เมษายน 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
ภูเขาไฟอะโสะ : Aso-san, Aso, Kyushu
(ต่อจากตอนที่แล้ว) 

รีบแจ้นมาที่สถานี เกือบพลาดรถไฟเที่ยวสุดท้ายไป Aso แล้วเชียว. 

รถที่ไป เป็นรถท้องถิ่น รู้สึกจะหวานเย็นแบบจอดทุกป้ายด้วย 
การเดินทางจาก Kumamoto  ไป Aso จึงกินเวลามากกว่ารถ Shinkansen ข้ามเมืองจาก Nagasaki มา Kumamoto เสียอีก. 

อากาศเริ่มเย็น
ฟ้าเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ 
เรานั่งตู้หน้าสุด ติดกับคนขับ มองไปข้างหน้า



ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่อยากให้ คนที่มาญี่ปุ่นได้ลอง คือ การนั่งรถไฟหวานเย็น.
ระหว่างทางจะได้เห็น คน ขึ้น-ลง ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน และชาวบ้าน.
บรรยากาศเหมือนในการ์ตูน ยังไงยังงั้น. 
เหงานิดๆ

นึกถึงตอนที่ Chihiro นั่งรถออกจากโรงอาบน้ำ ไปตามหาวิธีออกจากเมืองเวทย์วนตร์. 

วิวระหว่างทาง ที่ไป เป็นป่าสนสลับกับหุบเขา จนถึงบัดนี้ ก็ยังเรียกได้ว่า เป็นการนั่งรถไฟที่วิวสวยที่สุดของเราเลย ก็ว่าได้.  พยายามถ่ายวิดีโอมา แต่ก็ได้มาแค่นี้.



ไปถึงสถานี ลงจากรถไฟ ทันทีที่เราก้าวออกจากประตูออกชานชาลา  คนอื่นๆก็เริ่มเดินไปนู่นนี่ กระจายกันไป Taxi ออกตัว บางคันก็ไม่มีผู้โดยสาร. บางคนก็มีคนจากที่บ้านมารับ 
ขณะที่เรายืนงงทางอยู่นั้น  นายสถานี ก็เริ่มปิดไฟชานชาลา เก็บของ ล๊อคห้อง
ในเวลาไม่ถึงสิบนาที 

เงียบสนิท.

ไม่มี Taxi  ไม่มีรถเมล์
ไม่มีคนอื่นๆอีกแล้ว

อากาศก็โคตรหนาว จนตัวสั่น
คงเพราะอยู่ในหุบเขาสินะ

เราเดินเข้าไปหานายสถานี ถามเขาเรื่องทางไป guesthouse 
นานอยู่ ว่าจะคุยกันรู้เรื่อง

เขาแนะนำให้เราโทรเรียก taxi 
แต่แล้ว เขาก็บอกไม่ได้ว่าโทรเบอร์ไหน ยังไง 
จากนั้น ก็บอกให้เราเดินไป เราก็บอกว่า เรามีของอ่ะ ต้องเดินไปทางไหน ยังไงดี แล้วมันก็มืดมาก...
เขาก็ดูแผนที่อีกครั้ง  เอ๊ะ.. อืม..เหมือนจะไกลเหมือนกันนะนั่น..
เขาก็เลยตกลงว่า เอางี้ ไปรถเขาแล้วกัน เขาไปส่ง. 

ง่ายๆงั้นเลย.

ด้วยความรักตัว กลัวนอนแข็งเป็นศพอยู่ที่สถานีร้าง
เลยขึ้นรถเขาไปง่ายๆเช่นกัน

ทางไกลมาก
.
.
.
ไกลมากจริงๆ

ผ่านเขาไปในภูเขา  ไม่มีไฟเลยนอกจากไฟหน้ารถ

ระหว่างทาง เขาเริ่มบ่นกับตัวเอง เป็นภาษาญ๊่ปุ่น (ที่เราพอเข้าใจกระท่อนกระแท่น) ว่า  เฮ้อ .. เรานี่แย่จริงๆน้า บอกให้เด็กผู้หญิงคนเดียว เดินไปตามทางนี่เนี่ยนะ!  มืดมาก แล้วก็เปลี่ยวด้วย. 

ว่าแล้วก็หันมาทางเรา แล้วก็บอกว่า ขอโทษทีนะแม่หนู (เป็นภาษาอังกฤษ)

เรา : (อึ้ง)  

เราต่างหากที่ต้องขอโทษเขา เพราะไปรบกวนเขา

ไปถึงที่ Youth Hostel ที่ใกล้จะปิดแล้ว (Youth Hostel จะมี fixed เวลาสำหรับการเข้าออกที่ค่อนข้างเข้มงวด) เขาก็เข้าไปคุยกับเจ้าของ hostel ให้อีก แล้วก็ขอโทษขอโพยใหญ่ บ่นตัวเองอีกนิดหน่อย แล้วก็จากมา

เจ้าของ hostel ก็บอกเราหลังจากที่ check in แล้วว่า
นั่น นายสถานีแน่ะ ลำบากจริงๆน้า..  เขาเป็นคนดีจริงๆ 

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

ที่พักเป็นอาคาร ถ้าจำไม่ผิดเป็นอาคารชั้นเดียว 
ห้องพักแยกชายหญิง  
ภายในนอนคู่แบบนี้.



เราได้ roommate เป็นเด็กมัธยมญี่ปุ่น มาจากจังหวัดอื่นไกลๆ ทางเหนือ(จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน)  มีตะกร้ามาด้วยหนึ่งใบ คลุมผ้าไว้ แต่เขาเปิดดูอยู่บ่อยๆ 

เขาเอา "เต่า" มาเที่ยวด้วย
แต่บอกเราว่า อย่าเอ็ดไป เพราะว่า Youth Hostel น่ะ เขาห้ามเอาสัตว์เลี้ยงมาด้วยนะ

เราก็ทำได้แค่ พยักหน้า 

นอนหลับเป็นตาย

ตื่นมาตอนเช้า ออกไปรอรถเมล์ check out ไปเรียบร้อย กะว่าเอากระเป๋าไปฝากไว้ตรงที่พัก ก่อนเดินขึ้นเขา
พวกสถานที่ห่างไกลชาวบ้านแบบนี้ รถเมล์มีไม่มากหรอกนะ รวมถึงรถธรรมดาทั่วไปอื่นๆด้วย
ดังนั้น ต้องเช็คตารางรถให้ดีๆ ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านหรือที่พัก

เราไปยืนรอ รวมกับ roommate คนเดิมกับเจ้าเต่าน้อย (นี่จะเอาขึ้นไปดูภูเขาไฟด้วย?)

รถเมล์ไปพักมีจุดให้ลงหลายที่ 
ระหว่างทาง หมอกลงจัดมาก

จัดมากจริงๆ

ระยะทัศนวิสัย เรียกได้ว่าเห็นกันเป็นหลักสิบเมตร เท่านั้นจริงๆ 
นั่งไปก็ลุ้นไป
นี่ก็นั่งอึ้ง ลุ้นอยู่นาน กว่าจะได้หยิบกล้องมาถ่าย หมอกก็จางไปมากแล้ว

คนขับต้องมีทักษะดีจริงๆเท่านั้น จึงจะไปรอดนะ



จุดแรก ถ้าจำไม่ผิดจะเป็น Volcanic museum นะ
ฝั่งตรงข้ามมีโรงเลี้ยงม้า

เราข้ามจุดนี้ไปก่อน กะว่าแวะตอนขาลง

แล้วก็ขึ้นไปนู่นเลย สูงสุด ไปดูปล่องภูเขาไฟกัน
ยิ่งสูงนี่ ยิ่งหนาวจริงๆ

ตรงลานจอดรถ มีอาคารใหญ๋ตั้ังอยู่ เป็นที่พักของนักเดินทางทั้งหลาย 
ด้านในกว้างขวาง ที่นั่งพัก มีขายของ ขายอาหารมากมาย 



เลยจากที่พักขึ้นไป เป็นทางเดินไปยังปากปล่องภูเขาไฟ
เราก็เอาเลย  


แต่ขอนั่ง ropeway ขึ้นไปนะ ออมแรงไว้ก่อน

(อันนี้กล้อง digital สมัยก่อน resolution มันไม่ได้ดีเหมือนสมัยนี้นะ)

ดูเหมือนเพื่อนนักเดินทาง roommate เรากับเจ้าเต่าจะเลือกเดินกันขึ้นไปแฮะ





ไปถึงปากปล่อง มีไอกลิ่นฉุนๆ ของกำมะถัน มาตามสายลมเรื่อยๆ 
คนไม่มากนัก 



ตรงกลางเห็น บ่อน้ำกลางปากปล่อง สีสวยเขียวๆ 
แต่กลิ่นนี่..  แทบไม่ไหว  
ร่วมกับทนลมหนาวมากไม่ได้ ยืนดูได้รูปมาไม่เยอะ ก็ต้องล่าถอย
คนเดินกลับ กระจายกันประปราย

ลมแรงแค่ไหน?





ทางเดินขึ้น-ลง มีสองทาง เราเลือกเดินอีกทางหนึ่งที่เห็นคนอื่นๆเดินไป แม้จะดูไกลกว่า แต่ก็ เอาน่า ลองดู. 

แล้วก็ค้นพบว่า ไม่น่าเลย เพราะทางนี้ ไกลกว่าเห็นๆ 

มันไกล ร่วมกับความหนาวเหน็บ และ ลมกรรโชกแรกด้วย
กว่าจะไปถึง ก็เข้าใจคำว่า "หนาวหูหลุด" เลยทีเดียว




ระหว่างทาง ถึงขั้นต้องมีที่พักเป็นช่วงๆ ก่อเป็นอาคารคอนกรีตไม่มีประตู มีที่นั่งริมผนัง เอาไว้ให้คนเดินได้พักบังลมหนาว.

เราต้องแวะเข้าที่พักแบบนี้หลายรอบระหว่างเดินลง เพราะว่ามือและหูเย็นจนเกือบแข็๋ง

มองจากที่พักระหว่างทางออกไป ยังเหลืออีกไกลลิบ



กว่าจะเดินลงมาถึงอาคารที่พักนักเดินทางได้ เรียกได้ว่า แทบแย่. 

ดีใจสุดๆ ตอนลงมาถึง.
ลองมาเดินดูของในอาคารใหม่ มีขายหินภูเขาไฟด้วย



แล้วก็รอรถกลับ.
ใช้เวลาระหว่างทางมากกว่าตอนอยู่บนยอดจริงๆมากนัก

ที่พักระหว่างทาง ให้คนลงไปเดินเล่นได้ คือตรง Volcanic museum นั่นเอง 
เราเข้าไปเดินดู เป็นสถานที่เล็กๆมีพวก ที่จัดแสดงเป็นการเกิดภูเขาไฟ อยู่ในตู้โชว์ พอเรากดก็จะเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกับเสียงบรรยาย (ภาษาญี่ปุ่น) ว่ามันเกิดได้อย่างไร มีหินภูเขาไฟแต่ละชนิดให้่ดู สถานที่ไม่ใหญ่ แต่ก็น่าสนใจพอตัว



ฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนจะเป็นที่เลี้ยงม้า ให้คนไปเช่าขี่เล่นได้ 
แต่อากาศหนาวซะขนาดนี้ ใครๆก็ไม่ไหวหละ




ลานจอดรถที่เราไปแวะกัน 



แล้วก็นั่งรถมาจนถึงสถานีรถไฟเลย 

ป้ายสถานีเล็กๆน่ารักดี 
(แต่เมื่อคืนไม่เห็นรู้สึกน่ารักสักนิด!)





บาย บาย  Aso-san 
ปล่องภูเขาไฟไม่ได้สวยเว่อร์เท่าไหร่นัก
แต่เรียกได้ว่า ได้ประสบการณ์จากการเดินทางสั้นๆ ไปกลับ Aso นี่ มากมายทีเดียว 
ประทับใจ



จากนี้ไป เรานั่งรถหวานเย็น ไปต่อ Shinkansen เพื่อขึ้นไปยัง Okayama ที่เกาะ Honshu โน่นเลย.  ไปไกลทีเดียว. 



Create Date : 22 เมษายน 2555
Last Update : 21 กรกฎาคม 2555 4:38:04 น.
Counter : 3209 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

blueschizont
Location :
ประจวบคีรีขันธ์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



รักญี่ปุ่น