Group Blog
 
 
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
10 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
กรดไหลย้อน...โรคทรมานชีวิตประจำวัน






สวัสดีค่ะ วันนี้ขอนำความรู้ของโรค กรดไหลย้อน มาฝากกันค่ะ
เนื่องจากระยะนี้ประสบกับตัวเองบ่อยๆ ค่ะ เลยได้ search หาข้อมูล
ว่าตนเองเป็นอะไร ก็ได้พบกับอาการแบบนี้ค่ะ คือ
1. เรอขึ้นมาที่คอ รู้สึกเปรี้ยว ๆ
2. พอเรอเสร็จเจ็บตรงกลางหน้าอก แปร๊บๆ
เรอประมาณ 2 ครั้งก็หาย คิดว่าตัวเองน่าจะเป็น เพราะว่ามีปัจจัยเสี่ยง
หลายอย่างเลยทีเดียว มาดูกันค่ะ ว่าโรคนี้มีอาการแบบไหน
จะได้ระวังกันนะคะ



โรคกรดไหลย้อนจากกระเพาะสู่หลอดอาหาร หรือ โรคกรดไหลย้อน
(Gastroesophageal Reflux Disease : GERD) เป็น ภาวะที่น้ำย่อย
จากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยสิ่งที่ไหลย้อน
ส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจเป็นด่างหรือน้ำย่อย
จากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีภาวะหลอดอาหารอักเสบก็ได้



ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมี อาการแสบยอดอก หรือมีภาวะเรอเปรี้ยวร่วมด้วย
(มีความรู้สึกเหมือนมีกรด หรือน้ำย่อยรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมา
ที่คอหรือที่ปาก) ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบได้ ถ้าเป็น
มากจนเกิดแผลรุนแรงอาจทำให้หลอดอาหารส่วนปลายตีบ หรือเกิด
การเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหาร ในบางรายที่เป็นรุนแรง
อาจถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ นอกจากนี้ ในบางรายอาจมาด้วย
อาการของโรคทางระบบหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง
หรืออาจมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด อาการ
เจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ หรือมีกลิ่นปาก เป็นต้น



สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น



1. หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่เกี่ยวข้อง
กับการกลืน ทำให้กรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารสามารถไหลย้อนกลับ
ขึ้นไปสู่บริเวณหลอด อาหารได้ ซึ่งสาเหตุนี้จัดเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิด
โรค

2. ความดันของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำ
กว่าคนปกติ หรือเกิดมีการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร
ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารมากขึ้น

3.เกิดจากความผิดปกติในการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอด
อาหารเอง

4.ปัจจัยทางพันธุกรรม



จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน

อาการ สำคัญคือ แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ แล้วลามมาที่บริเวณหน้าอกหรือคอ
อาการนี้จะเป็นมากขึ้นหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก หรือเมื่อโน้มตัวไป
ข้างหน้า ยกของหนัก หรือนอนหงาย อาการสำคัญอีกประการก็คือ อาการ
เรอเปรี้ยว คือมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
โดยผู้ป่วยอาจมีทั้ง 2 อาการหรืออาการใดอาการหนึ่งก็ได้ ในคนไทย
ที่เป็นโรคนี้บางครั้งอาจพบอาการนี้ไม่ชัดเจนอย่างคนในแถบตะวันตก
หรืออเมริกา อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้
อาเจียน หรือกลืนลำบากในบางรายที่เป็นมาก บางรายอาจมาด้วยอาการ
ที่ไม่ใช่อาการของหลอดอาหาร เช่น เจ็บหน้าอก จุกที่คอ มีอาการคล้าย
มีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณลำคอ เสียงแหบ หรือเจ็บคอเรื้อรัง หอบหืด
หรือปากมีกลิ่นโดยหาสาเหตุไม่ได้



จะวินิจฉัยอย่างไร

โดย ปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการดังที่กล่าวมา
โดยผู้ป่วยที่มีอาการทั้งแสบยอดอก และ/หรือ เรอเปรี้ยว (ทั้งนี้ไม่ควร
มีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอื่น อาทิ น้ำหนักลด อาเจียนเป็นเลือด
ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด หรือมีไข้) แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยมีภาวะ
กรดไหลย้อน และให้การรักษาเบื้องต้นได้ โดยจะติดตามดูอาการของผู้
ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น
ส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจทางรังสีวิทยา การตรวจวัดการบีบตัวของ
หลอดอาหาร และการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบ
ว่าได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน



ควรปฏิบัติอย่างไรถ้าเป็นโรคนี้

โดย ทั่วไปเป้าหมายของการรักษา แพทย์จะมุ่งเน้นให้อาการของผู้ป่วย
ดีขึ้น โดยรักษาอาการอักเสบของแผลในหลอดอาหารและป้องกันภาวะ
แทรกซ้อน การรักษาประกอบไปด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนิน
ชีวิต การให้ยา การส่องกล้องรักษาและการผ่าตัด ในเบื้องต้นวิธีที่ง่าย
ที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งสามารถทำได้
ดังต่อไปนี้



1.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
2.หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ อาหารที่มีรสเปรี้ยว
จัด เผ็ดจัด อาหารไขมันสูง ช็อคโกแลต
3.ระวังไม่ให้น้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไป
4.ระวังอาหารมื้อเย็น ไม่กินปริมาณมากและไม่ควรนอนทันทีหลัง
รับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
5.ควรรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
6.ไม่ใส่เสื้อรัดรูปเกินไป
7.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
8.นอนตะแคงซ้ายและนอนหนุนหัวเตียงให้สูงอย่างน้อย 6 นิ้ว




เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรทำอย่างไร

ถ้า ปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทาน
ยาร่วมด้วย โดยยาที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบันคือยาลดกรดในกลุ่ม Proton
Pump Inhibitors (PPI) โดยที่แพทย์จะให้รับประทานยาในกลุ่มนี้เป็น
เวลา 6-8 สัปดาห์ ในบางรายที่เป็นมากอาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาเป็น
ระยะเวลานานหลายเดือนหรือ เป็นปี ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทาน
ยาแบบช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือไม่กี่วันตามอาการที่มี หรือกินติดต่อกัน
ตลอดเป็นเวลานาน อย่างไรก็ดีการใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของ
แพทย์ ในรายที่รับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นอาจพิจารณาการรักษา
ด้วยการส่องกล้อง หรือการผ่าตัด



**สำหรับยาในกลุ่มที่มีผลต่อการลดจำนวนการคลายตัวของหูรูดนั้น
ยังมีอยู่จำนวนไม่มากและยังมีผลข้างเคียงอยู่พอสมควร



ที่มาจาก โรงพยาบาลเวชธานี
และ //women.mthai.com




Create Date : 10 กันยายน 2552
Last Update : 10 กันยายน 2552 23:57:09 น. 2 comments
Counter : 341 Pageviews.

 
ขอบคุณความรู้ดี ๆ คะ...พี่ก้ทรมานกับไอ้เจ้าเนี๊ยะ มาตั้งแต่มีน้องคนที่สอง
เป็น ๆ หาย ๆ ทรมานจริงๆ ขอให้น้องหายไว ๆนะค่ะ


โดย: nakawin วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:9:35:39 น.  

 
แวะมาอ่านจร้าขออนุญาตฝากเว็บไว้ในอ้อมกอดน้อยๆด้วยนะครับ|เข้าชมเว็บ บิ๊กอายขอบคุณครับ


โดย: bigeye (tewtor ) วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:19:46:57 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เวลาจะช่วยอะไร
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




: Users Online รวมทั้งหมด คน


MusicPlaylist
MySpace Playlist at MixPod.com

Jeabzilla ไม่ไหวจะเคลียร์

สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง
Friends' blogs
[Add เวลาจะช่วยอะไร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.