู้มันเด้งมาปิด เพราะถ้ามันปิด ต้องเสียเงินเพื่อเปิดตู้อีกรอบนะ ฮาๆๆๆๆๆๆ)

งั้นเราเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่า ที่แรกที่จะไปคือ วัด Sensoji อันนี้ฮิตมาก ต้องไปจริงๆ ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำหรับมือใหม่หัดเที่ยวญี่ปุ่นเลยละ วิธีมาก็ง่ายๆ เมื่อกี้เราออกจาก Keisei Ueno ก็เดินมาเปลี่ยนสายรถไฟเป็น Ginza

[เทคนิคง่ายๆ ในการหาสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อต้องเปลี่ยนรถไฟคนละสาย คือ จำหรือหาภาพสัญลักษณ์แต่ละสาย มันจะเป็นแค่วงกลมสีตามสายรถไฟ แล้วด้านในเป็นตัวย่อ เช่น Ginza Line ก็จะเป็นวงกลมสีส้ม มีตัวอักษร G อยู่ด้านใน เมื่อหาเจอแล้ว แล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ส่วนวิธีจะไปขึ้น Track หรือ ชานชาลา ให้ถูก ก็ดูว่าสถานีที่เราจะไปมันหมายเลขอะไร แต่ละ Track จะมีบอกไว้ว่า Track นี้เดินทางจากสถานีหมายเลขนี้ถึงสถานีหมายเลขนี้ ภาพด่านล่างจะบอกไว้เลยว่า Track 2 เดินทางจาก  G17 ไป G19 ]



ใช้ตั๋ว 72hr ticket เข้าสถานีได้เลย มันจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่เริ่มเสียบบัตร นั่งจากสถานี Ueno ไปสถานี Asakusa




วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนเรียกติดปากไปว่า วัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโตเกียว มีประวัติความเป็นมาว่า เมื่อ ค.ศ. 628 มีพี่น้องชาวประมงพบองค์เจ้าแม่กวนอิมนาดเล็กที่แม่น้ำซูมิดะ และได้นำกลับเข้าหมู่บ้านในอาซากุสะ ต่อมาชาวบ้านได้สร้างวัดจากบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่เก็บรักษาองค์เจ้าแม่ กวนอิม และหลังจากนั้นก็ได้สร้างวัดเซ็นโซจิขึ้นใน ค.ศ. 645


ก่อนถึงตัววัดจะมีถนนนากามิเสะ (Nakamise dori) ที่เรียงรายด้วยร้านค้าทอดยาวจนถึงบริเวณวัด ใครที่ซื้อของกินตามร้านค้าบนถนนแห่งนี้ ทางร้านจะให้เรายืนกินที่หน้าร้านเท่านั้น เพื่อไม่ให้ขนมหกเลอะเทอะบนถนน ถือว่าเป็นกฎเหล็กของร้านค้าย่านถนนนากามิเซะเลยก็ว่าได้

ที่จุดธูปมีความครีเอท ไม่ต้องกลัวไฟจะมอด ไม่ต้องกลัวว่าไฟจะโดนมือ เอาธูปจิ้มลงไปตรงกลาง จ่อไว้สักพัก ธูปก็จะติดไฟได้ในทันที



เดินออกจากวัด Sensoji ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะเจอกับ Tourist Information Center


เดินเข้าไปในอาคาร Tourist Information Center กดลิฟท์ไปชั้น 8 ไปดูวิวฟรีๆ กันจ้าาาาาาา (ชั้นใต้ดินมีห้องน้ำ / ชั้น 8 มีร้านอาหาร / ชั้นอื่่นๆ มีพวกนิทรรศการ)

เดินออกจาก Tourist Information Center เลี้ยวไปทางขวามือ ตรงไปเรื่อยๆ จะเจออีกมุมที่หลายๆ คนชอบมาถ่ายรูปกับตึกอาซาฮีและสะพานแดง (หามุมดีๆ จะได้ Tokyo Sky Tree มาด้วยนะ)


เดินเลยสะพานแดงมาอีกฝั่ง เดินไปอีกนิดก็จะถึง Tokyo Sky Tree

แล้วเดินกลับมาเพื่อจะขึ้นรถไฟใต้ดิน แวะสวนริมแม่น้ำสุมิดะซะหน่อย ดอกไม้กำลังบานเลยละครับ แวะสูดอากาศที่สวนตรงนี้สักพัก เราจะไปลุยต่อที่สวนอูเอโนะไปดูซากุระกัน...

ขามาวัด Sensoji ยังไง เราก็นั่งกลับไปแบบเดิม นั่งรถไฟใต้ดินจาก Asakusa ไป Ueno ดูป้ายทางออก Ueno Park ครับ เดินตามทางไปเรื่อยๆ



เดินเข้ามาผมเจอศาลเจ้าก่อนเลยฮ๊ะ ตามธรรมเนียมการเข้าศาลเจ้าของคนญี่ปุ่นคือ ต้องล้างมือ ล้างปาก กันก่อน




สวนเดียวเที่ยวครบ ในสวนอูเอโนะ จะมีวัด ศาลเจ้า สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์ สวนอูเอโนะอยู่ใกล้กับตลาด Ameyoko สามารถเดินไปได้ (เปิด Google Map แล้วเดินตามได้เลย ไม่หลงแน่นอน)

ทีนี้ก็ขายของกินของใช้ในราคาที่เป็นกันเอง (บางร้านก็ดูไม่เป็นกันเองสักเท่าไร) ผมสังเกตุเห็นคนไทยนิยมแวะช้อปปิ้งที่ร้านขายกระเป๋า (โดยเฉพาะร้านที่ขายกระเป๋า anello) นอกจากในส่วนของตลาดแล้ว ยังมีห้างร้านรายรอบตัวตลาดอยู่เยอะมากเช่นกัน



เราสามารถเดินไปถึงตึกม่วงเลยก็ได้นะ (หากไม่อยากเดินก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Naka-Okachimachi ออกทาง exit 3 สถานีจะอยู่ใกล้กับตึกม่วง)..........

การเดินทางกลับเพื่อไปเช็คอินที่พัก

เริ่มต้นที่สถานี Ueno ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Hibiya Line (สังเกตุง่ายๆ ดูป้ายสัญลักษณ์ วงกลมสีเทา มีตัว H อยู่ด้านใน) และเดินทางไปที่สถานี Iriya เพื่อไป 1 Night 1980 Hostel [สามารถอ่านรีวิวโฮสเทลได้ที่ 1 Night 1980 Hostel แคปซูลโฮสเทล]



ค่ำๆ  ไม่รู้จะไปไหน เลยแวะไปช้อปปิ้งซะหน่อย ย่านนี้ขาช้อปไม่ควรพลาด  เป็นย่านที่รวมห้างสรรสินค้าไว้เยอะเลยทีเดียว มาเที่ยวญี่ปุ่นวันแรกก็เสียตังค์กันเลย ในส่วนของราคานั้น ไม่ได้มีราคาถูกแต่อย่างใด แต่มีบางร้านที่ลดราคา บางร้านมีโปรโมชั่น ทำให้น่าช้อปปิ้งขึ้นมาหน่อย วันนี้ผมจบทริปไว้ที่ Ginza เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลุยกันต่อ



วันที่ ๒

วันที่ 2 ตื่นตั้งแต่ตี 5 วันนี้มีแพลนไปหลายที่ ไม่รอช้าเริ่มที่แรกด้วยตลาดปลา เริ่มต้นจากสถานี Iriya ไปยังสถานี Tsukji  พอมาถึงปุ๊บเดินไปทางออก Tsukiji Hongan-ji (จำไม่ได้ว่ามีประตูที่ออกใกล้ตลาดกว่านี้ไหม) เดินออกมาเรื่อยๆ เราจะเห็น Tsukiji Hongan-ji อยู่ทางซ้ายมือ (ตัวตึกจะขลังๆ ใหญ่ๆ อลังการ) พอเดินถึงทางแยก ก่อนข้ามถนนมองไปฝั่งตรงข้าม ให้สังเกตุว่ามี FamilyMart อยู่ตรงหัวมุมถนนไหม ถ้ามีแปลว่าเดินมาถูกทางแล้วจ้าาา เดินไปอีกนิดก็ถึงแล้ว


ที่มา :https://singletravelstrong.wordpress.com/2017/05/15/%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%81/

เพจ เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง





Create Date : 18 พฤษภาคม 2560
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2561 15:37:08 น.
Counter : 250 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jewelmoda
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]



ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากทำงานด้านเด็ก อยากเป็นครู แต่กลับต้องไปทำงานแบงค์ เมื่อขอเออรี่ออกมา ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็กไทย

Myspace angels graphics
New Comments
Friends Blog
[Add jewelmoda's blog to your weblog]