Group Blog
พฤษภาคม 2560

 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
6 พฤษภาคม 2560
All Blog
Bible1





{THE 10 CHARACTERISTICS OF GOD}

[พระลักษณะของพระเจ้า 10 ประการ]

1:Sovereignty (ดำรงอยู่สูงสุด)

พระเจ้าทรงอยู่ดำลงอยู่สูงสุด เป็นผู้ครองจักกรวาลทรงตำแหน่งองค์กษัริย์แห่งสวรรค์และแผ่นดินโลก

พระองค์ทรงอำนาจสูงสุด และควบคุมประวัติศาสตร์ ผู้เขียนสดุดีบทที่ 83 เขียนถึงบุคคลแรกแห่งตรีเอกานุภาพ คือ พระบิดาว่า"พระองค์เดียว ผู้ทรงพระนามว่า 'พระเยโฮวาห์' ทรงเป็นผู้สูงสุดเหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น"(สดุดี 83:18ข)และในที่สุด แผนการพระเจ้าจะสำเร็จตามน้ำพระทัยของพระบิดา ด้วยว่าสวรรค์เป็นเช่นไร ก็จะ "เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก"(มัทธิว 6:10)ส่วนพระบุตร พระบิดาเคยตรัสถึงพระองค์ว่า "เราได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้วบนศิโยน ถูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา"(สดุดี 2:6) และในฐานะเป็นพระเจ้าผู้ทรงสมบูรณ์แบบ และมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบในทุกประการ(the God-man) พระเยซูคริสต์ยังทรงยืนยันถึงตำแหน่งอันสูงสุดของพระองค์[ตั้งแต่เวลาที่พระเยซูทรงเสด็จมาจากสวรรค์โดยรับสภาพเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสมบูรณ์แบบ และมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ทรงสถิตในกายเดียวกัน(the God-man)ซึ่งพระองค์ทรงสภาพเป็น God-man ดังนี้ตลอดไปเป็นนิตย์(ฟิลิปปี 2:5-11)]โดยตรัสว่า"สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว"(มัทธิว 28:18ข; เปรียบกับ ฟิลิปปี 2:11; วิวรณ์ 19:6) ถึงแม้ว่าซาตานคือผู้ครองโลก(ยอห์น 12:31; เปรียบกับ 16:11) แต่น้ำพระทัยของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าแผนการของซาตานโดยสิ้นเชิง ผู้เชื่อทุกคนจึงควรมั่นใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงควบคุมประวัติศาสตร์ และมั่นใจว่าเรามีอนาคตที่แสนงดงาม(สดุดี 33)ในฐานะเป็นผู้ซึ่งดำรงอยู่สูงสุด พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแจกจ่ายของประทานฝ่ายวิญญาณ"แก่แต่ละคน[ผู้เชื่อ] ตามชอบพระทัยพระองค์"(1 โครินธ์ 12:11)

2:Righteousness (ความชอบธรรม)

ความชอบธรรมของพระเจ้า คือ ความดีอันสมบูรณ์แบบทุกประการของพระองค์ น้ำพระทัยและพระราชกิจของพระองค์ได้สอดคล้องกับมาตฐานอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมที่สมบูรณ์แบบและไม่สิ้นสุด(absolute righteousness)ตรงข้ามกับความชอบธรรมของมนุษย์ซึ่งต่างระดับและไม่อาจบรรลุมาตรฐานของพระเจ้า(relative righteousness)

"ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนสิ่งสกปรก และการกระทำอันชอบธรรมของข้า พระองค์ทั้งสิ้น เหมือนผ้าเปื้อนเลือดประจำเดือน[แปลตรงจากภาษาฮีรู]"(อิสยาห์ 64:6ก)

พระบิดาได้ตรัสถึงความชอบธรรมของพระองค์ว่า"ความชอบธรรมของเราจะอยู่เป็นนิตย์"(อิสยาห์ 51:8ข)และพระบุตรยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของพระบิดา(ลูกา 18:19; ยอห์น 17:25)พระคัมภีร์ได้เขียนถึงพระบุตรว่าพระองค์ทรง"บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง"(ฮีบรู7:26)"ชอบธรรม"(1ยอห์น 2:1) และทรงเป็น"ผู้ทรงไม่มีบาป[ไม่มีธรรมชาติบาป]"(2 โครินธ์ 5:21) [(Sin Nature ธรรมชาติปาบ) มนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติปาบอยู่ในเซลล์ของร่างกาย(ยกเว้นแต่ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์)(โรม 6:6; 7:5; 18) ซึ่งถูกสืบทอดทางอสุจิของผู้ชายในเวลาปฏิสนธิ (ปรฐมการ 5:3)ธรรมชาติบาปเป็นแหล่งการล่อ และผลิตกิเลสตัณหาซึ่ง ทำให้มนุษย์กบฎต่อพระเจ้า พระคัมภีร์ได้เรียกธรรมชาติบาปว่า 'คนเก่า'(เอเฟซัส 4:22) เนื้อหนังแห่งบาป(โรม 8:3-4) อาจารย์เปาโลได้เขียนถึงหลักการของบาป การรับธรรมชาติบาป และการตายฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ในพระธรรม โรม 7:8-20 และการที่ผู้เชื่อไม่ได้เป็นทาสต่อธรรมชาติบาปใน โรม 8:2,9]และในอนาคตคนทั้งปวงจะทรงเรียกพระองค์ด้วยพระนามว่า"พระผู้เป็นเจ้า ความชอบของเรา"(เยเรมีย์ 23:6) การที่พระวิญญาณทรงพระนามว่า"บริสุทธิ์"ได้เล็งถึงความชอบธรรมอันสมบูรณ์แบบของพระองค์

3:Justice (ความยุติธรรม)

เนื่องจากพระเจ้าทรงยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ พระองค์ไม่อาจกระทำต่อผู้ใดด้วยการอธรรม
พระเจ้าทรงสัมพันธ์กับมนุษย์ผ่านความยุติธรรมของพระองค์ ด้วยว่า พระองค์จะทรงอวยพรหรือจะพิพากษาลงโทษมนุษย์ก็ขึ้นอยู่กับความยุติธรรมของพระองค์ สิ่งใดที่ผิดกับความชอบธรรมของพระเจ้า เช่น บาปส่วนตัวของเรา ความยุติธรรมของพระองค์จำต้องลงโทษ สิ่งใดที่ถูกกับความชอบธรรมของพระองค์ เช่น การที่ผู้เชื่อได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสต์(1โครินธ์ 1:30)ความยุติธรรมของพระองค์ก็จำต้องอวยพรความยุติธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อรวมด้วยความรักของพระองค์ ก็กลายเป็นคุณธรรมของพระองค์

พระบิดาทรงชอบธรรมในทุกเรื่องที่พระองค์ทรงกระทำต่อมนุษย์(เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4; เนหะมีย์ 9:33) พระบิดาทรงประทานพระบุตรให้รับการพิพากษาลงโทษสำหรับบาปของเราแทนเรา ซึ่งเป็นการพระทัยความยุติธรรมและความชอบธรรมของพระบิดา(ยอห์น 3:16; โรม 3:24-26) พระบิดาก็ยังทรงแต่งตั้งพระบุตรให้ทรงเป็น"ผู้พิพากษาอันชอบธรรม"(2 ทิโมธี 4:8) และทรง"ประทานให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะพิพากษาด้วย"(ยอห์น 5:27)พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงความยุติธรรมของพระเจ้าด้วยพันธกิจในการให้โลกรู้แจ้ง"ถึงความผิดบาป ถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา"(ยอห์น 16:8-11)พระเจ้าไม่ได้พิพากษาลงโทษใครถึงบึงไฟนรกยกเว้นผู้ที่ได้ปฎิเสธความรอดนิรันดร์ ที่พระองค์ทรงประทานแก่ทุกคนผ่านพระเยซูคริสต์เป็นข้อเสนอที่พระองค์ทรงเสนอให้ชาวโลกได้รับตลอดทั้งชีวิตของเขา

4:Love (ความรัก)

พระเจ้าทรงเป็นความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงและดำลงอยู่นิรันดร์(1ยอห์น 4:8ข,16) ความรักของมนุษย์ ซึ่งแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่อาจเทียบกับความรักของพระองค์ได้ ความรักของพระเจ้าไม่ได้ถูกชักพาไปด้วยอารมณ์ความรักของพระเจ้าไม่ได้แสวงหาการทดแทน และสามารถอยู่ได้โดยปราศจากการตอบสนองจากผู้อื่น ความรักของพระองค์สามารถดำลงอยู่โดยปราศจากทูตสวรรค์หรือมนุษย์เพราะพระองค์ ทรงเป็นความรัก และทรงมีความรักต่อพระองค์เอง

ความรักของพระองค์ทรงสำแดงออกในสามด้าน

1.ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระองค์เอง(Divine self love) คือ พระเจ้าทรงรักความชอบธรรมของพระองค์เอง ดังนั้น ความรักนี้ ได้เล็งถึงความชอบธรรมอันสมบูรณ์แบบของแต่ละบุคคลในตรีเอกานุภาพ

2.ความรักส่วนตัวของพระเจ้า(Divine personal love) เป็นความรักที่พระองค์ทรงมีต่อผู้เชื่อทุกคนได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว

3.ความรักไม่ส่วนตัวของพระเจ้า(Divine impersonal love) เป็นความรักที่พระองค์ทรงมีต่อผู้ไม่เชื่อทุกคนในฐานะเป็นคนบาป(ยอห์น 3:16; โรม 5:8) ความรักไม่ส่วนตัวที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ที่ไม่เชื่อตั้งอยู่บนคุณธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่คณุความดีใดๆ ของมนุษย์[ความรักไม่สวนตัว(หรือ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข)(impersonal love)ได้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของผู้รัก ความรักส่วนตัว(personal love)ขึ้นอยู่กับความหน้ารักของผู้ที่ถูกรัก ความรักอันไม่ส่วนตัวของพระเจ้า(Divine impersaol love)คือการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนบาปด้วยความเมตตาและคุณธรรมอันทรงสมบูรณ์แบบของพระองค์]

คำว่า"พระเจ้าทรงเป็นความรัก"หมายถึงทุกพระภาคในตรีเอกานุภาพ พระบิดาทรงรักพระบุตร และยังทรงสำแดงความรักที่พระองค์มีต่อมนุษย์ด้วย"พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้น[ผู้เชื่อทั้งหลาย]ที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์[พระบุตร] อยู่กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะสร้างโลก"(ยอห์น 17:24)

"โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้า[พระบิดา]ที่มีต่อเราทั้งหลายก็ เป็นประจักษ์แล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมาให้เสด็จเข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิตโดยพระบุตรนั้น"
(1 ยอห์น 4:9)

ทั้งพระบิดาและพระบุตรทรงรักเรามากจนพระคริสต์ทรงตายแทนเรา

"แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลายคือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อ[แทน]เรา"(โรม 5:8)

ความรักของพระเจ้าทรงสำแดงแก่มนุษย์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

"เพราะว่าความรัก[ส่วนตัว] ของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่เราแล้ว"(โรม 5:5ข)

ความรักส่วนตัวของพระเจ้าจำเป็นต้องสอดคล้องกับความชอบธรรมของพระองค์ มนุษย์ไม่สามารถบรรลุมาตรฐานความชอบธรรมของพระเจ้าได้ หากพระเจ้าจะทรงรักมนุษย์ที่เลวทรามด้วยความรักแบบเดียวที่พระองค์ทรงรักพระองค์เอง ก็จะเป็นการประนีประนอมกับคุณธรรมของพระองค์
ความชอบธรรมของพระเจ้าได้เรียกร้องให้ความยุติธรรมของพระองค์พิพากษาลงโทษบาป ความยุติธรรมของพระเจ้าจึงได้พิพากษาลงโทษ มนุษย์ทุกคน(โรม 5:12) ในทำนองเดียวกัน มีแต่ความยุติธรรมของพระเจ้าซึ่งสามารถช่วยให้มนุษย์รอดจากบาป ด้วยว่า ความยุติธรรมของพระองค์ได้พิพากษาลงโทษพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนสำหรับบาปทุกประการของมนุษย์ เนื่องจากพระคริสต์ได้ทรงรับพิพากพากษาลงโทษแทนเรา ความยุติธรรมของพระเจ้าสามารถประกาศว่าเราเป็นคนชอบธรรม ณเวลาเชื่อในพระคริสต์ เป็นวิธีการซึ่งไม่ได้ประนีประนอมคุณธรรมอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้าแต่อย่างใด

"เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นบาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางทางพระองค์"(2โครินธ์ 5:21)

เนื่องจากพระเจ้าทรงรักความชอบธรรมอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เราผู้ซึ่งมีความชอบธรรมของพระองค์แล้วก็กลายเป็นผู้ซึ่งพระองค์ทรงรัก ด้วยความรักส่วนตัวของพระองค์ เนื่องจากความรอดของเราเป็นผลลัพธ์จากการที่พระองค์สามารถประกาศว่าเราเป็นคนชอบธรรม(โรม 3:24-26)ความยุติธรรมจึงเป็นมาตรฐานในการนำทั้งพระพร และการตีสอน จากพระเจ้าถึงผู้เชื่อ[Justification คือการที่พระเจ้าทรง ประกาศเป็นทางการว่าที่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์]

ความมั่นใจในข้อเท็จจริงว่า พระองค์ไม่สามารถประนีประนอมคุณธรรมของพระองค์ ควรทำให้ผู้เชื่อในพระพระคริสต์มั่นใจในการคุ้มครองของพระองค์ พระองค์ทรงรักเราด้วยความรักส่วนตัวตลอดชั่วนิรันดร์เพราะเราได้รับความชอบธรรมของพระองค์แล้ว

5:Eternal Life (ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตการถึงนิรันดร์การ)

พระเจ้าทรงเป็น พระองค์ทรงดำรงอยู่นอกเหนือสิ่งอื่นใด และทรงดำลงอยู่โดยพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์ ผู้ทรง"อยู่นอกเหนือสิ่งอื่นใด"(อพยพ 3:14) ผู้ทรงไม่มีการเริ่มต้นหรือการสิ้นสุด(สดุดี 90:2; 102:27) พระองค์ดำรงอยู่โดยไม่พึ่งอาศัยสิ่งใด คำว่า(เร-ซีท)ในภาษาฮีบรู ซึ่งแปลว่า"ปฐมกาล"(ปฐมกาล 1:1) หมายถึง การเริ่มต้นของพระราชกิจการเนรมิตสร้างจักรวาล ไม่ใช่การเริ่มต้นของพระเจ้า

พระเจ้าไม่มีการเริ่มต้น พระธรรมยอห์น 1:1 ได้กล่าว่าทั้งพระบิดาและพระบุตรทรงดำลงอยู่ก่อนการทรงสร้าง พระเยซูคริสต์"ทรงอยู่กับ"พระบิดาและ"ทรงเป็นอยู่แล้ว"ในเริ่มแรกของจักรวาล "ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะ[พระเยซูคริสต์ พระบุตร] ทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า[พระบิดา]และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า"(ยอห์น 1:1)

พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ได้รับรองว่า"ชีวิต[นิรันดร์]...ได้ดำรงอยู่กับพระบิดา"(1ยอห์น 1:2)และชีวิตนิรันดร์นั้นก็"อยู่ในพระบุตรของพระองค์"(1ยอห์น 5:11) พระเยซูคริสต์ทรงเป็น"อัลฟา และ โอเมกา"ใน วิวรณ์ 1:8 "อัลฟา"คือตัวอักษรแรกในภาษากรีก ซึ่งเล็งถึงการที่พระเยซูคริสต์ทรงดำลงอยู่ตั้งแต่อดีตการ ส่วนตัวอักษร"โอเมกา"ซึ่งเป็นอักษรสุดท้ายในภาษากรีก ก็เล็งถึงพระเยซูคริสต์ในฐานะเป็นพระเจ้าทรงสมบูณ์แบบ และมนุษย์ทรงสมบูรณ์แบบ ทรงสถิตในกายเดียวกัน[ในภาษาอังกฤษเรียกว่า"hypostatic union"ซึ่งมาจากคำกรีก ว่า(ฮูโพ-สทา-ซิส)ที่มีความหมายดั่งนี้ว่า แก่นแท้ ความเป็นอยู่ และ ความจริง Hypostatic Union(ไฮโพ-สทา-ทิค ยูเนี่ยน) เป็นการที่มีพระเจ้า และมนุษย์ ทรงสถิตในกายเดียวกัน คือ พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ซึ่งเป็น "the God-man"]ในฐานะเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรนิรันดร์ และในฐานะ
มนุษย์ทรงเป็นบุตรแห่งดาวิด ผู้ซึ่งจะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สองเพื่อครองทรัพย์สินทั้งปวงด้วยพระนามว่า"จอมกษัตริย์ และ จอมเจ้านาย"เป็นตำแหน่งที่พระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์

พระเจ้าทรงอยู่นอกเหนือการเวลา ในทางตรงข้าม มนุษย์อยู่ภายใต้การเวลา ซึ่งเราได้แบ่งออกเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งมีช่วงเวลาสั้นหรือยาว และเรากำหนดด้วยปี เดือน วัน ชั่วโมง นาที และวินาที ยากอบได้เปรียบชีวิตของเราว่า"หมอก"(ยากอบ 4:14)ซึ่ง"ปรากฏอยู่แต่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็หายไป"เราจึงไม่ต้องแปลกใจที่ดาวิดเคยเขียนว่า"มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงลำลึกถึงเขา"(สดุดี 8:4ก)
อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงระลึกถึงเราเสมอ และทรงสำแดงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคนผ่านการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมหนทาง แห่งความรอด

"ผู้ที่วางใจในพระเจ้าในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง[คำบัญชาที่จะเชื่อใน] พระบุตรก็จะไม่เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา"(ยอห์น 3:36)

6:Omniscience (ความสัพพัญญู)

พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ในภาษาอังกฤษพระลักษณะนี้ถูกเรียกว่า Omniscience (โอมนิซี-เอ็นซ์) ซึ้งมาจากษาลาตินสองคำ ได้แก่ omni(โอมนิ) ซึ่งแปลว่า"ทั้งหมด"และ scientia(ไซเอ็นเทีย)คือ"ความรู้"พระเจ้าทรงทราบทุกเหตุการณ์ตั้งแต่อดีตกาล ไม่ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ความเป็นไปได้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ก่อนพระเจ้าทรงสร้างโลก พระเจ้าทรงทราบทุกวินาที ปัญหาทุกเรื่อง และบาปทุกประการในชีวิตของคุณตั้งแต่เกิดจนวันตาย ถึงแม้ว่าความรู้ของพระองค์ทรงอยู่เหนือการเวลา แต่พระองค์ไม่เคยใช้ความหยั่งรู้ของพระองค์นั้นละเมิดเสรีภาพในการตัดสินใจของมนุษย์ ในแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงสถาปนาให้มนุษย์ทุกคนมีความคิดเสรีในการตัดสินใจ(volition)มีสิทธิ์เลือกที่จะรับหรือที่จะปฎิเสธพระคุณของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินและการกระทำทุกเรื่องของคุณ(โรม 14:12)

ทั้งสามพระภาคในตรีเอกานุภาพทรงสัพพัญญู พระบิดาทรง"สมบูรณ์ในความรู้"(โยบ 37:16; เปรียบเทียบกับ มัทธิว 6:8; 10:29-30; กิจการ 1:24)พระบุตร"ทรงทราบทุกสิ่ง"(ยอห์น 18:4; เปรียบกับ มัทธิว 9:4; ยอห์น 2:25) และพระคัมภีร์กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าทรงเป็น"วิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ...การวินิจฉัยและ...ความรู้"(อิสยาห์ 11:2)

7:Omnipresence (ทรงสถิตอยู่ทุกที่)

พระองค์ทรงอยู่นอกเหนือเขตจำกัดของเนื้อที่ พระองค์ทรงอยู่ในทุกที่และอยู่นอกเหนือทุกสิ่ง คำว่า immanence (อิมะเนนซ์) หมายถึงการที่พระเจ้าทรงสถิตในทุกที่ในธรรมชาติ ในประวัติศาสตร์ และในเหตุการณ์มนุษย์ทุกเรื่อง(เยเรมีย์ 23:23-24; กิจการ 17:27-28) คำว่า transcendence(แทรน-เซ็นเดนซ์) หมายความว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่นอกเหนือจากจักวาลที่พระองค์ทรงเนรมิตสร้าง และพระองค์ไม่ถูกกักบริเวณเพราะความจำกัดของเนื้อที่(สดุดี 113:5; อิสยาห์ 55:8-9; ยอห์น 8:23)

พระคำว่า"แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยสง่าราศีของพระองค์"(อิสยาห์ 6:3ข)ได้บอกเราว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในทุกจุดของจักวาล ในขณะเดียวกันพระองค์ยังทรง"บริสุทธิ์"และทรง"สูงและเทิดทูนขึ้น"(อิสยาห์ 6:1, 3ก)นอกจากการที่พระองค์ทรงสถิตทุกที่ พระองค์ยังสามารถปรากฎอยู่เฉพาะที่ด้วย

เช่น

1.ทรงให้ธรรมบัญญัติแก่โมเสส(เฉลยธรรมบัญญัติ 4:10)

2.การทรงปรากฏในรูปแบบต่างๆ(เรียกว่า theophany)(ปฐมการ 18:1; อพยพ 3:2-6; กันดารวิถี 14:10; 1พงศ์กษัตริย์ 8:10-11; อิสยาห์ 6; เปรียบกับ ยอห์น 12:37-41)

3.การทรงบังเกิดและทรงดำรงอยู่บนโลกในฐานะมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์เจ้า(ยอห์น 1:14)

4.การทรงสถิตอยู่ภายในผู้เชื่อ (ยอห์น 14:20,23; 2โครินธ์ 6:16)

การที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกที่เป็นการรับรองว่าผู้เชื่อไม่ได้อยู่โดยลำพัง(ฮีบรู 13:5ข) พระบิดาทรงอยู่เต็มฟ้าสวรรค์และโลก(เยเรมีย์ 23:23-24) พระบุตรผู้ซึ่งสถิตอยู่ในพระบิดา และในผู้เชื่อ(ยอห์น 14:20; โคโลสี 1:27)ก็ทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงอยู่กับ(ผู้เชื่อ) ทั้งหลายเสมอไป(มัทธิว28:20) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ภายในผู้เชื่อในยุคคริสตจักรทุกคน(1โครินธ์ 6:19)[ยุคสมัยในประวัติศาสตร์ของมนุษย์(dispensations)เป็นหลักศาสนศาสตร์ที่อธิบายถึงการที่พระเจ้าทรงแบ่งแยกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ออกเป็นยุคสมัยต่างๆ พระคัมภีร์ได้ระบุถึง 6 ยุคสมัยอย่างชัดเจนซึ้งต่อเนื่องกัน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีบทบาทที่เกียวเนื่องกันกับยุคสมัยอื่นๆ แต่ละยุคสมัยนั้นได้เปิดเผยแผนการ น้ำพระทัย และพระประสงค์ที่ พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ชาติ ส่วนยุคคริสตจักร ก็เริ่มต้น ณ วันเพนเทคอสต์ ราวๆปี 30 แล้วจะสิ้นสุดลงเมื่อคริสตจักรจะถูกรับขึ้นไป(the Rapture) การศึกษาเรื่อง dispensations เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อผู้เชื่อจะสามารถเข้าใจมุมมองของพระเจ้าทีมีต่อประวัติศาตร์อย่างถูกต้อง ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก The divine Outline of Historygrinispensation and the church(1990)หน้า 63-70]

8:Omnipotence (ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุด)

พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งได้ มีความสามารถและสิทธิอำนาจที่ไม่จำกัด ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ได้รับรองว่า"ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้"(ลูกา 1:37) หากจะบอกว่าพระเจ้าทรงจำกัด ก็จำกัดโดยพระองค์เอง เพื่อให้สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสอดคล้องกับพระลักษณะอันสมบูณ์แบบของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งที่พระองค์ทรงพึ่งประสงค์ แต่อาจไม่ประสงค์ที่จะกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำได้(เอเฟซัส 1:1)ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดทรงมีแด่ทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบิดาทรงถูกเรียกว่า"ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์"(โยบ 11:7)และฤทธานุภาพของพระองค์ทรงของพระองค์ทรงดำลงอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์(โรม 1:20) ฤทธานุภาพของพระบุตรได้สร้างจักรวาน ทรงผดุงสรรพสิ่งไว้ และทรงกระทำให้ประวัติศาสตร์ดำรงไปอย่างต่อเนื่อง(อิสยาห์ 40:26; เปรียบกับ โคโลสี 1:16-17; ฮีบรู 1:3) พระเยซูคริสต์ทรงพระนามว่า"ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์"และ"ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด"(ปฐมการ 17:1; อิสยาห์ 9:6; วิวรณ์ 4:8; 19:6) และในพระธรรมโรมยังเขียนถึงพระองค์ว่า

"ฝ่ายพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นบ่งไว้ด้วยฤทธนุภาพคือโดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย ว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า"
(โรม 1:4ข)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงประทานฤทธิ์เดชแก่ความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ในการเป็นขึ้นจากความตาย และนี่คือฤทธิ์เดชอันเดียวกันซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่ผู้เชื่อในการปฏิบัติตามแผนการของพระบิดา (เศคาริยาห์ 4:6; กิจการ 1:8; โรม 15:19)

ในเวลาที่พระเยซูคริสค์ทรงประทับอยู่บนโลก พระองค์ทรงจำกัดการใช้ฤทธิ์เดชจากความเป็นพระเจ้าของพระองค์ให้เป็นตามพระทัยของพระบิดา (ยอห์น 5:17; 6:65; 8:28 ฟิลิปปี 2:6-8) และเพื่อพระองค์สามารถสำแดงฤทธิเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์(อิสยาห์ 42:1; มัทธิว 4:1; ลูกา 4:18-19; ยอห์น 3:34) ด้วยว่าพระองค์(พระเยซูคริสต์)ประสงค์ให้ผู้เชื่อในยุคคริสตจักรได้เข้าใจว่าฤทธิ์เดชในการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณได้มาจากการปฏิบัติแผนการของพระบิดา และการพึ่งพาฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

9:Immutability (การไม่ทรงเปลี่ยนแปลง)

พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่สามารเปลี่ยนแปลงพระองค์เอง และไม่สามารถถูกเปลี่ยนโดยปัจจัยภายนอก พระองค์ทรงเป็นเสถียรภาพที่สมบูรณ์แบบ การตัดสินพระทัย ความสัพพัญญู ความชอบธรรม และพระลักษณะอืนๆของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยน และไม่มีวันจะเปลี่ยนไป(กันดารวิถี 23:19; สดุดี 33:11; 102:27; มาลาคี 3:6) เช่นเดียวกัน พระคำและพระราชกิจของพระองค์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
คงมีหลายคนตั้งคำถามว่า"หากพระเจ้าทรงฤทธานุภาพอย่างไม่สิ้นสุด พระองค์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่หรือ?"........ไม่ได้! พระลักษณะขอวพระองค์ทรงสอดคล้องกับคุณธรรมของพระองค์ จะไม่มีพระลักษณะหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกพระลักษณะหนึ่ง หรือจะ

กระทำพระราชกิจซึ่งขัดกับพระลักษณะอื่นของพระองค์ นั่นหมายความว่าพระองค์จะไม่ทรงกระทำอะไรที่จะขัดกับพระประสงค์ของพระองค์ เพราะฉะนั้น ฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงพระองค์ได้
การที่พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่รับลองว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ เราวางใจพระองค์ได้ พระองค์จะไม่ทำให้เราผิดหวัง พระองค์ทรงสัตย์ซื่อรักษาพระคำของพระองค์ไว้(ฮีบรู 6:17-19) พระสัญญาของพระองค์ไม่เคยล้มเหลวสักคำเดียว(1พงศ์กษัตริย์ 8:56) ถึงแม้ว่าเราอาจไม่สัตย์ซื่อ แต่พระองค์ทรงสัตย์ซื่อเสมอ (2ทิโมธี 2:13)ในพระบิดา"ไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง"(ยากอบ 1:17) พระเยซูคริสต์"ทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และวันนี้ และต่อๆไปเป็นนิจกาล"(ฮีบรู 13:8) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสัตย์ซื่อที่จะช่วยผู้เชื่อในทุกเรื่อง(ยอห์น 14:16) และที่จะสั่งสอนพระคำของพระเจ้า(1โครินธ์ 2:13)

10:Truth (ความจริง)

พระเจ้าทรงเป็นความจริงสูงสุด(สดุดี 12:6) ความจริงนั้นได้สำแดงแก่มนุษย์ผ่านพระคำของพระองค์(ยอห์น 8:45-46) ในพระราชกิจของพระองค์(สดุดี 33:4) และวิถีทางของพระองค์(วิวรณ์ 15:3)พระองค์ทรงสำแดงและตรัสความจริงในการเปิดเผยของพระองค์ในทุกรูปแบบ รวมถึงพระบัญชา พระสัญญา และคำตักเตือน ความสัตย์ซื่อของพระองค์ทรงค้ำจุนพระคำอันสัตย์จริงของพระองค์(สดุดี 100:5)พระบุตรทรงรับรองถึงความสัตย์จริงของพระองค์โดยตรัสว่า"พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์จริง"(ยอห์น 7:28 เปรียบกับ ยอห์น 17:3)เมื่อตรัสถึงพระองค์เอง พระเยซูตรัสว่า"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากเรา"(ยอห์น 14:6) และพระคัมภีร์เขียนถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า "พระวิญญาณทรงเป็นความจริง"(1ยอห์น 5:7)ความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใดและทรงมีลักษณะอย่างไร และการพึ่งพาพระลักษณะอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ทั้งในยาม ทุกข์ยากลำบาก และในยามเจริญรุ่งเรืองได้สร้างความมั่นใจและความสงบสันติภายในจิตใจของผู้เชื่อ ผู้เชื่อจึงสามารถทำการตัดสินใจที่กอปรด้วย สติปัญญา แล้วจะปฏิบัติอย่างถูกต้องในทุกสถานการณ์ของชีวิต

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=484260721780190&id=484259751780287

https://www.facebook.com/Makhaira-the-two-edged-sword-4842…/


ขอบคุณ บทความจากเพจ คริสตจักรสานสัมพันธ์กรุงเทพ Nexus church




Create Date : 06 พฤษภาคม 2560
Last Update : 19 มิถุนายน 2560 3:45:37 น.
Counter : 716 Pageviews.

0 comments

jewelmoda
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]



ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากทำงานด้านเด็ก อยากเป็นครู แต่กลับต้องไปทำงานแบงค์ เมื่อขอเออรี่ออกมา ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็กไทย

Myspace angels graphics
New Comments
Friends Blog
[Add jewelmoda's blog to your weblog]