สิงหาคม 2562

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
28
29
31
 
EP4 เส้นทางยอดขุนนางโจโฉ (มีใจช่วยชาติ แต่โอกาสไม่อำนวย)

EP4 เส้นทางยอดขุนนางโจโฉ (มีใจช่วยชาติ แต่โอกาสไม่อำนวย)

(เนื้อหายาวไป มีลิ้งคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ) 

https://youtu.be/lxT3GG3AN4I 

โจโฉเข้ารับราชการครั้งแรกในวัยอายุราวๆ 20 ปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับโจโฉ  ด้วยเหตุที่มีทั้งปู่และพ่อมีตำแหน่งเป็นข้าราชสำนักในระดับสูง  โดยตำแหน่งแรกของโจโฉ  เป็นนายทหารประจำอำเภอ ซึ่งเป็นอำเภอรองๆ ในเมืองหลวง หน้าที่หลัก ๆ ก็คล้ายๆ กับตำรวจในสมัยนี้ ก็คือคอยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่ ๆ รับผิดชอบ ซึ่งโจโฉก็ทำได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง  ซึ่งเพื่อความสงบโจโฉจึงออกกฎหนึ่งว่า ในยามวิการ ไม่ให้ทุกคนออกนอกบ้าน 

แต่ด้วยพื้นที่ในเขตเมืองหลวง  มีตระกูลที่มีอิทธิพลมากมาย  จึงไม่แปลกที่จะมีคนมาลองดี  หนึ่งในนั้น ชื่อ เจี่ยนถู ซึ่งเจี่ยนถูผู้นี้เป็นอาของ เจี่ยนซั่ว ซึ่งเป็นขันทีคนโปรดที่รับใช้ฮ่องเต้อย่างใกล้ชิด

พอลูกน้องโจโฉจับตัว เจี่ยนถู มาในคดีก่อความวุ่นวายในยาววิกาล โจโฉก็ได้ดำเนินการไต่สวน  เจี่ยนถูกลับถามโจโฉว่า “รู้จักข้าไหม ถ้าไม่รู้จักก็ไปถาม เจี่ยนซั่ว หลานข้าสิ” โจโฉตอบกลับทันที “ไม่รู้จัก ข้ารู้จักแต่กฏหมาย แล้วเจ้ารู้ไหมโทษคืออะไร ก็คือโบยจนตาย” ปรากฏว่าโจโฉโบยเจี่ยนถูจนตายจริงๆ  ทำให้เป็นที่พูดกันมากถึงการกระทำของโจโฉ ว่าทำไมจึงกล้าโบยเจี่ยนถูจนตาย ทั้งที่เจี่ยนถูนั้น เป็นอาของขันที และซึ่งโจโฉเอง ก็เป็นหลานของขันที แล้วไม่ใช่พวกเดียวกันเหรอ  ทำให้เกิดข้อสงสัยมากมายกับการ

กระทำของโจโฉในครั้งนี้

แม้ว่าจะไม่มีบรรทึกกับการกระทำของโจโฉเอาไว้  แต่ อ.อี้จงเทียน แสดงความคิดเห็นว่า 

ประการแรก เนื่องด้วยโจโฉนั้น เป็นคนที่มีนิสัยเข้มงวดกับกฏระเบียบ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว โจโฉจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่หากเป็นเรื่องหน้าที่ และงานบ้านเมืองแล้ว โจโฉนั้น เข้มงวดเคร่งครัดเป็นอย่างมาก 

อีกประการนึง อาจเป็นไปได้ว่า ด้วยโจโฉนั้น วัยยังละอ่อนอยู่ ซึ่งอายุได้แค่ 20 ปี ยังไม่เข้าใจการเมือง กับปัญหาครั้งนี้ อาจเปลี่ยนจากการโบยจนตาย เป็นโบยให้หลาบจำแล้วปล่อยไปก็พอ

โจโฉกลับเลือกโบยเจี่ยนถูจนตายเพื่อประกาศศักดิ์ดา ผลก็คือ เกิดความขัดแย้งผิดใจกับผู้มีอิทธิพลอย่างพวกขันทีแน่นอน  แต่ด้วยความที่โจโฉ มีแบ็คอัพดี คือ ปู่กับพ่อ ที่มีตำแหน่งใหญ่ในราชสำนัก ดังนั้นการจะเล่นงานโจโฉเลยไม่ใช่เรื่องง่ายนัก  พวกขันทีจึงใช้วิธี เลื่อนตำแหน่งให้กับโจโฉ แล้วสั่งย้ายให้ไปรับตำแหน่งไกลจากเมืองหลวงแทน

โดยโจโฉได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการอำเภอ “ตุ้นชิว” ซึ่งแม้ตอนหลังโจโฉจะได้กลับมาเมืองหลวง ในตำแหน่ง “อี้หลาง” ซึ่งเป็นเพียงตำแหน่งว่างๆ ไม่มีอำนาจอะไรก็ตาม ถึงกระนั้นโจโฉเอง ก็ยังมีใจที่จะทำงานให้กับบ้านเมือง แต่ผลที่ได้กลับเป็นการร้องเรียนให้ร้ายต่อโจโฉ มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน

มาถึงตอนนี้ โจโฉรู้สึกว่า ชีวิตทางราชการของเขา คงจะไปต่อไม่ได้แล้ว ราชวงค์ฮั่นใกล้ดับสูญแล้ว

อำนาจในมือไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ล้วนไม่มีผล มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นเอง ซึ่งที่ยังไม่มีใครทำอะไรเขาได้ เป็นเพราะปู่และพ่อของเขา ที่ยังรับราชการอยู่ในราชสำนักเท่านั้นเอง 

แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เป็นผลดีกับตัวเขาแน่ ต่อมาโจโฉจึงขอลาออก อ้างว่าตัวเองนั้นป่วย โดยตำแหน่งสุดท้ายที่โจโฉเป็นก็คือ “ผู้รักษาการเขตตะวันออก” หลังจากนั้น โจโฉจึงได้เก็บตัว อ่านตำรา แต่ในใจก็ยังไม่ลืมเรื่องชาติบ้านเมืองอยู่ดี

อ.อี้จงเทียน แสดงความเห็นในตอนนี้ว่า โจโฉในเวลานั้น ขาดความเข้าใจหลักการบางอย่างว่าการจะเป็นขุนนางที่ดีได้นั้น จำเป็นต้องมีเงื่อนไข

ประการแรก “ต้องดูกาละเทศะ” จะมีแต่บ้านเมืองที่เป็นปกติดีเท่านั้น ถึงจะเป็นขุนนางดีได้

ประการที่สอง “ต้องดูสภาพราชสำนัก” หากราชสำนักระส่ำระสายแล้ว จะเป็นขุนนางที่ดีได้นั้นคงยาก

ประการที่สาม “ต้องดูที่ผู้นำ” หากมีฮ่องเต้ที่ไร้สามารถ จะเป็นขุนนางที่ดีได้ ก็คงไม่สำเร็จ

เงื่อนไขของโจโฉ ในเวลานั้นไม่ครบ ไม่เหมาะสม ถึงแม้บ้านเมืองจะยังไม่เข้าสู่กลียุค แต่ก็ใกล้แล้ว “ฮั่นหวนเต้ กับ ฮั่นเลนเต้” สองยุคสมัยนี้ เป็นช่วงที่ราชสำนักมืดมน เละเทะ มากที่สุด อำนาจของราชสำนักทั้งหมดได้ตกไปอยู่ที่ ฝ่ายพระญาติกับพวกขันที  อีกทั้งยังมีการซื้อขายตำแหน่งทางราชการ  แถมยังตั้งราคาชัดเจนว่า ตำแหน่งนั้นราคาเท่านั้น ตำแหน่งนี้ราคาเท่านี้

ว่ากันว่ามีคนชื่อนึง “ซือหม่าจื๋อ” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง เข้ารับตำแหน่งวันแรก ทางราชสำนักแจ้งขอเงินค่ารับตำแหน่ง แต่”ซือหม่าจื๋อ” ไม่มีเงินให้จึงขอลาออก ราชสำนักกลับบอกว่าลาออกไม่ได้ “ซือหม่าจื๋อ” ไม่รู้จะไปหาเงินมาจากไหน หาทางออกไม่ได้ ทำได้แค่ฆ่าตัวตาย แล้วเขียนประนาม ราชสำนักที่มีการซื้อขายตำแหน่ง ว่าจะทำให้ชาติบ้านเมืองล่มจม 

ซึ่งต่อมาก็ไม่มีผลอะไร กลับทำให้ยิ่งมีการซื้อขายตำแหน่งมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็เท่ากับว่า “ซือหม่าจื๋อ” นั้น ตายไปฟรีๆ

ต่อมาในปี คศ 189 หลังจากพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ เกิดการแย่งชิงอำนาจ ระหว่างแม่ทัพใหญ่โฮจิ๋น กับกลุ่มขันที เป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่าและนองเลือดเป็นอย่างมากในเมืองหลวง สุดท้ายกลับเป็นตั๋งโต๊ะที่ได้อำนาจไป ซึ่งตั๋งโต๊ะคนนี้ นิยามสั้น ๆ ว่า ไม่ใช่คน ซึ่งสิ่งที่ตั๋งโต๊ะทำนั้น คือ ถอดถอนฮ่องเต้ จาบจ้วงวังหลัง เอานางสนม นางกำนัน มาไว้เป็นของตนเอง และเข่นข้าผู้บริสุทธิ์

การกระทำของตั๋งโต๊ะครั้งนี้เรียกว่า ชั่วช้าสามานย์ เมืองหลวงจึงกลายเป็นพื้นที่หายนะ ทำให้เกิดความเครียดแค้นไปทั่ว สถานการณ์ในตอนนั้น เหล่าเจ้าเมือง ขุนศึกต่าง ๆ ที่มีกำลังทหาร ก็เกิดการขีดเส้นแบ่งดินแดนเป็นของตนเอง ราชสำนักฮั่นในเวลานั้น เรียกได้ว่าสูญสิ้นไปแล้ว เหลือก็แต่เพียงชื่อเท่านั้นเอง

สถานการณ์เป็นเช่นนี้ โจโฉจะเป็นยอดขุนนางอีกต่อไปไม่ได้แล้ว โจโฉตกอยู่ในกลียุคเต็มตัวแล้ว ซึ่งทางเลือกของโจโฉในเวลานั้น มีแค่สามทาง คือ เป็นจอมเจ้าเล่ห์ เป็นจอมอำมหิต หรือ เป็นจอมคนในกลียุค ตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด เลือกที่จะเป็น จอมอำมหิต แล้วโจโฉล่ะ เลือกทางไหน พบกันตอนหน้า EP5 ที่มาและทางไปครับ




Create Date : 30 สิงหาคม 2562
Last Update : 30 สิงหาคม 2562 22:49:14 น.
Counter : 650 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3990599
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชอบเรื่องไหน ก็จำเค้า
เล่าให้ฟัง ในแบบของเรา