ธารธรรมใสเย็นยิ่ง สุขได้
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
24 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
แผ่เมตตา..ให้กับ ทุกขเวทนา

เป็นที่ทราบกันโดยปรกติว่า การแผ่เมตตานั้น ย่อมสามารถทำให้จิตของผู้แผ่เมตตานั้น สามารถที่จะสงบระงับเสียได้ในโทสะ ด้วยเพราะเป็นธรรมที่เป็นข้าศึกแก่กัน คือกุศลกับอกุศล

ลักษณะของโทสะ เป็นลักษณะของจิตที่ต้องการ เอาอารมณ์นั้นออกไปจากจิตใจ คือได้รับอารมณ์นั้นมาแล้ว
มีตัณหาทะยานอยากเอาอารมณ์นั้นออกไปจากตน เช่นใครด่าว่า ก็จำต้องด่าตอบโต้ ใครทำร้ายเรา ก็จำต้องตอบโต้ทำร้ายตอบกลับ คนที่รักทำให้ตนไม่พอใจ ตนก็จำต้องแสดงออกด้วยอาการน้อยใจ ขุ่นใจ ร้องให้
นี่เพราะมาจากสภาวะของจิตที่เป็นโทสะ

ยังมีอีกประการหนึ่ง ที่จิตก็เป็นโทสะเช่นกัน(ในปถุชนเท่านั้น) นั่นก็คือ ทุกขเวทนา ความทุกข์ทางกาย
และโทมนัสเวทนา ความทุกข์ทางใจ

จะขอเอาทุกขเวทนามาเป็นเบื้องต้นก่อนด้วยเพราะเป็นของหยาบรู้ได้ง่าย ซึ่งต่างก็ทราบและผ่านมา กำลังได้รับ และจะได้รับต่อไปในอนาคต เพราะกายนี้เป็นรังของโรค อวัยวะทุกส่วน หากประสาทของจิตรับรู้ได้ย่อมเป็นที่ตั้งแห่งสุขและทุกข์ได้อย่างแน่นอน และอวัยวะต่างๆเหล่านั้นที่จะพ้นไปจากความหมักหมม ความสกปรก พ้นไปจากโรคนั้นไม่มี

เมื่อธาตุทั้ง ๔ ที่ประชุมกัน ขาดความพอดี หากธาตุใดมีกำลังมากเกิน หรือหากธาตุใดมีกำลังน้อยเกินไป ย่อมส่งผลให้ความเป็นโรค ความทุกข์ทางกายบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ชีวิตของหมู่สัตว์ทั้งย่อมตั้งอาศัยอยู่ได้ด้วยกรรม ด้วยความพอดีอันมีอยู่ของธาตุทั้ง ๔ เป็นปรกติ

ความเจ็บปวดทรมานของสังขาร คือกายนี้ เวลานี้อาจจะยังไม่ปรากฏเด่นชัดนัก เพราะเวลานี้เพราะหลายๆท่านยังสุขกายสบายอยู่ แต่สำหรับบางท่านที่กำลังได้รับทุกขเวทนาในเวลานี้ ย่อมจะทราบดีว่า มีความทุกข์ มีความทรมานสักเพียงใด
และแม้จะได้ชื่อว่าไม่มีโรคในเวลานี้ แต่ใครจะมั่นใจได้ว่า ตนจะไม่ได้รับอุบัติเหตุ ตนจะไม่ถูกฆาตกรรม จะไม่ถูกอรสรพิษจากสัตว์ทั้งหลาย กรรมนั้นย่อมมีอยู่ และตนก็ไม่อาจรู้ว่าอกุศลกรรมนั้นจะมาถึงตนเมื่อใด

ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อทุกขเวทนาได้เกิดขึ้นแก่ตนแล้ว ปถุชนผู้ไม่มีปัญญา ย่อมแสวงหาทางพ้นไปจากความทุกข์ของตน เมื่อความปราถนาด้วยแรงแห่งตัณหาและโทสะมีอยู่ เมื่อยังทุกขเวทนาของตนยังปรากฎอยู่ มิอาจดับลงไปได้ สัตว์นั้นตายเพราะกายแตกสัตว์เหล่านั้นย่อมเข้าสู่อบายนรก มีสภาพเร่าร้อน เฉกเช่นเดียวสภาวะของจิตที่เป็นโทสะอย่างนั้น


ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อความทุกข์ทางกายปรากฏ แก่ปถุชนผู้ไม่มีปัญญา ย่อมมีโทสะประกอบร่วมกันกับเวทนาที่เสวยอารมณ์ทุกข์นั้นร่วมอยู่ด้วย คนที่เจ็บป่วยทางกาย จึงมีความทุกข์ สองชั้น คือทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจ(ที่เป็นโทสะ)

อุบายอันดี อีกประการหนึ่งคือการแผ่เมตตาให้กับกายนี้เมื่อทุกขเวทนาปรากฎ ที่ใด ก็ให้พึงแผ่เมตตาไปยังอวัยวะ ณ.ที่นั้น หากจะยกตัวอย่าง เราปวดที่ศรีษะมาก ทานยาแก้ไขแล้วก็ยังมิอาจบรรเทา ทราบดีว่าอาจด้วยเพราะแรงกรรมในอดีตส่งผลอยู่ เราก็แผ่เมตตาไปที่ศรีษะ ขอให้ศรีษะนี้เป็นสุข อย่าได้เป็นทุกข์เลย ขอท่านอย่าได้เจ็บป่วย มีความสุขสวัสดีในกาลทุกเมื่อ คนที่ป่วยเรื้องรังรักษาได้เพียงทุเลา บรรเทา ก็ให้พึงแผ่เมตตาไปยังอวัยวะภายนอกที่ตนรักษาอยู่ แผ่เมตตาให้อวัยวะส่วนนั้นได้มีความสุข อย่าได้เจ็บอย่าได้ป่วย ให้สามารถดำรงมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอให้อวัยวะส่วนนั้นพึงหายจากความทุกข์ อย่าได้เบียดเบียนกันและกันเลย
หรือจะให้ละเอียดไปกว่านั้น ก็ให้แผ่เมตตา ไปถึงเลือด กระดูก เชื้อโรค เส้นเอ็น อวัยวะภายในทั้งหลายที่ตนได้รับทุกขเวทนาอยู่ ก็ดุจเดียวกัน

เมื่อรู้ว่าใจของตนสงบได้ด้วยเพราะไม่มีโทสะเกิดร่วมกันกับทุกขเวทนา ก็ให้พึงเจริญปัญญาเห็นว่านี่เป็นกรรม นี่เป็นเป็นผลของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ก็จะช่วยสงบระงับ บรรเทาทุกขเวทนาลงไปได้อีกประการหนึ่ง


เมตตานี้จึงเป็นธรรมที่คุ้มครองโลก ปกป้องให้ผู้ที่รักษาทั้งหลายได้มีร่มเงา พึ่งพิงให้กับจิตของตน แลผู้อื่นก็ย่อมได้อาศัยร่มเงาคือเมตตานี้รวมอยู่ด้วย




ไม่ควรเห็นเป็นเรื่องที่ควรประมาท เพราะสักวันหนึ่งมรณะ คือความตายจักต้องมาเยือนแก่ตนอย่างแน่นอน ตนย่อมไม่พ้นไปจากความตาย และก่อนที่ความตายจักเกิดขึ้น ความทุกข์ก่อนที่กายนี้จะดับ แตก สลาย ย่อมจักต้องมี
เอาเพียงแค่เวลานี้แม้ไม่ได้เป็นโรค แค่ลองกลั้นหายใจสักพัก จะรู้ได้ว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุทั้ง ๔ นี้ย่อมกระสับกระส่าย จะแตกสลายหนีแยกออกไปจากกัน บ้างจะออกไปตามทางทวาร ธาตุน้ำมีเลือดเป็นต้น ไหลออก อุจจาระ ปัสสสาวะ ใหลออก ธาตุลมดันออกคล้ายมีระเบิดออกจากกาย ดันลูกตาบ้าง มือเท้า ท้อง หน้าบวม ธาตุไฟมากก็ร้อนเป็นไฟ บ้างก็อุ่น บ้างก็ธาตุไฟจะดับกายก็จะเย็นจับเข้าไปถึงแกนกระดูกทั่วสรรพางค์กาย
ก่อนที่จิตจะดับ ความทุกข์จะมากมายเพียงใด ไม่มีใครตอบได้ว่าจะขนาดใหน เพราะต่างก็ไม่มีชีวิตรอดสักคน



แม้ทุกวันนี้เพียงแค่การกระพริบตา ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าต้องกระพริบไม่ใช่เพราะต้องการหล่อเลี้ยง
แต่สาเหตุจริงๆเพราะมันเป็นทุกข์ ต้องหายใจเข้า-ออก ก็เพราะมันทุกข์ ต้องกิน ขับถ่าย ก็เพราะมันทุกข์
ทุกข์มันบีบคั้น

บางคนเห็นการอิ่มเป็นความสุข แต่แท้จริงทุกข์ไม่หมด หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ยังทุกข์ ที่รู้สึกอิ่มเพราะความทุกข์ที่กระเพาะอาหารมันบีบคั้นว่ามากเกินไปแล้ว แต่เรากลับเห็นควาทุกข์นั้นเป็นความสุข เพราะอวิชชามันปิดบัง ความจริงให้กับเรามาโดยตลอด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ใครเล่าจะมาล่วงรู้


....วันสุดท้าย ที่ความตายจะมาถึงตนเห็นความตายมาเยือนเป็นแน่แล้ว ความทุกข์ทางกายของเราปรากฏขึ้นแล้ว
ก็ควรกล่าวขอบคุณกายนี้สักครั้ง ที่ได้อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันสุดท้าย
ขอบคุณที่ช่วยให้เราได้รักษาศีล ให้เราได้ทำสมาธิ ให้เราได้เจริญวิปัสสนา ให้ได้มาพบพระพุทธศาสนา
เวลานี้เราคงต้องจากลา ขอบุญกุศลทั้งหลายที่เราได้กระทำร่วมกันมา
จงมาเป็นพละปัจจัยให้เราเข้านิพพาน โดยเร็ว ด้วยเทอญ

กายดับ..
จิตยังคงดำเนินตามทางต่อไป
นรก
เปรต
อสูรกาย
เดรัจฉาน
มนุษย์
สวรรค์
พรหม
อรูปพรหม

.......นิพพาน

ขออนุโมทนาสาธุครับ



Create Date : 24 เมษายน 2553
Last Update : 24 เมษายน 2553 12:21:04 น. 10 comments
Counter : 890 Pageviews.

 
thank you


โดย: rose IP: 91.6.210.210 วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:13:52:17 น.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:16:41:54 น.  

 


โดย: Loveaddicted8 วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:13:23:17 น.  

 
อนุโมทนา


โดย: กาฟิว IP: 10.0.0.120, 58.8.90.3 วันที่: 5 มิถุนายน 2553 เวลา:12:14:42 น.  

 
ได้อ่านข้อความของคุณแล้ว ขอถามนะคะว่าถ้าตัวดิฉันเองเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกะตัวเองว่า ตอนนี้คอที่เป็นเม็ดๆๆขึ้นมาบริเวณรอบคอมาจากสาเหตุที่ชอบกินคอ เป็ดมากถ้าเราเชื่อ แล้วเราจะแผ่เมตตาอย่างไรคะที่ให้เม็ดๆๆๆที่คอมันหายไป เป็นมาเป็นปีแล้วคะมันเป็นๆๆหายๆๆๆน่ารำคาญ เป็นไปได้ไม๊คะ เพราะหาสาเหตุมาแต่พอมานั่งนึกๆๆๆๆก็น่าจะเป็นเพราะคอเป็ด


โดย: จิตฟุ้ง IP: 118.172.248.142 วันที่: 13 มิถุนายน 2553 เวลา:14:20:17 น.  

 
เหตุของโรคมีสองนะครับ
คือ๑.เกิดจากอาหาร อากาศ คือเกิดขึ้นจากเหตุในปัจจุบัน
๒. เกิดจากรรม อดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันทำอกุศลกรรมไว้
โดยปรกติโรคที่เกิดจากสาเหตุแรก มักจะรักษาให้หายหรือบรรเทาลงไปได้ ส่วนโรคที่เกิดจากรรม มักจะไม่หายอาการทรงหรือทรุด คนอื่นหายแต่กับเราไม่หาย ดั่งนี้

ขั้นแรกไปหาแพทย์ ถ้าไม่หายหรือบรรเทาก็สันนิษฐานว่าเป็นโรคกรรม ไม่มีใครไปต่อต้านทำลายล้างได้หรอก สิ่งที่ควรกระทำคือ การยอมรับผลอันนี้ ให้รู้สึกภูมิใจว่าได้ชดใช้กรรมอันนี้แล้ว และจะไม่ทำบาปทำอกุศลต่อไป พิจารณาว่าเรามีกรรมเป็นของๆตน เราทำกรรมอย่างไรก็จักได้รับผลของกรรมนั้น เป็นก็ตาย ไม่เป็นก็ตาย ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง มีเพราะเรายังไม่พ้นไปจากสังสารวัฏ จึงควรเร่งความเพียร ไม่ประมาท ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์คือพระนิพพาน

โรคอันนี้ก็สักแต่ว่าเป็นโรคทางกายเป็นอาการป่วยทางกาย หาใช่ที่ใจนี้ด้วยไม่ จะหายก็ช่าง จะไม่หายก็ช่าง ก็สักแต่ว่าเป็นทางกาย ขอให้มีจิตตั้งดำรงอยู่กับสติ ดำรงอยู่กับสมาธิ อยู่กับปัญญา

เมื่อใดที่สามารถรักษษจิตให้มีปรกติได้ดั่งนี้ เห็นแจ้งในจิตในสภาวะของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งหลายได้พอสมควรแล้ว
ให้น้อมจิตไปสู่ความเป็นผู้มีเมตตา ภาวนาแผ่ซ่านไปไม่มีที่สุดไ่ม่มีประมาณ ทั้งภายนอกกาย ภายในกาย ในลำคอ นอกคอ ในเม็ด นอกเม็ด ที่เป็น ที่หาย แผ่ไปทั้งตนเอง ทั้งผู้อื่น ทั้งสัตว์อื่นที่ตนได้เคยกระทำล่วงเกิน รวมไปถึงผู้มีอุปการะคุณสูงสุดคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
น้อมจิตของตนเข้าไปสู่พระรัตนตรัย พิจารณาในความดีที่สูงของและรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดที่เคยกระทำมา มอบกายถวายชีวี
จะสุขก็ดี จะทุกข์ก็ดี จะมีโรคก็ดี ไม่มีโรคก็ดี ก็ไม่มีจิตอัน"ติด"อยู่ในความยึดมั่น ถือมั่นนั้นเลย

แม้ผมเองก็เป็นโรคเช่นกัน ก็ไม่ได้หายหรือลดลงไปเลย
ก็ต้องยอมรับ เราเองก็เป็นผู้ที่เคยประมาท กระทำล่วงเกินไว้
และไม่มีใครล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ไปได้เลย..


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:19:01:01 น.  

 
สาธุอีกครั้งค่ะ ตอบคำถามได้กระจ่างจริง ๆ ค่ะ อ่านแล้วแจ่มเลยค่ะ


โดย: thainurse@norway วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:05:45 น.  

 
ขออนุโมธนาบุญด้วยค่ะ ข้อความของคุณอาจทำให้คนที่อ่านหลายคนได้ฉุกคิดบ้างไม่มากก็น้อย

เคยใช้วิธีแผ่เมตตาช่วยเรื่องทุกข์ทางใจค่ะ แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวร แผ่ให้แก่คนที่ขณะนั้นเรารู้สึกตัวว่าคิดถึงเค้าแล้วทุกข์
ได้ผลจริงๆ เพราะอย่างน้อยใจเรานี่หละ สุข เบาสบาย ก่อนใคร


โดย: แม่ส้มแป้น วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:50:11 น.  

 
สาธุดิฉันก็เป็นโรคที่รักษไม่หายมา 30 ปีแล้วอยู่ดีก็ไม่มีเสียงเสียงก็จะค่อยหานไป แต่ดิฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนก็ได้แต่คิดว่าใช้หนี้ให้เขาไปแต่ไม่มีอาการเจ็บอะไรและก็คิดว่าร่างกายไม่ใช่เราก็ไม่ทุกข์ยืมเค๊ามาใช้


โดย: ฤทัยทิพย์ วานิชกมลนันทน์ IP: 119.42.91.226 วันที่: 2 มกราคม 2554 เวลา:21:31:12 น.  

 
สาธุ ถ้าหากคุณฤทัยทิพย์ ทานยาอยู่
ก่อนทานยา ลองตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัย แล้วเพ่งไปที่ยาแล้วอธิษฐาน
"พุทธะเป็นยา ธรรมะรักษา สังฆังหาย"
ก็หวังว่าอาการที่เป็นอยู่จะดีขึ้นบ้าง นะครับ

เป็นธรรมดาของสังขาร ที่จะเที่ยงแท้เป็นสุขไม่มี..


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 5 มกราคม 2554 เวลา:22:58:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ใจพรานธรรม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




มีหลายเรื่องที่ควรสงสัย แต่เราไม่สงสัยในสิ่งต่างๆนั้นแล้ว
เราศรัทธาแต่ในพระรัตนตรัย

..แม้เทวดา มารหรือพรหม จะมีหรือไม่มีอยู่จริง
เราก็มีธรรม มีปัญญารู้ในสิ่งต่างๆนั้นด้วยตนเองแล้ว
ทั้งปัญญา ทั้งศรัทธา เป็นสิ่งที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นเอง
ใครสร้างท่านไม่ได้

พระพุทธเจ้า พระองค์ดุจผู้บอกทางให้เท่านั้น
จะเดินหรือไม่ เรามิได้กล่าวโทษตำหนิท่านแต่อย่างใดเลย
ท่านเชื่อ ท่านก็เดิน ท่านไม่เชื่อก็ควรแล้ว ที่ท่านจะสงสัยควรแล้วที่ท่านจะปฏิบัติ เพื่อคลายความสงสัยนั้น
S! Radio
Express 4
เพลง ทานตะวัน ---ฟอร์ด
ศิลปิน รวมศิลปิน : Express
อัลบั้ม Express 4
ดูเนื้อเพลงคัดลอกโค้ดเพลงนี้
ขอบคุณ code และ ภาพ จากคุณ aggie_nan ตามลิงค์ที่อยู่ ด้านล่างครับ
Friends' blogs
[Add ใจพรานธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.