|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เศรษฐศาสตร์การเมืองกับเบื้องหลังความจนและคนจนในสังคมไทย
ในระบบทุนนิยมนั้นถือว่าปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลนายทุนเป็นเจ้าของโรงงาน การที่เขาเป็นเจ้าของโรงงานก็อ้างสิทธิที่จะกดขี่ขูดรีดแรงงาน เพราะฉะนั้นถ้าหากเปลี่ยนเป็นสังคมนิยมสิ่งเหล่านี้ก็จะถูกนำเอามาเป็นของรัฐ นายทุนจึงกลัวการเปลี่ยนแปลง 17 กันยายน 2550 เรื่องโดย : อรรถพงษ์ ศักดิ์สงวนมนูญ ... เรียบเรียง
หมายเหตุ : รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวปาฐกถาเรื่อง เศรษฐศาสตร์การเมืองกับเบื้องหลังความจนและคนจนในสังคมไทย ในเวทีสรุปบทเรียนนักพัฒนารุ่นใหม่ภาคเหนือ ณ ศูนย์สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ วันที่ 6 ก.ย.2550
.................................................................
ความจน การเมือง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
กรอบคิดของความยากจนโดยใช้กรอบคิดของเศรษฐศาสตร์การเมืองก็สามารถที่จะวิเคราะห์ความยากจนที่เป็นปัญหามาจากนโยบายของรัฐได้ เราจำเป็นที่จะต้องมีทฤษฎีที่เป็นเสาหลักเพื่อที่สามารถจะนำมาเป็นกรอบในการคิด แต่ทฤษฎีนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมีลักษณะตายตัวก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าปัญหาความจนนั้นเป็นเรื่องของการเมืองและในท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์เชิงอำนาจด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงเรื่องความจน ซึ่งแต่ก่อนนั้นประชาชนในสังคมไทยไม่จน ชาวบ้านอยู่กันอย่างเป็นธรรมชาติที่ดินก็ยังมีอยู่โดยไม่ถูกแปลงให้เป็นเอกสารสิทธิ เพราะเมื่อมีการออกเอกสารสิทธิให้กับที่ดินก็ทำให้มันมีลักษณะที่กลายเป็นสินค้า ในเชิงทฤษฎีเมื่อมีการออกเอกสารสิทธิก็หมายความว่าที่ดินกลายเป็นสินค้าโดยที่สามารถเปลี่ยนมือได้
เมื่อเราพูดถึงชุมชนที่อยู่ในชนบทเมื่ออดีตที่ผ่านมาเงินนั้นไม่ใช่ตัวหลัก ความแตกต่างระหว่างชนบทเมื่อก่อนนั้นมีน้อย เพราะในอดีตสังคมไทยจะประกอบด้วยชาวนารายย่อย แต่ชาวนาที่กระจายอยู่ในชนบทก็จะอยู่ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจอีกแบบหนึ่งก็คือระบบศักดินาที่มาจากสถาบัน ขุนนางก็ปกครองชนบทโดยการเก็บค่าเช่าใช้ระบบอุปถัมภ์แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ถูกการแทรกแซงโดยระบบเศรษฐกิจเงินตรา พอมีระบบเศรษฐกิจเงินตราเข้าไปความสัมพันธ์นั้นก็เปลี่ยนไป และในปัจจุบันก็เข้าสู่ในยุคของทุนนิยม
ในปัจจุบันนี้คำว่าจนนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันไม่ได้เกิดขึ้นในแนวคิดของคนไทยเพราะว่าส่วนใหญ่ชาวบ้านก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกันทรัพยากรยังไม่ได้ถูกทำลายคนที่อยู่ในชนบทก็สามารถที่จะพึ่งพาอาศัยป่าได้ในการเก็บของป่า คำว่าจนนั้นถูกคิดโดยนักเศรษฐศาสตร์ และต้องมาพิจารณาว่าคำว่าจนนั้นเกิดขึ้นในบริบทใด
ปฐมบทแห่งความจน เริ่มต้นจากแผนพัฒนาประเทศ
คำว่าจนนั้นมาพร้อม ๆ กับทฤษฎีการพัฒนาประเทศ ในช่วงเวลานั้นโลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วคือสังคมนิยม กับทุนนิยมนั่นก็คือในช่วงเวลาของสงครามเย็นซึ่งเกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจัยอันหนึ่งก็คือว่านักคิดตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากลัวว่าความจนนั้นจะเป็นเงื่อนไขให้คนจนกลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศทุนนิยมที่มีความเจริญแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ประเทศที่เป็นสังคมนิยมก็คือประเทศที่มีคนจนมากอย่างเช่นรัสเซียที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเลนิน จีนก็เปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสต์แต่จนในระบบศักดินาที่เป็นเจ้าที่ดินขนาดใหญ่ภายใต้การนำของเหมา เวียดนามก็กลายไปเป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของโฮจิมินต์ ลาวก็เปลี่ยน
ทุนนิยมโดยนักเศรษฐศาสตร์ อัศวินผู้รักษาความจน
เพราะฉะนั้นประเทศตะวันตกซึ่งกลัวคอมมิวนิสต์เพราะว่าตะวันตกเป็นทุนนิยมถ้าหากเขาเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ก็หมายความว่า พวกนายทุนจะต้องถูกยึดปัจจัยการผลิตไปทั้งหมด ในระบบทุนนิยมนั้นถือว่าปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลนายทุนเป็นเจ้าของโรงงาน และการที่เขาเป็นเจ้าของโรงงานเขาก็อ้างสิทธิในการที่จะกดขี่ขูดรีดแรงงาน เพราะฉะนั้นถ้าหากเปลี่ยนเป็นสังคมนิยมสิ่งเหล่านี้ก็จะถูกนำเอามาเป็นของรัฐหมด นายทุนจึงกลัว สิ่งที่ทุนมองอันดับแรกก็คือความจนแล้วโยงกับการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เลยมองความจนในมิติเดียวในมุมมองแบบนักเศรษฐศาสตร์ก็คือจนรายได้
แล้วทำไมถึงจนรายได้ จึงมีการโยงไปว่าที่ภาคการเกษตรล้าหลังนั้นเพราะเหตุใด เพราะมีเทคนิคการผลิตที่ล้าหลัง ไม่ทันสมัยไม่มีประสิทธิภาพ ผลิตภาพแรงงานต่ำรายได้ต่ำแล้วก็จนที่เขาบอกว่ามันเป็นวงจรของความชั่วร้ายเพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้คนหลุดออกจากความยากจนคำตอบก็คือต้องยกระดับรายได้ให้สูงขึ้น เพราะฉะนั้นจึงนำรายได้ต่อหัวมาเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง จะเห็นว่าเขาเอาเกณฑ์รายได้มาจับซึ่งมีลักษณะเป็นมิติเดียวแล้วก็เป็นมิติเศรษฐศาสตร์ด้วย เพราะฉะนั้นที่มองว่ารายได้ต่อหัวมีความสัมพันธ์กับความยากจน คนยากจนมีรายได้ต่อหัวต่ำทางแก้จึงบอกว่าเราต้องพัฒนา ทีนี้ไอ้คำว่าพัฒนานี่มันก็คือต้องพัฒนาโดยที่ยึดเอาประเทศตะวันตกเป็นหลัก
ทำไมถึงยึดประเทศตะวันตกเป็นต้นแบบก็เพราะอังกฤษเข้าสู่ทุนนิยมเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี 1850 เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมระบบศักดินาก็ล่มสลาย ซึ่งศักดินาเป็นระบบที่คงอยู่มากว่า 1,000 ปี ในระบบศักดินานั้นก็คือเศรษฐกิจพอเพียงโดยอยู่ในชนบท เป็นเศรษฐกิจแบบปิดไม่มีพลวัตเป็นสังคมที่หยุดนิ่งเพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกกันว่ายุคมืด แต่พอระบบทุนนิยมเข้ามาใช้เวลาไม่ถึง 200 ปีก็ขยายตัวครอบงำโลก พลวัตก็เปลี่ยนไปเพราะว่าระบบทุนนิยมนั้นมาจากการสะสมทุนเอากำไรมาลงทุนซ้ำขยายภายในประเทศ และก็ออกมานอกประเทศกลายเป็นทุนนิยมโลกในปัจจุบัน
ดังนั้น ก็เลยบอกว่าตรงนี้เป็นพลวัตใหม่เพราะฉะนั้นถ้าหากจะทำให้รายได้สูงขึ้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการพัฒนาเข้าสู่ความเป็นอุตสาหกรรม ดังนั้นก็ต้องเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมแล้วต่อจากสังคมอุตสาหกรรมก็คือสังคมบริการเพราะฉะนั้นสังคมที่เขาเสนอก็ต้องเดินไปในแนวทางแบบนี้ นักเศรษฐศาสตร์จึงเชื่อว่ามีอยู่หนทางเดียวที่คุณจะพัฒนาได้ก็คือการพัฒนาอุตสาหกรรมเราจึงเริ่มต้นการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยโดยเริ่มในปี 2503 มีการตั้งสภาพัฒน์และก็มีการตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีธนาคารโลกที่ประกาศว่าถ้าหากจะพัฒนาอุตสาหกรรมก็มาเอาเงินกู้ไป ไปสร้างเขื่อนเพราะว่าถ้าหากจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมคุณก็จะต้องมีไฟฟ้า เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็คือแนวทางที่เรากำลังเดินอยู่คือไปตามแบบตะวันตกที่เขาบอกว่ากำลังเข้าสู่ความทันสมัย
ตะวันตกจึงไม่เชื่อในเรื่องของค่านิยม เวลาที่มองตะวันออกจะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณยังอยู่กันเป็นกลุ่ม เพราะเมื่อเข้าสู่ทุนนิยมค่านิยมของตะวันตกก็กลายเป็นปัจเจกชน ครอบครัวที่เคยเป็นแบบครอบครัวขยายเมื่อเข้าสู่ทุนนิยมแบบตะวันตกลักษณะของครอบครัวก็เปลี่ยนไปเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว ชีวิตที่อยู่ในชนบทก็เปลี่ยนเป็นชีวิตที่อยู่ในเมือง ซึ่งในประเทศไทยยังเห็นความแตกต่างไม่ชัด ในประเทศตะวันตกนั้นการเข้าไปสู่ระบบอุตสาหกรรมหมายความว่าชุมชนชนบทล่มสลาย
ทรัพยากรเพื่อภาคอุตสาหกรรม แต่ความเลวร้ายตกอยู่ที่ชนบท
เมื่อประเทศไทยเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมหรือว่าทุนนิยมก็ต้องใช้มีพลังงาน ใช้ไฟฟ้ามีการสร้างเขื่อนเพื่อป้อนพลังงานเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ประชาชนคนจนที่กระจายอยู่ในชนบทเมื่อจะมีการสร้างเขื่อนเขาก็ต้องถูกอพยพออก ในประเทศไทยการอพยพออกยังไม่ใช่สาเหตุที่ชาวบ้านออกมาต่อต้าน ที่เขาออกมาต่อต้านเพราะว่ามันเป็นการทำลายฐานการดำรงชีพของเขา เพราะว่าชาวบ้านต้องอยู่กับป่าต้องออกหาผัก หาของในป่า เมื่อจะเข้าไปสร้างเขื่อนป่าก็จะถูกทำลาย ระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นการเข้าไปแย่งชิงทรัพยากรเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ เข้าไปทำลายธรรมชาติและก็เข้าไปเปลี่ยนวิถีชีวิตของคน
เมื่อได้ไปศึกษาหลายเขื่อนแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อย่างเช่นที่เขื่อนปากมูล ในส่วนของเรื่องเขื่อนนั้นมันก็เป็นเรื่องแปลก เราไม่ได้ต้องการแต่กระแสไฟฟ้าถ้าหากลองไปศึกษาดูจริง ๆ แล้วมันก็มีผลประโยชน์มากมาย อย่างเขื่อนปากมูลเมื่อคุณสร้างไปแล้วถามว่าผลิตไฟฟ้าคุ้มหรือเปล่า มันมีผลประโยชน์หลายกลุ่มที่ไปรองรับ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองที่ชอบก่อสร้าง ชอบมีบริษัทก่อสร้าง ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่ประชาชนของเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจการตัดสินใจมันมีลักษณะจากบนลงสู่ข้างล่าง แล้วฟ้าส่วนใหญ่นั้นชาวบ้านไม่ได้ใช้แต่ว่าถูกใช้โดยภาคอุตสาหกรรม
ตรงนี้คือการเข้ามาของทุนนิยมภายในประเทศแล้วมันก่อให้เกิดผลกระทบ ซึ่งทุนนิยมในยุคปัจจุบันนั้นต้องเข้าใจว่ามีลักษณะที่เป็นทุนข้ามชาติ เพราะฉะนั้นโรงไฟฟ้าอย่างที่แม่เมาะตอนนี้ก็กำลังสร้างอยู่ที่ลาวโดยที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นคนลงทุนโดยข้ามชาติไปขูดรีดทรัพยากรของชาวบ้านและก็ไปก่อมลพิษโดยที่ชาวบ้านไม่มีสิทธิ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะแก้ไขเรื่องนี้โดยมองเพียงแค่ประเทศไม่ได้แล้วต้องเชื่อมประสบการณ์การต่อสู้ที่เป็นลักษณะภูมิภาค เราก็จะเห็นนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้มีงานทำ คนก็เข้ามาทำงานในโรงงาน
อุตสาหกรรมยิ่งโต แรงงานยิ่งถูกลดความเป็นมนุษย์
เมื่อเราเข้าสู่การพัฒนาแบบทุนนิยมเกษตรกรก็ต้องถูกเบียดขับ ถูกแย่งชิงพื้นที่ ประชาชนส่วนหนึ่งก็ต้องไปขายแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ในการทำงานในโรงงานแรงงานจะถูกลดความเป็นมนุษย์ลงไปหมด โดยเมื่อเข้าไปทำงานคุณก็ต้องอยู่อย่างจำกัดภายในห้องสี่เหลี่ยม เห็นเพียงอย่างเดียวที่ทำ และทำงานอย่างซ้ำซากตัดขาดจากธรรมชาติ ตัดขาดจากทุก ๆ อย่าง
ในสหภาพแรงงานมีการรวมตัวกันเพื่อต่อรองอะไรต่าง ๆ ก็จริง แต่ความรู้ภายนอกของเขานั้นแคบมากเพราะว่าเขาไม่มีโอกาสเหมือนกับชาวบ้าน ที่ชาวบ้านอยู่ในพื้นที่เปิดที่มีความคิดหลากหลาย แต่เมื่อไหร่คุณเข้าสู่โรงงานซึ่งเป็นพื้นที่เอกชน และเป็นพื้นที่ปิดเพราะฉะนั้นคนงานจึงเป็นคนจนที่ถูกปิดกั้นทั้งหมด ศักดิ์ศรีลดลงเขาไม่ได้ใช้ความคิด ที่แย่ที่สุดก็คือนโยบายของรัฐนั้นส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่ส่งเสริมนั้นต้องการทักษะเพียงแค่นี้คือทักษะราคาถูก ๆ ประกอบชิ้นส่วนค่าแรงต่ำ ชั่วโมงทำงานสูง การบริโภคถูกกระตุ้นโดยทุนนิยมคนงานจะต้องมีมอเตอร์ไซค์ โยงไปในเรื่องปัญหาเรื่องสุขภาพความปลอดภัยที่ปีหนึ่งแรงงานประสบอันตรายจากอุตสาหกรรม 200,000 คน โดยมีคนเสียชีวิตประมาณ 600-800 คนเฉลี่ยวันละ 2-3 คนเรื่องเหล่านี้ก็คือต้นทุนของระบบทุนนิยม
ยิ่งเพิ่มการผลิต คนจนยิ่งจนลง
ประเด็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะจนแบบอดตายแต่จะเป็นในลักษณะที่เรียกว่าจนเปรียบเทียบเพราะว่าช่องว่างในการกระจายรายได้สูงมาก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้ที่แย่มากโดยอยู่ในลำดับที่ 6 ถามว่าเราจะหาวิธีการลดช่องว่างเหล่านี้ลงมาได้อย่างไร คำตอบที่ออกมาก็คือการทำให้การผลิตเติบโต แต่เราก็พบว่าเมื่อการผลิตเติบโต คนที่รวยนั้นกลับรวยขึ้นกว่าเดิมคนจนกลับจนลงอีก ช่องว่างนั้นก็ยิ่งห่างขึ้นไปอีกอันนี้ถูกยืนยันโดยงานวิชาการ จึงเป็นเรื่องแปลกที่การเติบโตนี้น่าจะเป็นการลดช่องว่างเหมือนในประเทศอื่นอย่างเช่นไต้หวันแต่ทำไมของไทยกลับไม่เป็นแบบนั้น
อย่ารอความหวังจากรัฐ ต้องสร้างอำนาจของประชาชน
จึงหมายความว่าระบบทุนนิยมที่เข้ามาในกรณีของประเทศไทยนั้น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจมีช่องว่างประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะสร้างอำนาจต่อรองได้ เพราะถ้าหากต่อรองได้ก็จะต้องต่อรองในเรื่องการแบ่งสรรผลประโยชน์ได้ เมื่อพิจารณาดูจากสหภาพแรงงานที่มีคนงาน 8,000,000-9,000,000 คน สมาชิกสหภาพกลับมีอยู่เพียงแค่ 300,000 คน แล้วจะสามารถที่จะอ้างว่าเป็นตัวแทนของผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ได้หรือก็แสดงว่าคุณยังไม่เข้มแข็ง แล้วในสหภาพแรงงานเองก็ถูกครอบงำโดยรัฐอีกทีดังนั้นปัญหาที่เราไม่สามารถที่จะแก้ไขนั้นไม่ใช่เรื่องความจนต่อไปแล้วแต่เป็นเรื่องของช่องว่างในการกระจายรายได้ การที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ถ้าหากเรามีอำนาจต่อรองเราก็สามารถที่จะต่อรองให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมได้
เราจะทำอย่างไร เราจะทำโดยไปบอกให้รัฐมีนโยบายกระจายรายได้หรือ ซึ่งไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นแน่นอน รัฐจะทำต่อเมื่อเห็นว่าคุณมีฐานที่ดี เพราะฉะนั้นประชาชนตอนนี้จึงไม่มีอำนาจต่อรอง การที่เราจะสร้างอำนาจต่อรองได้มันไม่มีทางถ้าหากว่าคุณยังอยู่แบบปัจเจก ซึ่งคนจนโดยส่วนใหญ่มักมีลักษณะที่แยกตัวออกไป แต่ถ้าหากเขาเห็นว่าความจนของเขานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้วเขารู้จักรวมกลุ่มเมื่อนั้นกระบวนการสร้างอำนาจต่อรองก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากว่าเราไม่เน้นกระบวนการรวมกลุ่มสร้างอำนาจต่อรอง สร้างฐานทางเศรษฐกิจขึ้นมาแล้วเข้าไปจัดการความสัมพันธ์เชิงอำนาจเพราะฉะนั้นเราจะมองว่าเพียงแค่จิตใจดีอย่างเดียวนั้นไม่พอแล้วคุณจะต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าไปสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ.
ที่มา จากสำนักข่าวประชาธรรม //www.newspnn.com
Create Date : 19 กันยายน 2550 |
Last Update : 19 กันยายน 2550 17:11:02 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1390 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เพื่อนของเพื่อน IP: 202.41.167.246 วันที่: 21 มิถุนายน 2551 เวลา:17:18:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|