Welcome to the World of Me...
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
21 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
The Curious Case of Benjamin Button (2008)

เคยมีคนถามผมว่า "หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากกลับไปแก้ไขอะไรในอดีต" ผมตอบเสมอว่า "ผมไม่อยากย้อนเวลา เพราะผมเชื่อว่า อดีตที่ผ่านมา ทำให้ผมเป็นผมในวันนี้ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง ตัวผมคงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้" แต่หลังจากดูภาพยนตร์เรื่อง "The Curious Case of Benjamin Button" แล้ว หากใครมาถามคำถามเดิมกับผมอีก คำตอบที่ผมจะให้ มันได้เปลี่ยนไปแล้ว...

Director: David Fincher
Writer: Eric Roth
Cast: Brad Pitt / Cate Blanchett / Julie Ormond

ที่ผ่านๆ มา ที่ผมเขียนถึงหนังเรื่องต่างๆ ผมเคยตั้งจุดประสงค์ในการเขียนของผมว่า เมื่อได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องไหน ผมจะนำ "ข้อคิด" ที่ได้ กลับมาระบายเป็นตัวอักษร โดยไม่ข้องแวะกับเรื่องของรายละเอียดการแสดง การสร้าง หรือแม้แต่วิพากษ์วิจารณ์หนังในแง่ของการสร้าง แต่...ผมหลงทางไประยะหนึ่งแล้ว แต่วันนี้ The Curious Case of Benjamin Button ได้เรียกความปรารถนาเดิมของผมกลับมา...

เพราะ The Curious Case of Benjamin Button ได้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องคำถามที่ผมเคยถูกถามมาบ้าง "หากย้อนเวลาได้ คุณจะกลับไปแก้ไขอะไร?"

วันนี้คำตอบสำหรับคำถามนี้ของผมคือ..."มันคงไม่มีประโยชน์หรอก เพราะถึงแม้ว่าเราจะทำให้เวลาไหลทวนกระแสแห่งกาล ย้อนกลับไปได้ แต่สุดท้าย ปลายทางของเราก็คือจุดเดียวกัน"

The Curious Case of Benjamin Button เล่าเรื่องผ่าน "บันทึก" ของตัวเอก คือ Benjamin Button ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ "กาลเวลาของเขา ไหลทวนกระแสแห่งโลก" นั่นคือ เขาเกิดมาในสภาพร่างกายของคนอายุ 80 ปี และเติบโตขึ้นเพื่อที่จะ "เด็กลง"... ถูกแล้วครับ Benjamin Button จะเด็กลงเรื่อยๆ ไม่ใช่แก่ขึ้นอย่างเราๆ

Benjamin Button เริ่มต้นขวบปีแรกด้วยสภาพร่างกายของคนวัย 80 ปีที่แพทย์ระบุว่า เค้าจะต้องจบชีวิตในเร็ววัน แต่ยิ่งนับวัน Benjamin ก็เด็กลงทุกวันๆ

สิ่งแรกที่จะมาชวนคิดคือ คุณจะเป็นอย่างไรบ้าง หากวันที่คุณอายุครบ 10 ขวบ แค่ร่างกายของคุณเท่ากับคนอายุ 70 หูตาฝ้าฟาง และได้แต่เฝ้ามองคนวัยเดียวกันมีชีวิต "แบบปกติ" ตามที่เราเข้าใจกัน ไปวันๆ

คุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร?

อะไรบ้างที่คุณต้องแบกรับไว้?

แล้วคุณจะคุยกับใคร?

ที่สำคัญ เมื่อคุณพบใครคนหนึ่งที่คุณอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อน อยากให้เค้าหรือเธอคนนั้นมาเป็นคู่ชีวิต คุณจะคบหากับเค้าอย่างไร ด้วยร่างกายเหี่ยว ย่น ชนิดที่แม้แค่พ่อผู้ให้กำเนิด ยังคิดว่าคุณเป็น...ตัวประหลาด

อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะชวนคิดต่อ ก็คือ เมื่อคุณโตขึ้น แล้ว "เด็กลง" จน "สมวัย" แล้วพ่อคุณเข้ามาหาคุณ สารภาพว่า เค้าคือพ่อที่ทอดทิ้งคุณไป คุณจะทำอย่างไร? คุณจะรู้สึกอย่างไร? คุณจะคิดอย่างไร? คุณจะมองหน้าเค้าคนนั้นอย่างไร?

แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมได้คำตอบอีกคำหนึ่งของชีวิตก็คือ "ไม่ว่าจะเริ่มจาก 1-10 หรือนับจาก 10-1 สุดท้าย เมื่อมีการเริ่มต้นถนนทุกเส้นจะจบลงด้วยปลายทางเสมอ"

เพราะไม่ว่าคุณจะเริ่มชีวิตจาก "เด็ก" และเติบโตไปจนถึง "แก่" หรือจาก "แก่" ย้อนกลับมาจนเป็น "เด็ก" เส้นทางสุดท้ายก็คือ การออกจากความเป็นส่วนหนึ่งของโลกกลมๆ อันแสนซับซ้อนวุ่นวายใบนี้อยู่ดี

แต่ถ้าจะให้เปรียบแล้ว ระหว่างผมกับ Benjamin ผมว่าการเป็น Benjamin นั้น โชคดีกว่า ตรงที่ รู้ว่า "ปลายทางของตัวเองจะจบลงเมื่อใด" เพราะชีวิตของเขาคือการ "นับถอยหลัง" ไปสู่ "ทารก" และสิ่งนี้ทำให้ความหมายของ "ชีวิต" มีคุณค่า และสามารถเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า "ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะชีวิตของเราสั้น"

และหากต้องการจะทำอะไร ต้องการที่จะเป็นอะไร จงไปตามฝันให้สุดทาง เช่นเดียวกับที่ Benjamin ตัดสินใจเดินทางไปตามที่ต่างๆ เพื่อที่จะรู้จักโลกที่เค้าไม่เคยเห็น หรือแม้แต่ การที่กัปตันเรือลากจูงที่ฝันอยากเป็นศิลปิน ซึ่งก็ได้ตามฝันของตัวเองด้วยการเป็นศิลปินที่ "สัก" ตัวเอง พร้อมด้วยคำพูดที่ผมประทับใจสุดๆ ว่า

"ต่อให้พ่อบอกว่า ฉันไม่มีทางเป็นศิลปินได้ แต่ฉันได้พิสูจน์ให้เค้าเห็นแล้วว่า ฉันเป็นได้ ด้วยรอยสักทั้งตัวของฉัน และหากจะพรากความเป็นศิลปินไปจากฉัน ก็ต้องถลกหนังของฉันไป"

นอกจากนี้ ในรายละเอียดของหนัง ยังได้ซ่อนประเด็นของ "เวลา" ที่สัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์อย่างแนบแน่นอย่างแยกไม่ออกอีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น "เมื่อไหร่ ที่คุณควรจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่คุณรักและรักคุณ" เหมือนอย่าง Benjamin กับ Daisy ที่ต่างก็รักกัน แต่ "เวลาที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน" ที่เหมาะสมที่สุดของทั้ง 2 คน ก็คือช่วงเวลาของ "ครึ่งชีวิต" ของ Benjamin

เพราะหาก Benjamin มีสัมพันธ์กับ Daisy ในขณะที่เธอกำลังเป็นดาวดวงเด่นของวงการบัลเล่ต์ ความสัมพันธ์ของเขาและเธออาจจะไม่ยืนยาว แต่การได้สัมพันธ์กันในขณะที่คนทั้ง 2 ได้ทบทวนตัวเองแล้วว่า ต่างต้องการกันหรือไม่ ทำให้สุดท้ายแล้ว Benjamin กับ Daisy มีชีวิตอยู่ด้วยคำว่า "รักแท้" และทำให้ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันด้วย "ความเข้าใจ" และสามารถปล่อยให้เสรีของแต่ละคน ผูกพันกันไปเอง

หลังจากดู The Curious Case of Benjamin Button รอบแรก ผมได้ข้อคิดต่างๆ ออกมาอีกมากมาย และเชือว่า หากดูรอบที่ 2-3-4-5... ผมจะต้องได้ข้อคิดดีๆ จากภาพยนตร์เรื่องนี้อีกแน่นอน


Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2552 22:51:36 น. 5 comments
Counter : 1044 Pageviews.

 
มาอ่านตามคำสั่งแล้วนะคะ ว่าที่...



โดย: pooliko IP: 124.122.234.36 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:13:55 น.  

 
ดูแล้วก็ทำให้นึกถึงสัจจะธรรม กฏเหล็กของธรรมชาติซึ่งไม่มีใครจะฝืนได้ ยากดีมีจน สุดท้ายก็ไม่พ้นเชิงตะกอน หรือหลุมฝังศพ



โดย: psw2548 IP: 117.47.80.240 วันที่: 5 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:49:15 น.  

 
ดูแล้ว น้ำตา ไหล พรากๆ

เศร้ามาก



โดย: Bun2538 IP: 58.8.52.237 วันที่: 5 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:36:56 น.  

 
ขอบคุณมากๆ ที่ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้


โดย: boy IP: 124.121.19.243 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:7:47:49 น.  

 
เศร้ามากกกกกกกกกกกก

ตอนท้ายๆ

ร้องไห้เขื่อนแตก


โดย: 333 IP: 58.8.70.108 วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:1:30:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

J.Atthaphan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to my Life, feel free to know me more.
Friends' blogs
[Add J.Atthaphan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.