Group Blog
 
 
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
24 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
A Fighter’s Blues ฉบับตุ๊กตาหมีอังกฤษ

หลังจากเรียนมาทั้งวันแล้ว ตอนกลางคืนเวลาข้าพเจ้าอยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำ (จริงๆแล้วมีการบ้าน แต่ว่าเด๋วค่อยทำนิคะ) ก็ส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาหมดไปกับการดูหนัง ฟังเพลง อ่านนิยาย

วันนี้ข้าพเจ้าดูหนังเรื่อง "A Fighter’s Blues" ชื่อเป็นภาษาไทยว่า "หัวใจข้า หัวใจนาง หัวใจหลอมเพชร" (ชื่อแปลเป็นไทย แล้วกลายเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า...) ดารานำแสดง คือ หลิวเต๋วหัว กับทราย เจริญปุระ

เรื่องราวของนักชกชาวฮ่องกงที่มาหลงรักสาวไทย แล้วก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ว่าพี่หลิวยังไม่ทันได้รู้ว่าตัวเองมีลูก ก็ดันไปติดคุกด้วยข้อหาฆ่าคนเสียก่อน เวลาผ่านไปสิบกว่าปี พี่หลิวออกมาจากคุกแล้วก็มาเจอกับลูกที่เมืองไทย ครั้งสุดท้ายก่อนเข้าคุก พี่หลิวไม่ได้ชกอย่างเต็มที่
เพราะว่ารับเงินเขามาก็ต้องล้มมวย คราวนี้เฮียแกก็เลยขอขึ้นสังเวียนแก้ตัวอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะขัดใจไปตลอดชีวิต

อันนี้ก็คงเป็นเรื่อง Blue Blue ของพี่หลิว ข้าพเจ้าดูแล้วก็แอบน้ำตาซึมนิดหน่อย เรื่องราวก็เป็นความรักสไตล์หลิวๆ ถ้าใครได้ดูหนังที่หลิวเต๋วหัวเล่นบ่อยๆก็จะรู้ว่าเป็นแนวไหน ประมาณเดียวกับเรื่องผู้หญิงข้าฯใครอย่าแตะ ราวๆนั้นเลย

เมื่อดูเรื่องนี้ก็ทำให้นึกได้ว่า จริงๆแล้ว ข้าพเจ้าก็เป็นคนที่รักกีฬาต่อสู้ พ่อข้าพเจ้าก็สนับสนุนดีอยู่ ทำให้มีโอกาสได้โดดหอ ยิงปืน เล่นเทควันโด (ที่ยังทำพิษมาจนถึงทุกวันนี้)

เมื่อพูดถึงมวยไทย ข้าพเจ้าไม่ได้สันทัดอะไรเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ว่าก็ภูมิใจเป็นอย่างมากที่มวยไทยเป็นหนึ่งไม่แพ้ชาติใดในโลก ตั้งแต่สมัยยุคนายขนมต้มที่เอาชนะนักมวยพม่าได้นับสิบคนในคราวเดียว) จนมาถึงสมรักษ์ คำสิงห์ แต่ว่าถ้าเป็นตอนนี้ก็ต้องพูดถึง จาพนม ออกจะดังในฝรั่งเศส

ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าเคยเชียร์มวยแบบจริงๆจังๆครั้งเดียวเท่านั้น ไม่รวมตอนที่มวยไทยขึ้นชกโอลิมปิก อันนั้นเขาก็เชียร์กันทั้งประเทศ แต่ว่ามวยที่พูดถึงนี้ ข้าพเจ้าเคยเชียร์ตอน ม.๑ แบบว่าเหตุการณ์มันนานมามากแล้วแต่ก็ยังประทับใจอยู่ เพราะว่ารู้สึกว่าตื่นเต้นดี

เมื่อตอน ม.๑ ข้าพเจ้าเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา (บฉ.) ขอกราบขอบพระคุณโรงเรียน และครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่สอนสั่งข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากไม่มีท่านเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ (เป็นยังไงเหรอ... สวย??.. มะช่าย)

เมื่อมีงานกีฬาสี (ก็อยากจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์อยู่หรอกค่ะ แต่ว่าพอดีไม่สวยอ่ะ เลยไม่มีคนเลือกให้เป็น วันๆมัวแต่ทำตัวเป็นยายแว่นตัดผมสั้นเท่าติ่งหู ผมยาวเกินออกมาซักมิลนึงก็ไม่ได้ต้องรีบไปตัด เดินถือกระเป๋าใบเท่าตู้กับข้าวมาเรียนหนังสือ ขนาดตอนอยู่ที่เตรียมอุดมก็ยังไม่ได้พัฒนาสักจากเดิมเท่าไหร่อ่ะนะ...)

ทีนี้ที่ ร.ร.ก็มีการแข่งกีฬาหลายประเภท แต่กีฬาชกมวยนี่คงไม่ได้จัดกันทุกโรงเรียน อาจจะเป็นเพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้เรียนโรงเรียนในกรุง ก็เลยมีมวยให้ชกกัน แบบว่าถ้าจะตีกันก็มาตีกันอย่างเป็นทางการบนเวที ใช้กติกามวยสากลนั่นแหละค่ะ ให้นักเรียนชกมวยสมัครเล่น ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่ง เผื่อว่าเด็กจะได้ค้นหาตัวเองเจอ

เด็กกรุงเทพกับเด็กต่างจังหวัดอาจจะต่างกันอยู่ตรงที่ว่า เด็ก ตจว.เมื่อเรียนจบแล้วก็ต้องหางานทำ เลยเรียนสายอาชีพกันซะเยอะ บางคนไม่ได้มีโอกาสได้เรียนสูงๆ ส่วนคนที่มีโอกาสได้เรียนสูงๆก็หวังว่าจะตั้งใจเรียน กลับไปทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติของเรานะคะ (อันนี้บอกตัวเอง... มิกล้าบอกคนอื่นหรอกค่า...)

พอดีว่า ( “พอดีว่า”...ฮะๆ...) ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นนักมวย วันนั้นเขาไปชก ข้าพเจ้าก็ไปลุ้นอยู่ข้างสนาม ไม่น่าเชื่อว่า เวลาเราเชียร์อะไรซักอย่างๆตั้งใจมันจะลุ้นอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นตึ้กๆตึ้กๆตลอดเวลา แต่คงไม่ถึงกับขนาดว่า เฮียโดนชกที ข้าพเจ้าสะดุ้งทีหรอกนะคะ แต่ว่าก็คอยให้กำลังใจอยู่ จริงๆแล้วคือ ถ้ามันแพ้ เพื่อนคนอื่นอาจจะมาด่าเราได้ ฐานที่ให้มันไปพนันข้างนี้เอาไว้

ตอนนี้ไม่รู้ว่า “เพื่อนนักมวย” ของข้าพเจ้าคนนี้เรียนต่อที่ไหนแล้ว ไม่ได้ตามข่าวเลย รู้แต่ว่า หลังจากแขวนนวมแล้วก็ไปเป็นนักบาสฯสมัครเล่นต่อ จะว่าไปแล้ว สาวๆที่ไหนก็คงชอบหนุ่มๆที่เรียนเก่ง รูปหล่อ เล่นดนตรีได้ เล่นกีฬาได้... เท่ซะไม่มี เอาไว้กรี๊ดไร้สาระเล่นๆงั้นแล... สรุปแล้วว่าคราวนั้น เขาก็ชนะแหละค่ะ

ต่อมาก็ ม.๒ มั้งคะ คิดว่าจำไม่ผิด ตอนนั้นงานกีฬาสีเหมือนกัน คราวนี้ข้าพเจ้าไปเชียร์ฟุตบอลแทน “เพื่อน”ของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งเล่นเป็นผู้รักษาประตู คราวนั้นไอ้เราก็อุตส่าห์ไปเชียร์ มันก็รักษาประตูซะอย่างดี โดนไปเจ็ดประตูต่อสอง ให้ตายสิโรบิน... เลิกพูดกะมันไปสามวันเลย ฮะๆ...

พอถึง ม.๓ ก็ไม่ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬาที่น่าตื่นเต้นซักเท่าไหร่ ข้าพเจ้าธุรกิจรัดตัว เพราะว่าเป็นตัวเเทนโรงเรียนไปแข่งบ่อยๆ (โดดเรียนนั่นเอง) แล้วก็ต้องเตรียมตัวสอบทุน แล้วก็สอบเข้า ม.๔ ด้วย ( สอบทุนกระทรวงต่างประเทศ ติดข้อเขียนเข้าไปแล้ว แต่ว่าไม่ผ่านสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เสียใจอะไร ดีใจกับคนที่ได้มาด้วย ตอนนั้นรู้เพียงแต่ว่าเรายังไม่พร้อม ต้องฝึกฝนตัวเองมากกว่านี้)

ข้าพเจ้าเรียน ม.ปลาย ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ทุกปี นอกจากกีฬาสีภายในแล้ว ก็จะมีกีฬาระหว่างสองเตรียมฯ คือ โรงเรียนเตรียมอุดมกับโรงเรียนเตรียมทหาร (สองสถาบันนี้เป็นหนึ่งในตำนานรักโรแมนติกของหลายๆคน เช่น พ่อกับแม่ของข้าพเจ้าเป็นต้น...) ปี ม.๔ กีฬา ตอ.- ตท. มาจัดที่โรงเรียนเตรียมอุดม ( ตอ.กะ ตท.จะสลับกันเป็นเจ้าภาพในแต่ละปี ตอนนี้ ตท.หนีไปอยู่ซะไกลเชียว จะไปจะมาลำบากนู๋เชียว... ฮะๆ)

ก็เป็นประเพณีที่แต่ละโรงเรียนต้องมีโชว์ สาวเตรียมอุดมจะมีแต่งามๆทั้งนั้น หนุ่มเตรียมทหารในเครื่องแบบก็หล่อใช่ย่อย (ส่วนพวกไม่สวยอย่างข้าพเจ้าก็ต้องไปหลบอยู่ในมุม ต้องเข้าใจว่าเด็กเตรียมสวยๆทั้งนั้นอ่ะ...ไม่ไหวเรย... ตูละเศร้า ถึงว่า อยู่เตรียมทำไม๊ทำไม ไม่มีใครมาจีบซักกะคน) ทุกครั้ง นร.ตท. ต้องมีการโชว์กระบี่ ประกอบเพลง งดงามๆ... อยากดูอีกแระค่ะ

ม.๕ ชีวิตผ่านไปวันๆด้วยการเรียนๆๆ และเรียนพิเศษ ทำกิจกรรมให้โรงเรียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานวิชาการ แต่งกลอน ตอบปัญหาไปตามเรื่อง พอ ม.๖ ก็ต้องตั้งใจท่องตำรา เพื่อเอนทรานส์ เหมือนกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน (ดีใจกับน้องใหม่ปีนี้ทุกคนๆด้วยนะคะ รวมทั้งน้องสาวที่น่ารักของข้าพเจ้าด้วย สาวน้อยเฟรชชี่ นิติ.มธ.นิ...)

หลังการสอบเอนท์ สอบทุนเสร็จ รู้ว่าตัวเองจะได้มาศึกษาวิชานิติศาสตร์ต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ด้วยความอยากของข้าพเจ้า ก็ไปเรียนเทควันโดที่โรงยิมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ตอนนั้นนัก ไม่อยากจะโม้ว่าไอ้ที่กล้ามเนื้อหัวเข่าฉีกนี่เพราะท่าประทับใจท่านี้เลย Flying Side Kick วิ่งๆแล้วก็กระโดดสองขากลางอากาศแล้วเตะ

ปกติก็ทำได้แล แต่วันนั้นตื่นเต้นที่ท่านแม่มาดูการซ้อม เลยโดดไปแล้วไม่เอาเท้าลง เอาหัวเข่าลงมาคุยกับพื้นแทน เท่านั้นแหละก็ไปเข้าเฝือกซะ วันสุดท้ายที่กลับไปลาอาจารย์ที่โรงยิม ยังมีน้องมาทัก นึกว่าพี่สาวคนนี้ต้องเก่งแน่ๆเรย ไปสู้ก๊ะใครมาถึงได้บาดเจ็บ... เปล่าเรยนู๋ ป้าล้มเอง...

นี่ก็คงเป็นเรื่อง A Fighter’s Blues ฉบับของข้าพเจ้า เพราะว่าไอ้เข้าหัวเข่าข้างที่ว่านี้ มันเข้าไปนอนในเฝือกมาได้สามหนแล้ว ไม่นับไอ้ที่เจ็บเล็กๆน้อยๆซึ่งก็เป็นมาตลอด ครั้งแรกเพราะการเล่นเทฯ ครั้งที่สองยังล้มเพราะเล่นโรลเลอร์เบลด

มาครั้งที่สามเมื่อปีที่ผ่านมา เพราะเล่นแชร์บอล... เอาเข้าไป...เหอๆ งานประทับใจเลย ประชุม นร.ทุนฝรั่งเศสที่เมืองตูลูส ส่วนไอ้อีกขานึงก็พึ่งไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะว่าข้อเท้ามันจะแพลง

อันนี้จุดเริ่มต้นก็เพราะเทควันโดเช่นกัน (ปล. ข้าพเจ้าไปเล่นเท เพราะว่าใจรักด้วยแระ ไม่ได้ไปเล่นเฉพาะมีคดีกับครูฝึกเทฯอย่างเดียว จุ๊ๆ... น้องสาวน้องชายที่บ้านก็เรียนกัน แถมน้องๆได้สายดำ เก่งจนขนาดเป็นครูฝึกสอนแล้วด้วยน้า) ( แต่ว่าไอ้ “จุ๊ๆ” ทีไร เป็นรู้กันหมดทุกที ซุบซิบๆ นี่ก็เลยเอามาเล่าซะเลย จะได้ไม่เป็นแค่ข่าวลือนิ)

ตอนนี้ข้าพเจ้ามาเรียนซัมเมอร์อยู่ที่ประเทศสหราชอาณาจักร แถวบ้านเรียนกันว่า ปท.อังกฤษ ไอ้ถนนที่เมืองบริสทอลนี่มันก็ไม่ค่อยจะเรียบเท่าไหร่ แล้วข้าพเจ้าก็เดินมากด้วย คอยจะปวดเมื่อยขาเข่าอยู่เสมอ (พูดเหมือนคนแก่เปี๊ยบ ชาติที่แล้วคงไปทำบาปไว้เยอะ เลยต้องมาชดใช้ชาตินี้) จริงๆแล้วคือไม่อยากจ่ายค่ารถเมล์ แพงมาก... ไม่ว่าอะไรๆก็แพง ทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าดูหนัง ... แต่ว่าคนมันมีความสุข สำนวนที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” เป็นเช่นไร ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแล

Summer 2005


Create Date : 24 มีนาคม 2549
Last Update : 24 มีนาคม 2549 18:13:44 น. 1 comments
Counter : 775 Pageviews.

 
อ้าว
นี่น้องเตรียมฯเหรอ?
พี่ ป้า ยาย รุ่น 33 เพิ่งไปกินกันมาเมื่อคืน เค้ากินกันมา 34ปีแร๊ว เราเพิ่งเข้าก๊วน จะขำตายเพราะจำได้ว่าปี 1 อยู่ 406 ห้อง ควีน ปี 2 จำม่ายล่าย I guess I was having such a good time i didn't remember where I was!!! นั่นคือ excuse

ตกลงเรียนมธ อ๊ะป่าว ยายรุ่น 15จ๊า รุ่นดรใวรพจน์ ศาลปกครองชั้นสูงเนี่ย ไม่รู้จะสูงอะไรตัวแม่รงก้อเตี้ยๆ แม่กแค่กๆ แต่เป็นคนโคตะระนิสัยดี และตรง ตรงแน๊วเลย

เราก้อเคยไปเที่ยว Bristol มันสวยแบเก่าๆ ดีนะ อืมเคยไปพักที่บ้านของ parish อายจังจำชื่อไม่ได้ มันนานมากแล้ว มี adventure ด้วยเพราะเจอ ไออาร์เอ attack ครั้งนึงที่นั่น ครั้งแรกๆ ด้วย

เออก้อแปลว่าเราก้อเดินทางเส้นเดียวๆ กันหากแต่ต่างวาระ ต่างบรรยากาศ

ฝรั่งเศส ใกล้บ้านเมื่อสมัยอยู่สวิส ภาษาฝั่งเสดไม่กะดิกเกิน กันตาย ค่ะ

แต่ก่อนตอนเด็กๆ ข้ามไปจากอังกฤษไปเยี่ยมญาติ เพื่อนฝูง บ่อย

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

ขอบคุณที่ชม...บล๊อกตะเองก้อใช่ย่ยอซะที่ไหน เขียนกลอนก้อ ใช่ย่อย
ว่างๆมาเล่นๆ ที่ Tinglish blog บ้าง เอามัน เอาฮาไว้ก่อน สนุกๆ หาเรื่องกัดกันเล่น แรงมั่งเบามั่ง แล้วก่อ ด่าๆกันไปให้คลายเครียด ว่างๆ ก้อนัดเจอกันนอกจอ ไปดูหน้า ดูตัวเป็นๆ ว่าปากคอแบบนี้หน้ามานเปงงัย โชคดีนะ มานน่ารักทุกคนเลย แต่มานต้องกวน กวนให้ปวดกะบานเร่นเซี๊ยะงั้น

กลับมาเมืองไทยมะหร่ายบอกด้วย จะได้ไปกินกัน เพื่อนๆ อย่างหมี ชิด นา ตุ้ง คุด ฯลฯ น่ารักทุกคนเลย คบไว้ไม่เสียหาย แต่ปวดหมอง

ดูแลตัวเองนะจ๊ะ Eat well. Dress warm when you go out.

Forgot to tell you . My daughter is in Kent. Would you like her phone number? In case you'd like someone to speak thai to. Her Thai is passable abut she knows al lotof swear words.


โดย: Tinglish วันที่: 18 เมษายน 2549 เวลา:7:53:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mocha Macchiato
Location :
Lyon France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mocha Macchiato's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.