ขอให้รอ วันรุ่งของพรุ่งนี้ ฟ้าคงมี พรชัยให้กับเรา (พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช)
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

Sandy love story ทางเลือกของแซนดี


ทางเลือกของแซนดี้

แสงไฟจากเปลวเทียนที่กำลังลุกไหม้สาดส่อง ผสมผสานกับกลิ่นธูปที่ตลบอบอวน ทำให้บรรยากาศรอบด้านดูสงบนิ่ง และแฝงไปด้วยความขลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าคือ
“พระพุทธไตรรัตนนายก” หรือหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นสมัยอู่ทอง ตอนปลาย มีขนาดหน้าตักกว้าง 14.20 เมตร สูง 19.20 เมตร แซนดี้และแฟนชาวฮ่องกงนั่ง ภาวนาอ้อนวอนขอพร ให้สมหวังในความรักจากหลวงพ่อโต แต่คติความเชื่อโบราณที่มีต่อ หลวงพ่อโต หาได้เป็นไปอย่างที่แซนดี้คิดไม่ เพราะวัดแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่เจ้าชาย สายน้ำผึ้ง สร้างให้กับพระนางสร้อยดอกหมากที่กลั้นใจตาย คนโบราณจึงมีความเชื่อและ เล่าขานสืบต่อกันมาว่า ชายหญิงคู่ใดที่มีรักแล้วมาขอพรจากหลวงพ่อที่วัดแห่งนี้ มักจะไม่สมหวัง แต่วันนี้ที่แซนดี้มีโอกาสมาไหว้ขอพร เป็นเพราะแม่และป้าของเธอ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจาก กรุงเทพฯ เพื่อพาแซนดี้ที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งแรก หลังจากหนึ่งปีที่เธอไปใช้ชีวิตอยู่ที่ ออสเตรเลีย แต่การกลับมาของแซนดี้ในครั้งนี้ สร้างความผิดหวังให้กับแม่และพ่อที่ไม่ สามารถยอมรับได้ เพราะเธอได้พาแฟนชาวฮ่องกงกลับมาเที่ยวบ้านด้วย แต่ก็สุดวิสัยที่จะ ทัดทานลูกสาวคนกลางของบ้าน เพราะทุกคนรู้จักแซนดี้ดีว่า ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ และถ้า ห้ามมากๆ ก็จะประชดประชันเตลิดไป ในที่สุดคนที่เจ็บปวดก็คือพ่อแม่ ทางที่ดีที่สุดก็คือไม่ห้าม แต่มีข้อแม้ว่า ไม่ให้ตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าทั้งสองจะใช้ชีวิตอย่างสามีภรรยาด้วยกันที่ใน ต่างแดนก็ตาม แต่แม่ของเธอก็ยังมีหวังว่า จะได้ลูกสาวกลับคืนมา เพราะคนในเมืองไทยไม่มี ใครรู้

เรื่องความดื้อรั้นของแซนดี้ ครอบครัวของเธอได้ประจักษ์มาหลายครั้ง ตั้งแต่เธอเด็กๆ เธอเป็นเด็กหน้าตาน่าเอ็นดูมาก แม้เมื่อโตขึ้นมา เธอก็จัดว่าเป็นคนสวยมาก ด้วยเธอเป็น ลูกคนกลาง คงเป็นลูกที่พ่อแม่ลืม เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะรักลูกคนโตกับคนเล็กมาก จึง ทำให้คนที่เกิดเป็นลูกคนกลางของบ้าน มักคิดน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อแม่ไม่รัก แซนดี้จึงเรียกหาแต่ ความรัก ความเข้าใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะเป็นการสร้างจุดเด่น ต้องการเอาชนะ แต่ลึกๆ เป็นคนที่อ่อนแอ ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เรื่องนี้พ่อแม่ของแซนดี้ทราบดี เพราะเหตุการณ์ เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เธอเรียนได้หนึ่งปี ก็บอกพ่อว่า ไม่อยากเรียนแล้วจะลาออก พ่อแม่เธอห้ามไม่ให้ลาออก แต่แซนดี้ก็ไม่ได้พูดอะไร ในที่สุดเธอก็ไปลาออกมาเรียบร้อย แล้วค่อยมาบอกทีหลังว่า ลาออกแล้วนะ สร้างความ ปวดหัวและเป็นห่วงให้กับพ่อแม่เป็นอย่างยิ่งว่า เธอจะเรียนอะไร จะไปทำอะไร และเธอก็ เริ่มต้นใหม่ด้วยการเรียนการโรงแรมและการท่องเที่ยว เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าเรื่อง การออกไปเที่ยวกลางคืน พ่อแม่ห้าม เธอก็จะกลับสว่างเลย หรือการคบเพื่อนผู้ชายก็ตาม พ่อแม่ไม่สามารถที่จะห้ามได้ เพราะเธอเป็นคนที่ยิ่งห้าม ก็เหมือนเอาน้ำมันไปราดรดบน กองไฟ

เหตุที่แซนดี้ตัดสินใจมาเมืองนอกนี้ ก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจที่จะมาศึกษาเล่าเรียน แต่เป็นเพราะ เห็นเพื่อนๆมา เธอก็มาบ้าง เพราะการอยู่เมืองไทยนั้น แซนดี้มีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย มีฐานะที่สุขสบาย จะใช้สอยของอะไร ทุกอย่างก็ต้องดูหรู มียี่ห้อ งานการไม่คิดที่จะทำ อะไรเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อมาอยู่ออสเตรเลีย แซนดี้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนภาษา (TAFE) ก็อย่างว่า เธอเป็นคนหน้าตาจัดว่าสวย ดังนั้น Jackie หนุ่มฮ่องกงที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน จึงพยายามตีสนิทด้วย อาจเป็นเพราะนิสัยที่ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ หรือเป็นเพราะไม่เข้าใจ ในรักกับแฟนที่เมืองไทย และอาจจะเป็นเพราะช่วงนั้น ไม่มีคนอื่นเข้ามาสนใจแซนดี้เลย จึงทำให้เธอมีใจให้กับ Jackie ด้วยเวลาเพียงสี่อาทิตย์ เธอก็ย้ายเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับ หนุ่มฮ่องกง สร้างความตะลึงและงุนงงให้กับเพื่อน และคนที่รู้จักเธอเป็นอย่างมาก เพราะเธอ เป็นคนที่สวยมาก ทำไมมาชอบกับคนจีนที่ขี้เหร่มาก เพราะ Jackie เป็นคนที่รูปร่างหน้าตา ดูไม่ดีเอาเสียเลย เป็นคนที่สูงมากและผอมมากด้วย หน้ากระดูก จมูกงุ้มๆ ผมยุ่งๆ สูบบุหรี่ จนฟันเหลืองอย่างเห็นได้ชัด และไม่ได้ร่ำรวย ผิดกับแฟนเก่าของเธอราวฟ้ากับเหว เหตุผล อีกอย่างคือ แฟนเก่าของแซนดี้ อาจจะมีอะไรเหมือนๆกัน จึงทำให้แซนดี้ไม่สามารถหาสิ่งที่ เธอขาดหายไป มาเติมให้เต็มในชีวิตได้ แต่ Jackie อาจจะมีสิ่งที่เธอต้องการ ก็อาจเป็นได้ จึงทำให้แซนดี้เลือก

แฟนเก่าเธอนั้นจบจากเอแบค เป็นลูกคนมีฐานะในสังคมไทย ซึ่งก็ทัดเทียมกับเธอ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็รับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อแซนดี้มาอยู่ออสเตรเลียไม่กี่สัปดาห์ เธอ กลับลืมชายคนรักเก่าจนหมด และมีใจให้ชายคนใหม่ ทั้งที่ตอนนี้แฟนเก่าของเธอกำลังทำงาน เพื่อหาประสบการณ์ จากนั้นก็จะไปเรียนต่อ MBA ที่อเมริกา ดูมีอนาคตที่สดใส ไม่ต้อง ดิ้นรนอะไรเลย แค่เดินไปตามทางที่ครอบครัววางไว้ให้ ชีวิตก็มีความสุขได้

ชีวิตแซนดี้ในออสเตรเลียนั้น ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับการเรียนและทำงาน ทั้งที่ไม่จำเป็น ต้องทำเลย เพราะทางบ้านมีฐานะดี แต่เป็นเพราะเธอเลือกผู้ชายคนนี้ แซนดี้จึงไม่มีจิตใจที่จะ เรียนสักเท่าไหร่ เรียนอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เวลาส่วนใหญ่ก็ไปทำงานใช้แรงงาน ทั้งที่ ไม่เคยทำ แต่เป็นเพราะแซนดี้ต้องการเอาชนะพ่อแม่ ที่เรียกร้องให้กลับไปอยู่บ้าน เพราะ เป็นห่วงกลัวว่า ลูกจะลำบากและกลัวลูกจะถลำลึกไปมากกว่านี้

“แซนดี้ ถ้าลูกไม่อยากเรียน ก็กลับมาอยู่บ้านเถิดลูก แต่ถ้าลูกจะเรียน แม่กับพ่อจะ ส่งให้เรียน จะได้จบเร็วๆ แล้วรีบกลับบ้านเรา”

เสียงผู้เป็นแม่ พูดประโยคซ้ำๆทุกครั้งที่โทรหาลูกด้วยความเป็นห่วงข้ามทวีป แต่ ทุกครั้งผู้เป็นแม่ ก็จะได้ยินประโยคซ้ำๆเช่นกันว่า

“จะกลับได้อย่างไร Jackie ยังเรียนไม่จบเลยแม่”

นี่เป็นคำตอบของผู้เป็นลูก ที่แม่ไม่ต้องการจะได้ยิน ซึ่งสร้างความหนักใจและห่วงใย ให้กับบุพการีเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยความที่รักลูก และรู้จักลูกสาวสุดที่รักเป็นอย่างดี จึงไม่กล้าที่ จะพูดอะไรมาก กลัวจะต้องสูญเสีย เพราะจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับไฟ

สิ่งที่แม่ของเธอเป็นห่วงมากอีกอย่างคือ เรื่องสุขภาพของแซนดี้ ที่ไม่ค่อยแข็งแรงกับ การแพ้อากาศ ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง เธอจะเป็นหวัดเจ็บคอและนอนซม บางครั้งลุกไม่ ขี้น แต่เมื่อแม่โทรศัพท์มาพบลูกไม่สบาย สอบถามทุกครั้งก็ทราบว่า Jackie ไม่ค่อยเอาใจใส่ ดูแลเท่าไหร่ อย่างมากก็พาไปหาหมอจีน เอายามาต้มดื่ม (หมอแมะ เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวจีน ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย) ขนาดไอเจ็บคอ เสียงไม่มี แซนดี้ก็ดื่มแต่น้ำขิง จนนาทีสุดท้ายไม่ไหว จริงๆ หรือทนอ้อนวอนจากแม่ไม่ไหว จึงไปหาแพทย์แผนปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไปนี้ แม่และพ่อของแซนดี้เฝ้าติดตามดูอยู่ห่างๆด้วยความเป็นห่วง

ชีวิตแซนดี้ในร้านอาหาร ก็เหมือนพนักงานเสิร์ฟทั่วๆไป แต่เธอโชคดีที่มักมีคนเอ็นดู เพราะทำงานดีและหน้าตาน่ารัก ทุกคนเลยให้ความเอ็นดูมาก แซนดี้ทำงานเกือบเจ็ดวันต่อ อาทิตย์ บางอาทิตย์ทำเจ็ดวันเต็ม ยิ่งตอนนี้แซนดี้ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว เพราะกำลังทำวีซ่า ติดตามแฟน (De facto visa) ไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ ก็สามารถอยู่ในออสเตรเลียได้ จนกว่าแฟนของเธอเรียนจบ หรือถ้าแฟนของเธอสมัครถือวีซ่าถาวรได้ เธอก็จะได้รับสิทธิ์นั้น ด้วย ตอนนี้แฟนเธอยังเรียนดิพโพลม่า (diploma) ส่วนเธอจบแค่ Certificate II in Business ทั้งที่เธอน่าจะเรียนให้จบสูงกว่านี้

แซนดี้ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่เธอเลือกที่จะทำงานในร้านอาหารอย่างเต็มตัว เพื่อส่ง แฟนเรียน ซึ่งสร้างความเป็นห่วงให้กับครอบครัวเธออย่างมาก ก็จะไม่ให้ทุกคนเป็นห่วงเธอ ได้อย่างไร คิดเอาง่ายๆว่า ถ้าหากแฟนของเธอเรียนจบแล้ว มีอันต้องเลิกกัน อาจมีเหตุที่ทำให้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ เวลาที่แซนดี้ควรจะหาความรู้ใส่ตัว ก็จะสูญเปล่าไปแบบไม่ได้อะไรเลย หรือ วันใดที่แฟนเธอหมดรักแล้วจะทำอย่างไร เพราะเงินที่หามาได้ เป็นทั้งค่าเล่าเรียนของแฟน และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ทุกวันนี้เธออยู่ระหว่างการปรับตัว ให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ของคนจีนฮ่องกง ถึงแม้ว่า เธอเองก็มีเชื้อสายจีนเหมือนกัน แต่คนจีนฮ่องกงหรือจีนที่มาจากประเทศอื่นๆนั้น ย่อมมี วัฒนธรรมหรือการดำรงชีวิต ที่ต่างกับคนจีนหรือสังคมจีนในเมืองไทยมาก โดยเฉพาะเรื่อง ความเป็นระเบียบ หรือมารยาทในการกินอาหาร หรือแม้แต่การเดิน ความเกรงใจในการอยู่ ร่วมกัน จริงอยู่ว่าเรื่องแบบนี้ มันอาจเป็นที่นิสัยของคน แต่บอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ มีพื้นฐานที่เหมือนกันมาก เช่น ปิดประตูเสียงดัง รับประทานอาหารด้วยเสียงอันดังมาก ไม่ค่อย เกรงใจ นึกจะทำอะไรก็ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้แซนดี้ทราบดี เพราะตลอดเวลาได้สัมผัสกับ สิ่งเหล่านี้ทุกวัน จนบางครั้งแซนดี้ก็รู้สึกไม่แน่ใจที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่ในเมื่อเห็นว่า ถ้า เลิกกับแฟน พ่อแม่พี่น้องต้องดีใจ และเห็นดีเห็นงามด้วย จึงพยายามอดทนและอดกลั้นกับ สิ่งเหล่านี้ เพราะกลัวที่จะต้องกลับบ้าน ทำให้เธอรู้สึกว่าแพ้ เมื่อเป็นดังนี้เธอจึงต้องทนให้ ถึงที่สุด

ชายคนรักเก่ายังเฝ้ารอแซนดี้อยู่ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้ว ที่แซนดี้มาอยู่ออสเตร เลีย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาณุลืมเธอได้ ภาณุยังคงถามเรื่องราวของแซนดี้เสมอ ชายหนุ่มยังคง ประพฤติปฏิบัติเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งและทุกๆปี เหมือนเมื่อตอนที่แซนดี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็น ตรุษจีน สาร์ทจีน ไม่เคยเว้นที่จะมีของติดไม้ติดมือ มาเยี่ยมเยียนครอบครัวของแซนดี้ ทุกครั้ง อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าชายผู้นี้จะมีหน้าที่การงานและฐานะทางบ้านที่ดีก็ตาม และมี โอกาสมากมายที่จะไปพบไปเจอคนดีๆในสังคม เรื่องนี้แซนดี้ก็ทราบดีจากแม่ของเธอ แต่ใน เมื่อแซนดี้เหมือนคนผิดที่หนีไปมีแฟนใหม่ก่อน เธอจึงคิดว่าอย่างไรเสีย ก็จะไม่มีวันหวนกลับ ไปหาภาณุอย่างแน่นอน เธอจึงไม่สนใจใยดีกับสิ่งเหล่านี้ อีกอย่างแซนดี้คิดเสมอว่า ภาณุ ไม่เหมาะสมกับเธอ เพราะภาณุเป็นคนที่ฉลาดและคิดอะไรไกล จนเธอไม่เคยตามทัน เพราะเธอ เป็นคนที่เรื่อยๆเอื่อยๆ ไม่ค่อยคิดอะไรข้างหน้า คิดแค่วันนี้พรุ่งนี้เท่านั้น จึงยากนักที่จะเข้าใจกัน ได้กับภาณุ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนรักของเธอ และเป็นคนแรกที่ได้เสียกับเธอด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ ภาณุไม่เคยทราบว่า แซนดี้มีแฟนใหม่ เพราะทางบ้านของแซนดี้ไม่ได้บอก ไม่ได้พูดอะไร เพราะทุกคนในบ้านรู้สึกอับอายที่แซนดี้ทำแบบนี้ ทุกคนรับไม่ได้กับคนจีนฮ่องกง ที่รูปร่าง หน้าตาและลักษณะท่าทางดูแย่เอามากๆ และยังมีฐานะไม่ดี คราใดที่ภาณุพบหน้าแม่ของ แซนดี้ แม่ของเธอมักจะพูดกับภาณุว่า

“อย่าไปรอแซนดี้เลย ลูกเอ๊ย เสียเวลาเปล่า”

คำพูดเหล่านี้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของนาง ทั้งที่รู้สึกเสียดายชายคนนี้อย่างเต็มอก แต่คำพูดของนางก็ไม่ได้ทำให้ ภาณุ เอะใจแม้แต่น้อย

“ก็ผมรักแซนดี้นี่หม่าม๊า จะให้ทำไงล่ะ” เป็นคำเดียวที่ภาณุ ยืนยันกับแม่ของแซนดี้

หลายสิ่งหลายอย่าง ยังคงเป็นคำถาม ที่เฝ้ารอคำตอบ แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าอนาคตข้าง
นั้นจะเป็นอย่างไร ทุกคนในบ้านแซนดี้ก็ได้แต่เฝ้ารอ การกลับมาเมืองไทยครั้งแรก ตั้งแต่เธอ มาอยู่ออสเตรเลีย และเป็นครั้งแรกของแฟนเธอ ที่ได้มาสัมผัสเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านของแซนดี้ ทันทีที่พ่อแม่เห็นหน้าแซนดี้และแฟนหนุ่ม ประโยคแรกที่พูดกับลูกก็คือ

“ลูกแน่ใจหรือว่าจะเลือกคนนี้”

แต่แซนดี้ได้เตรียมใจไว้แล้ว จึงไม่สะทกสะท้านอะไรมากมาย เพราะรู้ว่าที่บ้าน ไม่มี ทางรับได้กับคนจีนที่มาจากแผ่นดินใหญ่ หรือมาจากฮ่องกงแน่ จึงตอบแม่ด้วยเสียงสัพยอกว่า

“ทำไม หล่อเกินไปเหรอ” พร้อมกับยิ้มแบบถากถาง

“เปล่า แต่หม่าม๊าว่าแซนดี้น่าจะได้คนที่ดูดีกว่านี้แค่นั้นเอง”

ฝ่ายแม่พูดต่อด้วยความถนอมน้ำใจว่า

“หม่าม๊าเป็นห่วงลูกแค่นั้นเอง”

เป็นอันว่าการกลับมาบ้านของแซนดี้ครั้งนี้ สร้างความหนักใจให้กับครอบครัวเป็น อย่างยิ่ง โดยเฉพาะแม่ของเธอรู้สึกอึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไรดี ครั้นจะไปปรึกษาคนอื่นก็อาย มีทางเดียวคือ ต้องปรึกษาญาติสนิทของตัวเอง เมื่อนึกขึ้นได้ คนที่ผุดขึ้นมาในความคิดก็คือ พี่สา เป็นพี่แท้ๆของนางเอง

“กริ๊ง ...กริ๊ง... ฮัลโหล ต้องการพูดกับใครคะ”

เสียงตอบจากปลายทาง ตอบให้อีกฝ่ายทราบ

“ขอสายพี่สาหน่อย”

“นี่สาพูด ใครพูดล่ะ”

“ฉันเอง พี่สา นี่ดาเอง”

“อ้าวเป็นไงล่ะ สบายดีเหรอ”

“ก็ไม่สบายใจสิ ถึงได้โทรมาหา”

“มีอะไรล่ะ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่กลุ้มใจนิดหน่อยเรื่องแซนดี้”

“อาแซนดี้เป็นอะไรเหรอ”

“มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่มันกลับมาจากออสเตรเลีย มันพาแฟนมันมาด้วย”

“อ้าว มันมีแฟนแล้วเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

ผู้เป็นแม่ของแซนดี้ ได้สนทนากับป้าของแซนดี้ยาวนาน ถึงความกลัดกลุ้มเรื่องลูกสาว ที่พาแฟนกลับมาด้วย ซึ่งนางรู้ดีว่าสามีของเธอก็รับไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครกล้าห้าม แต่อย่างใด จึงสร้างความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ก็เลยต้องมาปรึกษาป้าของแซนดี้ ซึ่งป้าสา ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ในเมื่อหมดหนทางทัดทานได้ มีทางเดียวก็คือ ไสยศาสตร์เท่านั้นที่ช่วยได้ ครั้นจะไปให้มดให้หมอทำเสน่ห์ยาแฝด ก็จะเป็นการงมงาย ไร้เหตุผล และอาจจะโดนหลอก เสียเงินเสียทองได้ จึงต้องทำตามความเชื่อหรือคติชาวบ้าน ก็คือนำทั้งสองคนไปไหว้หลวงพ่อ โต เพราะมีความเชื่อว่า หนุ่มสาวคู่ใดก็ตามที่รักใคร่ชอบกัน หากได้มากราบนมัสการ หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงแล้ว มีอันต้องเลิกรากันไปทุกคู่ทุกราย เพราะความเชื่อ ความศรัทธา ตามตำนานที่กล่าวไว้ แม่ของแซนดี้ก็เห็นดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่มีใจ และตั้งใจไปนมัสการหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ทั้งชาวไทย และชาวจีนเคารพบูชามาก



สองวันต่อมาในเวลาเช้าตรู่ ป้าและแม่ของแซนดี้ ก็พาแซนดี้และแฟนไปวัดพนัญเชิง อย่างที่ตั้งใจไว้ โดยให้เหตุผลว่า ต้องการให้แฟนของเธอได้เห็นวัดวาอาราม และได้ไปเที่ยว อยุธยาด้วย นอกจากนี้แม่ของเธอยังบอกอีกว่า ต้องไปแก้บนด้วยผ้าห่มองค์หลวงพ่อตามที่ เคยบนบานไว้ แซนดี้ถึงยอมมาด้วย โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความในใจผู้เป็นแม่เลย

เมื่อแซนดี้ปักธูปหลังจากอธิษฐานจบ เธอยังคงนั่งสงบใจอยู่ครู่ใหญ่ ต่อหน้าองค์ หลวงพ่อโต โดยที่ใจของเธอรู้สึกอบอุ่นและสงบ เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของหลวงพ่อโต เมื่อใจ เธอสงบเยือกเย็น จึงทำให้เธอไม่ได้สงสัย หรือกังวลใดๆเลย กับเหตุผลที่แม่ของเธอพามา ไหว้พระในครั้งนี้ แต่ตรงข้ามกับใจของแม่เธอ ที่รุ่มร้อนและกังวลในตัวลูกสาวเป็นอย่างมาก

ระหว่างทางนั่งรถกลับ แม่ของเธอพร่ำสอน ตักเตือนเธอมาตลอดทางว่า ไม่ให้ใจร้อน และอย่าปล่อยให้มีลูกเต้า เพราะยังมีเวลาอีกมาก ที่จะดูใจกันไปก่อน แต่แซนดี้ไม่ได้คิดไม่ได้ ใส่ใจในเรื่องที่แม่คิดหรือสอน เพราะเธอเองคิดไม่ทันใครๆเสมอ เธอเป็นคนไม่ชอบคิด ไม่ชอบ อ่านใจใคร อยากทำอะไรก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเลือก เธอไม่ยอมเดินตามพ่อแม่ที่หวังให้ ลูกกลับมาอยู่บ้าน จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง และเธอก็ไม่มีวันที่กลับไปคืนดีกับแฟนเก่า ซึ่งเป็นอีก ทางเลือกหนึ่ง แต่เธอเลือกที่ทุ่มเททั้งกายและใจ ยอมทนลำบากเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารใน ร้านอาหารที่ออสเตรเลีย เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับ Jackie คนรักใหม่ของเธอ แทนที่จะกลับไป ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองไทย ทั้งที่มีทางเลือกมากมาย

ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงวนเวียนอยู่เหมือนละครโรงใหญ่ ที่เปิดฉากขึ้นและแสดงไปอย่าง ต่อเนื่อง โดยที่ไม่มีใครทราบว่า ตอนจบของละครเรื่องนี้จะจบแบบใด เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของ แซนดี้ ที่ต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่มีหยุด แม้แต่เสี้ยวของวินาที เพราะมันเป็นชีวิตจริงที่ไม่ได้ เขียนบทไว้ล่วงหน้า จึงไม่มีผู้ใดจะรู้ได้ว่า สุดท้ายของเรื่องนั้นจะเศร้าหรือสุข สิ่งเหล่านี้ยังคง อยู่ในการเฝ้าติดตามชมอยู่ห่างๆจากคนรอบข้างของตัวเธอ แซนดี้ไม่ได้หวังว่าทางที่เธอเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ขอให้มันเป็นทางเลือกที่ทำให้เธออิ่มใจและสุขใจที่สุดก็พอแล้วสำหรับชาตินี้




ข้อมูลจากหนังสือพระพุทธ รูปสำคัญ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2553
0 comments
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 12:10:12 น.
Counter : 1199 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


พินิจนันท์ เจมส์
Location :
โน้ส อุดม Ayaka Oishi Hiroko Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




รวมเรื่องสั้นจากต่างแดน ชุด หนูอยากเป็นโสเภณีนี้
ผู้เขียนตั้งใจเขียนเพื่อให้เป็นความรู้ และตีแผ่สังคมที่ได้พบได้เจอมา ต้องการให้เป็นเรื่องสั้นที่มีครบทุกอรรถรสหลากหลาย อารมณ์ตลก ชีวิต เสียดสีสังคม และแฝงไปด้วยคติเตือนใจ แต่ละเรื่องผู้เขียนหวังแค่ปลุกจิตให้กับผู้อ่าน ได้รู้ได้สัมผัสกับแง่มุมบางแง่ ที่คนอาจมองข้ามไป และต้องการแสดงให้ เห็นว่าทุกสังคมนั้น ย่อมมีการแก่งแย่งแข่งขัน ดิ้นรน โอ้อวด เหยียดหยามกัน มีทั้งคนดี และคนไม่ดี สิ่งเหล่านี้ในสังคมเดียวกัน แต่คนอาจจะพบอาจเจอไม่เหมือนกัน และสังคม ของคน ก็เหมือนสังคมของสัตว์ผู้ที่เก่งผู้ที่มีกำลังมาก ผู้ที่รู้จักปรับตัว ก็ย่อมอยู่ได้ในสังคม นั้น ผู้ที่อ่อนแอและไม่ปรับตัว ก็ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับคนในสังคมนั้น เพราะทุกคนมี ที่มาต่างกันและมีจุดมุ่งหมายต่างกัน แต่ในเมื่อมาอยู่ร่วมกันในที่ที่เดียวกัน ก็ย่อมที่จะมี ปัญหา เพราะทุกคนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ต่างคน ต่างต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด

เรื่องสั้นส่วนใหญ่ เคยโพสต์ลงในเวปเอ็มไทย ได้รับคำวิจารณ์และคำติชมจากผู้อ่านพอสมควร ผู้เขียนต้องการเพียงแค่ เสนอแนะให้เป็นข้อคิดกับคนรุ่นต่อไป หรือคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมของคนในต่างแดนว่า เราควรจะเตรียมตัวอย่างไร ถึงจะอยู่รอดได้ ผู้เขียนไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย ที่จะนำชีวิตผู้หนึ่งผู้ใดมาประจานให้ได้รับ ความเสียหาย เพราะทุกเรื่องตัวละครทุกตัวก็เป็นเรื่องสมมุติ ถึงแม้จะอิงหรืออ้างถึงสถานที่ จริง ก็เพื่อให้เกิดความสมจริงขึ้นกับเนื้อเรื่องเท่านั้น

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้ จะบรรจุเรื่องราวต่างๆที่เป็นประโยชน์ ความสนุก สนาน สำหรับผู้อ่านอย่างครบถ้วน

ด้วยความปรารถนาดี

เจมส์

มกราคม 2543
New Comments
Friends' blogs
[Add พินิจนันท์ เจมส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.