|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ธรรมทานจากใจ..
ขอนอบน้อม นมัสการแด่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า _____________________________________________________
..เป็นปรกติธรรมดาของปุถุชน และยังมีมานะกิเลสอยู่ เมื่อตนได้ดีกว่าผู้อื่น เมื่อตนได้มีความสุขกว่าผู้อื่น ก็มักจะคิดว่าตนดีกว่า ตนเหนือกว่า ตนรู้ตนฉลาด คนอื่นไม่รู้ คนอื่นนั้นโง่ ไม่ฉลาด คนอื่นนั้นไม่สุข เราสุข คนอื่นนั้นต่ำ เราสูง เราเหนือ เราดีกว่า นั่นก็เป็นเรื่องของชนโดยทั่วไป
แต่ ณ.ที่นี้ หลายๆท่านรวมไปถึงผู้เขียนเอง ต่างก็ล้วนเป็นผู้โชคดี ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา บ้างก็มากด้วยปัญญา บ้างก็มากด้วยสมาธิ ทาน ศีล ต่างๆกันไป ถือเป็นความโชคดีของชีวิต เป็น"มหาชีวิต" ที่ชีวิตนี้จะหาได้ เป็นจริงได้ เพราะในภพหน้าก็มิอาจรู้ได้ว่าจะตกไปอยู่ในภพภูมิใหน เสวยสุข ทุกข์ ก็ยากที่จะรับรอง ด้วยเพราะจิตนี้ยังมีสิ่งปนเปื้อน เป็นสารพิษของจิตใจ นั่นก็คือ กิเลสยังมีอยู่นั่นเอง
และด้วยเพราะยังทำความดี ยังเจริญในกุศล มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นหากมิได้พิจารณาโดบแยบคาย ขาดโยนิโสมนสิการแล้ว ก็อาจได้ชื่อว่า เป็นผู้ยึดติดในบุญกุศล คือเห็นการกระทำความดีของตนคือการยกตน ข่มผู้อื่นที่ไม่มี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา คนอื่นเป็นคนชั่ว คนอื่นเป็นชนพาล เรานี้ถูก เรานี้ประเสริฐกว่าคนเหล่านั้น คนอื่นกล่าวผิดหมด เราถูกอย่างเดียว อย่างนี้ เขาได้ถูกมานะกิเลสครอบงำจิต ของเค้าเสียแล้ว เมื่อจะมีผู้ใดมาทำความขัดเคืองให้ เขาย่อมไม่พอใจ ย่อมขุ่นใจด้วยโทสะ ด้วยเพราะมานะทิฏฐิ หลงคิดว่าการกระทำดีของตนย่อมจะต้องทำให้ตน ได้รับและประสบแต่สิ่งที่ดี ผู้อื่นต้องต่ำ ต้องผิด เรานี้ถูกเท่านั้น
ธรรมอันหนึ่ง คือพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา จึงเป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจำต้องเจริญไว้ควบคู่กับจิตไว้เสมอเพราะจะช่วยให้กุศลธรรมทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นแล้วไม่อาจถูกอกุศลทั้งหลายเบียดเบียนได้ ขอให้พึงสำเหนียกและพิจารณาเถิดว่า การกุศลใดๆก็ตาม หากกุศลนั้นประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ นี้แล้ว กุศลนั้นย่อมมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ และให้ผลที่สุขสงบกว่า กุศลที่ประกอบกับกิเลส เพราะบ้างก็ทำกุศลเพราะหวังลาภ ยศ ชื่อเสียง เงิน ทอง คือทำกุศลเพราะโมหะ เพราะโลภะ เพราะโทสะ ดั่งนี้
การเจริญเมตตาโดยนัยอีกประการหนึ่งเพื่อข่มมานะกิเลส คือการพิจารณาจิตของตนโดยเห็นว่าเรานี้แม้จะเป็นผู้มีการบริจาคทานมาก เจริญศีล สมาธิ ปัญญามามาก ก็ตาม แต่กิเลสทั้งหลายก็ยังมิได้ถูกถอดถอนออกไปจากจิตนี้อย่างถาวรเลย ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้"ประมาท"อยู่ และยังอาจตกไปอยู่อบายภูมิได้อย่างมิต้องสงสัย เพราะแม้ธรรมเบื้องต่ำ คือพระโสดาบัน เรานี้ยังมิอาจทำให้แจ้งได้ จักให้มั่นใจว่าปิดอบายภูมินั้น จักมีได้จากที่ใหน คนอื่นเลว คนอื่นทราม คนอื่นต่ำหรือ คนอื่นดีกว่า เหนือกว่า เราอย่างไรๆ ก็ยังเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย อยู่ด้วยกัน
การมีธรรมของเราจึงไม่ใช่เป็นเพื่อยกตนข่มผู้อื่น มิใช่เป็นไปเพื่อข่มเหง หรือเบียดใครๆ ใครเค้าผิดไปจากธรรมก็ควรช่วยส่งเสริมความรู้ถูก เข้าใจถูกให้กับเขา หากเค้าไม่ยอมรับ เค้าปฏิเสธ ด้วยเพราะเรารู้มาก หรือรู้น้อย หรือเพราะเรากล่าวผิดเอง ไม่ว่าเค้าจะมีธรรม หรือไม่มีธรรมก็ตามแต่ หากเรายังไม่ได้ธรรมเบื้องต่ำคือโสดาบัน เราก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเขาเลย เพราะเราก็ยังมีสิทธิ์ไปนรก พลั้งพลาดไปอบาย ได้เหมือนๆกันกับเขา
......ด้วยเพราะจิตนี้ยังอาจหวั่นไหวไปตามอารมณ์ของกิเลสที่ยังมีในจิตขันธสันดาน
.....อันต่างจากผู้ที่ได้"ดวงตาเห็นธรรม" ที่จิตของท่าน"มุ่งตรง" สู่พระนิพานอันไม่หวั่นไหวจากสิ่งใดๆแล้ว ด้วยประการทั้งปวง
ขออนุโมทนาสาธุครับ.
Create Date : 12 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 14:12:53 น. |
|
1 comments
|
Counter : 576 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
มีหลายเรื่องที่ควรสงสัย แต่เราไม่สงสัยในสิ่งต่างๆนั้นแล้ว เราศรัทธาแต่ในพระรัตนตรัย
..แม้เทวดา มารหรือพรหม จะมีหรือไม่มีอยู่จริง เราก็มีธรรม มีปัญญารู้ในสิ่งต่างๆนั้นด้วยตนเองแล้ว ทั้งปัญญา ทั้งศรัทธา เป็นสิ่งที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นเอง ใครสร้างท่านไม่ได้
พระพุทธเจ้า พระองค์ดุจผู้บอกทางให้เท่านั้น จะเดินหรือไม่ เรามิได้กล่าวโทษตำหนิท่านแต่อย่างใดเลย ท่านเชื่อ ท่านก็เดิน ท่านไม่เชื่อก็ควรแล้ว ที่ท่านจะสงสัยควรแล้วที่ท่านจะปฏิบัติ เพื่อคลายความสงสัยนั้น
|
|
ขอบคุณ code และ ภาพ จากคุณ aggie_nan ตามลิงค์ที่อยู่ ด้านล่างครับ
|
|
|
|
|
|
|