|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
Home Leave กับความซวยรอบที่ล้าน
ทำไม๊ ทำไม บล๊อคช้านนนหายไปไหน จริงๆนี่อัพเสร็จไปแล้วนะเรื่องที่ลาพักร้อนกลับบ้านไปช่วงกลางเดือนกุมภาฯ กลับมาต้นเดือนก็รีบมาอัพกันเลย แต่สงสัยบล๊อคหน้านั้นมันคงทำบุญมาน้อย ได้เสนอหน้ามาอวดอยู่แค่สองวัน หลังจากนั้น bloggang ก็มีปัญหา แล้วก็อันตรธานหายไปแร้วววว ลืมเกือบหมดแล้วด้วยว่าทำไรไปบ้าง เท่าที่จำได้รู้แต่ว่าไปถึงวันแรกก็ออกเที่ยวกลับบ้านตีสาม ช๊อบชอบ ได้ไปแดนซ์เพลงที่คุ้นเคย เพลงที่รู้จัก ไม่เหมือนผับที่ดูไบ อิชั้นแดนซ์ไม่ออก เพราะอีนี่มันฮัดช่า ฮัดช่ามากมากเลยนะจ๊ะนายจ๋า นอกจากไปเที่ยวแล้วก้อออกตระเวณกิน กิน กิน ทั่วกรุงกับเพื่อนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ กินเกินสามมื้อทุกวัน 

หมูตุ้ยและจุ๋งจิ๋ง เพื่อนสุดเลิฟ มารับไปซิ่งตั้งแต่ก้าวขาถึงบ้านได้ไม่เกินชั่วโมง มื้อแรกก็ไปฟาดฟูจิกันเลย อิ่มแปร้

ไปเที่ยวบูซ ตึ๊ง ตึง ตึง ตึง ตะลึง ตึงตึง นังสองสาวนี่เมา พูดจาไม่รู้เรื่อง ส่วนเราเมาน้ำตา (ลาวซะ) ก็วงดนตรีมันเล่นแต่เพลงโดนๆนี่ (แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้วนะจ๊ะ หายโศกแระ เชอะ)
อ้อ อีกเรื่องที่จำได้ วันนึงเกิดอยากกิน MK มากมากเลยจิกเพื่อนๆที่จุฬามากินด้วยแบบกะทันหัน ยังดีนะที่รวบรวมมาได้ 6 ชีวิต ไปกินแล้วมีความสุขมากมาก เดี๋ยวนี้ที่ MK เค้ามี entertain ลูกค้าแบบใหม่แล้ว เราตื่นเต้นมากมาก เห็นแล้วงง อึ้ง อยู่ดีดีก็ให้พนักงานมาตั้งแถวเรียง แล้วก็มีเพลงแบบแดนซ์ แดนซ์เปิดมา แล้วพนักงานก็เต้นพร้อมกันซะงั้น งงค่ะ อาไรกันเนี้ย เดี๋ยวนี้มีแบบนี้ด้วย แต่ก้อชอบนะ มีมาเต้นทุกหนึ่งชั่วโมง ใครอยากดูไปได้เลยที่ MK น่าจะมีทุกสาขานะ

กะคุณออม เพื่อนแสนดี คอยอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจดึกดื่นตอนเราเฮิร์ทอย่างหนัก ขอบคุณนะเพื่อน

ไอ้คุณเยียร์ หรือไอ้แว่นของเพื่อนๆ คนนี้ก้อแสนดี อย่าลืมนะแกที่บอกว่าจะแนะนำให้เพื่อนน่ะ ชั้นยังไม่ลืม

อ๊บอ๊บ แต่งตัวมาเหมือนหัวหน้าข่าวอาชญากรรม ขอบใจสำหรับคติสอนใจที่แกพยายามหามาให้ชั้นอ่าน งงบ้าง เข้าใจบ้าง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากคนอย่างแก

แจน แจน คุณนายไฮโซ แต่งหน้ามากิน MK ซะเด้ง เพื่อนดับกันไปหมด แต่มันขำมากเลยนะวันนั้น เล่าออกมาแต่ละเรื่อง ใครเค้าจะคิดมามาจากปากไฮโซอย่างมัน

อันนี้ USAID GANG ไปกินกันที่บุรีธารา แถวพระราม 3 โน่น ไกลม๊ากก แต่ก้อดั้นด้นไปจนไปถึงคนสุดท้าย อิอิ อาหารรสชาตก็งั้นๆแหละ สู้ MK ก็ไม่ได้ ดีที่ว่าบรรยากาศร้านดีมากมาก ลมเย็น ติดแม่น้ำด้วย เลยโอเค ให้อภัย
พอจะถึงวันกลับเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้จัดการเรื่องเรียน ก็เลยรีบตาหูเหลือก ไปหาคนที่เค้าทำข้อมูลสถิติ วุ่นวายเรื่องนี้ทั้งวันจนไม่ได้ทำฟันเลย เฮ้อออ กี่รอบแล้วเนี่ยที่ไม่ได้ทำ
เอาล่ะพอกลับมาถึงดูไบก็ได้พักเกือบสามวัน แล้วก็ทำไฟลท์ไป กทม.-ฮ่องกง อีก อย่าเพิ่งคิดว่าเราได้ไฟลท์ดีหรอกนะ ถึงเดือนนี้จะอยู่ top bid คือ เป็นกลุ่มอันดับแรกน่ะ โอกาสที่จะได้ไฟลท์ที่ขอไปสูงมาก แต่พระเจ้าค่ะ ไม่อยากเชื่อเลย ไม่ได้เลยซักกะไฟลท์ที่ขอไป ให้อะไรมาเหรอ ก็นี่ไง จาร์กาต้าแบบไปนอนค้างที่โน่น 2 วัน แล้วให้มาทำซากอะไรเหรอตั้งสองไฟลท์ ไม่เข้าใจ ถ้าเป็น กทม. จะไม่อ้าปากบ่นซักแอะ แต่ยังไงก็ยังถือว่าโชคดีเอาไฟลท์ไปอินโดอันแรกไปแลกเป็น กทม. มาแล้ว จะได้กลับไปขนของที่ทิ้งไว้ที่ กทม. อีกหลายอย่าง เนื่องจากก่อนกลับมาดูไบพยายามแล้วที่จะยัดของลงกระเป๋า แต่ว่ามันสุดความสามารถอ่ะ 
แต่ก่อนที่จะได้ไปทำไฟลท์ กทม. ก็เกิดโชคร้ายซะก่อน เสือกโง่ กะโหลกกะลาทำมือถือหายในรถแท๊กซี่ ตอนลงรถก็ว่ามองแล้วนะ แต่ไม่เห็นอะไรตกอยู่ พอรู้ตัวซึ่งก็ไม่เกิน 10 นาทีก็รีบโทรเข้าเครื่องตัวเองเลย กะว่าพี่คนขับจะใจดีเอากลับมาให้ จะได้หาค่าตอบแทนซัก 300-400 แฮ่ม ตั้งใจไว้อย่างนั้นจริงๆ เพราะว่ามันดีกว่าไปเสียเงินซื้อใหม่ตั้งเป็นหมื่น แต่ทว่าติดต่อไม่ได้ค่ะคุณ ปิดเครื่องหนีไปเลยซะงั้น แง๊ เค้าจะเอาเบอร์ที่อยู่ในเครื่องอ่ะ เอามา เอามา เครื่องนี้ก็เพิ่งซื้อมาใช้ไม่ทันจะสามเดือนเลย หลังจากที่เครื่องเก่าก็มาเสียที่ดูไบเนี่ยแหละ นี่คือซวยที่ 1
พอวันที่ทำไฟลท์ไป กทม. ทุกอย่างโอเคมากๆ ลูกเรือไทย 7 คน สบายสบาย แอบมีเสียวตอน briefing โดนถามคำถามเดี่ยว ดีนะดันตอบได้ รอดตัวไป Purserก้อคนไทย SFS ก้อคนไทย น่ารักกันมากๆ แต่พอวันต่อมาทำไฟลท์ไปฮ่องกง เหนื่อยโคตร คนไทยเกินครึ่ง แอบสังเกตว่ามีกลุ่มนึงประมาณเกือบร้อยคน เป็นพนักงานของหน่วยงานหนึ่งภาครัฐ เห็นแล้วก้อนึกในใจว่ารวยดีเน๊อะ เอาเงินพาเจ้าหน้าที่มาเที่ยวต่างประเทศ บริษัทเอกชนบางที่ยังพาไปแค่ต่างจังหวัดเองอ่ะ นั่นแหละ พวกลุงๆป้าก็ไม่พูดภาษาอังกฤษ ลำบากตรูอีก เสริฟ์ก็ยุ่งจะตาย ยังต้องมาเป็นล่ามให้ลูกเรือคนอื่นอีก หิวก็หิวแต่ไม่มีเวลาที่จะได้เอาอะไรเข้าปากเลยซักอย่าง โชคดีพี่ยุ้ย (SFS) พกลูกชิ้นทอด น้ำจิ้มรสแซ่บมาด้วย สามลูกเรือไทยก้อเลยจก จก เคี้ยวตุ้ยกันอยู่หลังเครื่องตอนเครื่องกำลังจะ landing ซักพัก พี่ปุ๊ (Purser) เดินมาแจม จกลูกชิ้นกินด้วย ฮ่าฮ่า ตอนเครื่องลงจอดอีนักบินมันเป็นบ้าไรไม่รู้ กระแทกกับรันเวย์อย่างแรงและอย่างดัง เครื่องในตับ ไต ไส้พุงนี่ลงมากองรวมกันหมด ตกใจโคตรรรร 
เสร็จไฟลท์นี้ก้อต้องไปแกร่วรอที่แอร์พอร์ตในฮ่องกงประมาณ 5 ชั่วโมงเพื่อทำไฟลท์กลับ กทม.เลย ทุกคนก็มุ่งตรงไปที่ Lounge กันเลย ไปถึงทุกคนตั้งใจกินกันมาก ไม่พูดไม่จา ตั้งจนหมด พนักงานเติมไม่ทัน ฮ่าฮ่า กินเสร็จก็ออกไปเดินย่อยดู Duty Free สนามบินเค้าดีมากๆ ใหญ่โต ของเพียบ สุวรรณภูมิเรานี่ง่อยไปเลย ตื่นตาติ่นใจมากๆ เพราะเคยมาฮ่องกงก็โน่นเมื่อ 9 ปีที่แล้วก่อนที่เค้าจะคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีนน่ะ (นานโคตรรร) แต่ครั้งนี้ไม่ได้แอ้มเงินอิชั้นหรอกนะคะ duty free เนื่องจากตอนที่ home leave กลับมาใช้เงินเกลี้ยง ใช้หนี้ใช้สินคืนพ่อคืนแม่หมดแล้ว เป็นไทแก่ตัว แต่ตอนนี้ก็เลยต้องมาเก็บเงินใหม่
เดินเล่นซักพักก็ได้เวลากลับไปที่เครื่อง ไปนอนเอาแรงซักสองชั่วโมง พอได้เวลา boarding ผู้โดยสารก้อโอเคผ่านไปได้ด้วยดี คนไทยเกินครึ่งลำแน่ๆ มากันแบบว่าเป็นครอบครัวสุขสันต์เลย คือครอบครัวนึงมีประมาณ 11 คนบ้าง 13 คนบ้าง คุยกันเจี๊ยวไปหมด พอทุกคนจัดแจงเก็บข้าวของ รัดเข็มขัด นั่งหลังตรง หน้าตึง ตาโต กันแล้ว เครื่องบินก็เริ่มเคลื่อนตัวไปตามรันเวย์ใช่มั๊ยคะ พอถึงจุดที่ต้องเร่งความเร็ว เพื่อจะได้take off เครื่องให้บินขึ้นนะคะ เร่งค่ะ เร่งแล้ว แล้ว แล้ว ครึก ครึก ฟิ้วววว เครื่องไม่ขึ้นค่ะ เครื่องยนต์หรืออะไรซักอย่างไม่ทำงานค่ะ แบบนี้เค้าเรียกว่า Reject Take-Off นี่เป็นซวยที่ 2 (เป็นเหตุการณ์ emergency แบบนึง ถ้าร้ายแรงนี่ต้องงัดประโยคเด็ดและท่าไม้ตายมาใช้กันแหละ Bend Down, Hold your Knee) แต่ทว่า ณ เวลานั้น มันแบบเหมือนเครื่องเร่งไม่ขึ้นน่ะ ไม่ได้คิดว่าเป็น emergency ไรเลย จนมาอีกวัน Purser มาบอกว่านี่มันเป็น Reject Take-Off นะจ๊ะหนูๆ อ้อ เหรอค่ะ อิอิ ม่ายรู้เลยนะเนี่ย
โอเค เข้าเรื่องต่อ ระหว่างที่ต้องรอให้ช่างมาซ่อมเครื่อง ก้อวุ่นวายนิดหน่อย ผู้โดยสารก้องงๆ ตกใจกันไปตามเรื่องแต่แล้วก็มีผู้โดยสารคนนึงมาสะกิดบอกให้ไปดูคนที่นั่งข้างๆหน่อย ร้องไห้มาตั้งแต่ตอนเครื่องออกแล้ว ไอ้เราก็นึกว่าคงกลัวมั๊งที่เครื่องมีปัญหาเลยเข้าไปคุย พอคุยไป เอ!!! มันเป็นเอามาก
"นี่ผมอยู่ที่ไหน" "ผมอยากกลับบ้าน" "ไม่มีใครรักผม" "ผมจะลง" "อย่ามองหน้าผม" "ผมไม่มีใคร"
เราก็ได้แต่อึ้งและงง ว่ามันเป็นบ้าป่าวหว่า เลยไปเรียก SFS มาดู ดูไปดูมา Purser มาเองเลย แล้วสุดท้ายก็จะให้เค้าลง แล้วถ้ามีผู้โดยสารลงจากเครื่องก็ต้องทำ ID Baggage ใช่ป่ะว่ากระเป๋าแต่ละใบมีเจ้าของอยู่บนเครื่องนี้ ไม่มีหลงเหลือ เล็ดลอด ผิดแผกออกมา เอาแล้วผู้โดยสารแม่งก็เริ่มบ้าแล้ว ทำไมต้องทำ มีอะไร แล้วไอ้หนุ่มคนนั้นที่ร้องไห้เป็นอะไร เครื่องทำไมยังซ่อมไม่เสร็จ กระเป๋าซุกซ่อนอะไร @&*?!!$#?? เอ่อ ท่านๆคะ ช่วยอย่าตระหนกกันมากได้มั๊ยคะ คือว่าหนูก็เริ่มกลัวเหมือนกันนะคะที่เครื่องมันมีปัญหา แล้วก็อยากกลับไป กทม. เร็วๆด้วย อย่ามาถามมากได้มั๊ย เหนื่อยนะ (โว๊ย) 
แล้วปัญหาที่มันยืดเยื้อเนี่ยมันไม่ได้เกิดจากที่เครื่องมีปัญหาแล้ว คือเครื่องนี่ซ่อมเสร็จตั้งแต่ 40 นาทีแรกแล้ว แต่ที่เหลือนี่เป็นปัญหาเรื่องคนนี่แหละ กว่าจะหากระเป๋าของพ่อหนุ่มนั่นได้ก็ต้องใช้เวลาหน่อย อีท่านผู้โดยสารก็แม่งไม่รู้จักฟังประกาศจากกัปตัน ขนาดแปลให้ฟังแล้วยังไม่ฟังอีก แล้วที่เกิดเรื่องบานปลายต่อไปอีกก็คือ พ่อหนุ่มน้อยไม่ยอมขยับตัว บอกให้เดินออกทางประตูข้างหลังก็ไม่ไป จะแกะมือพี่ท่านออกแล้วประคองเดินไปด้วยกัน มันก็เกร็งมือ เกร็งตัว ฝืนเอาไว้ ที่นี้เลยต้องขอความช่วยเหลือจาก ground staff ที่เป็นผู้ชายให้ช่วยกันยกและลากพ่อหนุ่มนี่ไป (เนื่องจากไฟลท์ที่เราทำมีลูกเรือที่เป็นผู้ชายคนเดียว คือ SFS จึงต้องให้ ground staff มาช่วย) แต่ตอนที่จะย้ายเค้าออกทางประตู มันก็คงดูไม่ดีนักถ้าจะให้ผู้ดดยสารมาเห็นสภาพแบบนี้ ก็เลยจัดแจงเอาผ้าห่มมาปิดตรงครัวด้านหลังเอาไว้ ฮะฮะ แหม รู้จักพี่ไทยของเราน้อยไปซะแล้ว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ที่นี้แหละ ลุกขึ้นกันเกือบทั้งเคบิน ชะโงก ชะเง้อกันสุดฤทธิ์ แล้วยังไงต่อ พี่พี่จากครอบครัวสุขสันตืก็มาข้างหลังเลย
ผู้โดยสาร: "นี่พวกคุณทำอะไรกัน เครื่องเสียอะไรทำไมมันนานขนาดนี้ ไม่เอาแล้วผมจะลง ผมไห้ครอบครัวผมมาเสี่ยงหรอก
แอร์: เอ่อ คุณค่ะ ปัญหาเครื่องยนต์นี่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยนานแล้วนะคะ กัปตันก็ประกาศแจ้งไปแล้ว แต่ที่ช้าเพราะว่ามีปัญหาที่ผู้โดยสารท่านนึงเกิดมีอาการป่วย เลยต้องลงจากเครื่อง เลยต้องใช้เวลาในการหากระเป๋าน่ะค่ะ
ผู้โดยสาร: ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณพูดจริง เดี๋ยวก็เครื่องเสีย เดี๋ยวก็ค้นกระเป๋า ผมจะลง
แอร์: (เซ็งโคตรแล้ว) เอ่อ ไม่ได้โกหกนะคะ เนี่ยค่ะตอนนี้ก็พร้อมจะออกเดินทางได้แล้วนะคะ
แต่พี่ท่านก็ไม่ยอมแล้ว จะลง จะลง คือ Purser ก็ไม่รู้จะอธิบายกะท่านๆยังไงแล้ว เอ้า มึงอยากลงก็ลงไปเลย คือในใจเราก็คิดนะว่าแม่ง กัปตันเค้ารู้หรอกน่ะว่าเครื่องมันจะบินได้หรือไม่ได้ เค้าคงไม่เอาตัวเองไปตายหรอก แต่ก็ได้แต่คิด ไม่ได้พูดออกไป เดี๋ยวมีโดนลูกค้าด่ากันบ้างล่ะ สรุปผู้โดยสารก็ offload ตัวเองลงไปสามสิบกว่าชีวิต แล้วกว่าจะหากระเป๋าของท่านๆเจอครบ เฮ้อ ไฟลท์นี้ดีเลย์สามชั่วโมง เวลาที่อยู่ กรุงเทพแค่ 24 ชั่วโมงก็น้อยลงไปอีก แมร่งงงง
มีเรื่องขำระหว่างที่เกิดเหคุการณ์บนเครื่อง ลุงท่านนึงมากับครอบครัวประมาณ 7-8 คน เดินมาคุยกะเราว่าเนี่ยดีแล้วนะที่เครื่องมีปัญหาตอนยังอยู่บนพื้น ดีกว่าไปเกิดอะไรขึ้นข้างบน ดีแล้วล่ะ แล้วแกก็เดินไปเดินมาขอโน่นนี่กิน แบบว่าไม่ดูวิตกกังวลอะไรเลยนะ มาคุยเล่นกะเราเป็นระยะ แต่พอไปๆมาๆ ตอนเครื่องเตรียมจะออกรอบหลัง อ้าว ลุง ไง offload ตัวเองลงไปแล้วล่ะ ไหนลุงว่าลุงเข้าใจไม่ใช่เหรอ 
กว่าจะกลับมาถึงสนามบินก็โน่นตีสามกว่าๆ กลับถึงโรงแรมตีสี่ เซ็ง แพลนที่วางไว้ก็โดนตัดออกเลยเพราะกว่าจะตื่นวันรุ่งขึ้นโน่น เที่ยงเลยล่ะ ก็ไปหาหม่าม้าที่บ้านกินข้าว แล้วก็ขนของที่จะเอาไปให้พี่เอ๋ที่เมลเบิร์นกลับมา หนักมากค่ะคุณแม่ เห็นหนูเป็น FedEx หรือไง กลับมาโรงแรมประมาณหนึ่งทุ่ม ยี้มาเอาของที่พี่ชายฝากกลับมา จิ๋งกะตุ้ยมาหาว่าจะออกไปกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่กว่าจะมาถึง ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ไหนกว่าจะเดินไปถึงร้าน กว่าจะกินกันเสร็จ เราต้องรีบมาอาบน้ำแต่งตัว pick-up time ตอนห้าทุ่ม เลยกลับมาโรงแรม แล้วให้อั๋นซื้อข้าวมาให้กินที่ห้อง (งง งงอ่ะดิ บล็อคก่อนยังว่ามีเรื่องเฮิร์ทเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อยู่เลย ไฉนเลยเค้ากลับมาในชีวิตอีกแล้ว เอาเป็นว่า ตอนนี้โอเคในระดับนึงแล้ว ขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆทุกคนนะจ๊ะ ที่มาเป็นกำลังใจให้ ตอนนี้เราแกร่งขึ้นมากแล้วล่ะ )
ไฟลท์กลับจาก กทม. มาดูไบก็ไม่มีไรมากแต่เหนื่อยหน่อยเพราะลูกเรือคนนึงเกิดป่วย ต้องเป็น deadhead กลับ คือไม่ต้องทำงานน่ะ นั่งเครื่องกลับมาเหมือนผู้โดยสาร แล้วไงคะ นังโอ๋ก็ซ่าส์ ก๋ากั่น อาสาทำ galley ซะงั้น ทำแล้วต้องออกไปเสิร์ฟด้วยนะ เพราะลูกเรือไม่พอ แล้วเป็นไง มึนสิ อะไร ตรงไหน ยังไง เบลอเลย แต่ก็โอเคแหละผ่านมาได้แบบเลือดออกซิบๆ แต่พอทำเซอร์วิสเสร็จก็ไม่มีไรแล้ว เพราะเป็นไฟลท์ดึก เลยหลับกันเกือบหมด ลูกเรือก็จะหลับเหมือนกัน อี SFSที่เป็นผู้ชายคนเดียวมันก็นั่งเล่าแต่เรื่องทะลึ่ง เลบานอนอีกแล้ว มันก็ขำๆดีแหละ อยู่ดีดีก็ถามเราว่าทำงานมากี่เดือน พอเราบอกสามเดือนก็ถามว่าเคยเป็นลูกเรือเก่ามาก่อนป่าว เราว่าป่าว มันเลยว่าเดี๋ยวจะเขียน appraisal ให้แต่ว่าขอถามคำถามก่อนเกี่ยวกับ skywards ก่อน ผลปรากฎตอบผิดค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่พี่ท่านก็ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นจะเขียนให้เธอแบบนี้แบบนี้นะ อย่าลืมเข้าไปเชคในระบบนะ ตอนนี้จะครบอาทิตย์แล้วมันยังไม่ขึ้นมาในระบบเลย หลอกให้คนแก่ดีใจอีกแระ 

เหล่าชาว economy สัปหงกกันไปหลายรอบ แต่พอตั้งกล้องนี่โพสกันสุดฤทธิ์

เพื่อนสาวชาวเกาหลี เพิ่งมา กทม. ครั้งแรก หมดตัวซะ ดูหน้าหล่อนสิ ใสกิ๊ก เชื่อป่ะว่าอายุ 30 หน้าเด็กกว่าเราอีกอ่ะ 
วันนี้เขียนยาวแหะ ก่อนไปขอบ่นนิดนึง เนื่องจากเมื่อวานเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่สนามบินดูไบ ทำให้ต้องปิดสนามบินไปหลายชั่วโมง ไฟลท์รวนไปหมด ทั้งดีเลย์ แคนเซิลกันระนาว เครื่องบินลงจอดไม่ได้แล้วก็เอาเครื่องขึ้นไม่ได้ เพราะมีเครื่องเจ้าปัญหาจอดขวางไว้ ลูกเรือนี่ไฟลท์เปลี่ยนกันไปหมด ไอ้เราพอดีเมื่อวานเป็นวันหยุด คิดว่าคงไม่โดนอะไร มีไฟลท์บินวันนี้เช้า พอไปถึงที่ crew briefing มันดันบอกว่า อีนี่ไฟลท์นี้แคนเซิลนะยู ไปโน่นเลยนะ airport stanby สี่ชั่วโมง นี่ซวยที่ 3 อารายกันคะ แล้วเสื้อผ้าก็เอามาแต่แบบว่าเสื้อหนาว แขนยาว ขายาว ไม่ได้นะ ไม่ได้ แต่ก็ต้องนั่งง่วงนั่งหาวอยู่มันตรงนั้น โชคดีไม่โดนเรียก อิอิ แต่กลับมาเชคตารางบิน วันรุ่งขึ้นโดนสแตนด์บายหกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น เฮ้อออ
เป็นไง เวลาแค่อาทิตย์เดียวซวยซ้ำซวยซากอยู่ได้ นี่ไม่รวมเรื่องสาหัสเดือนก่อน แล้วไหนจะเดือนหน้าต้องกลับไปสอบจบเรื่องเรียนอีก เอากันให้ตายไปข้างเลย ยิ่งคิดยิ่งเครียด ไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นมาสแตนด์บาย
Create Date : 12 มีนาคม 2550 |
Last Update : 14 มีนาคม 2550 1:14:17 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1134 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: white fox (ลยา ) วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:10:51:20 น. |
|
|
|
โดย: ปิ๋ว IP: 61.90.220.78 วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:42:29 น. |
|
|
|
โดย: Koy^_^ (Suri.S ) วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:22:46:55 น. |
|
|
|
โดย: Dezy69 วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:0:58:34 น. |
|
|
|
|
|
|
|