โสกราตีสยุคโลกาภิวัตน์ ผู้รณรงค์ความหลากหลาย: Cosmopolitanism
งานแปลเกี่ยวกับความคิดของ Kwame Anthony Appiah โสกราตีสยุคโลกาภิวัตน์ ผู้รณรงค์ความหลากหลาย: Cosmopolitanism สฤณี อาชวานันทกุล : เขียนและแปล นักวิชาการ และ นักแปลอิสระ
Kwame Anthony Appiah: โสกราตีสยุคโลกาภิวัตน์ ผู้รณรงค์ความหลากหลาย คำสำคัญในบทความนี้ : Cosmopolitanism, โสกราตีสโพสต์โมเดิร์น, อัตลักษณ์ที่เคร่งครัด หรือจริยธรรมสากล, The Case for Contamination, ลัทธิจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม, Muslim fundamentalist, neofundamentalists, universal humanity,
ความนำ ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่การผสมปนเปและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าตื่นเต้น และน่ายินดีในแง่ที่มันมีส่วนช่วยลบล้างวัฒนธรรมล้าสมัยบางอย่าง ที่เคยฉุดรั้งคุณภาพชีวิตและปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่นักคิดจากทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายกำลัง "เบรก" และบิดเบือนกระแสโลกาภิวัตน์ด้านวัฒนธรรม ในทางที่เป็นอุปสรรคต่อการเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม และการพัฒนามนุษย์
นักคิดฝ่ายขวาผู้มีชื่อเสียงหลายราย กำลังตีขลุม "เหมารวม" ชาวมุสลิมทั้งโลกว่าล้วนเป็นผู้สนับสนุนสงครามระหว่างกลุ่มผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงกับ "โลกตะวันตก" เพราะชาวมุสลิมเหล่านี้ "อิจฉา" ความเจริญของประเทศพัฒนาแล้ว. ตรรกะหลักของความคิดแนวนี้คือ ไม่ต้องสนใจหรอกว่ามุสลิมแต่ละกลุ่มในแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างไร? ตีความคัมภีร์อัลกุรอานแตกต่างกันอย่างไร? ขึ้นชื่อว่ามุสลิมแล้วก็คิดเหมือนกันหมดนั่นแหละ วิเคราะห์ไปก็เสียเวลาเปล่า
ในขณะเดียวกัน นักคิดฝ่ายซ้ายหลายรายก็กำลังรณรงค์ให้ประเทศกำลังพัฒนาเร่ง "อนุรักษ์วัฒนธรรมของแท้" ของตนเอง ก่อนที่จะถูกกลืนหายไปในวัฒนธรรมบริโภคนิยมของ "ผู้รุกราน" จากโลกตะวันตก แต่เราต้องย้อนอดีตไปไกลขนาดไหนจนกว่าจะเจอ "วัฒนธรรมของแท้" และเราควรจะตีกรอบพื้นที่ขนาดไหนสำหรับการอนุรักษ์? เช่น ใครบ้างในประเทศไทยที่ควรอนุรักษ์ประเพณีจีน (ซึ่งสำหรับหลายๆ ครอบครัวก็ไม่เคยเป็น "ของแท้" ตั้งแต่พ่อแม่ดัดแปลงและย่นย่อพิธีกรรมให้สั้นลง?) คนจีนโพ้นทะเลย่านเยาวราช? คนไทยเชื้อสายจีนรุ่นที่สามที่พูดภาษาจีนไม่ได้แล้ว?
แต่ที่อันตรายกว่านั้นคือ นักอนุรักษ์ฝ่ายซ้ายหลายคนเชื่อว่า ทุกวัฒนธรรมล้วนมีค่าควรแก่การอนุรักษ์ทั้งนั้น ไม่ว่าวัฒนธรรมนั้นจะจำกัดเสรีภาพมนุษย์มากเพียงใด หรือทำให้คนต้องทนลำบากขนาดไหนในการดำรงชีวิต (เป็นต้นว่า เพราะใช้เครื่องมือเครื่องใช้ที่ล้าสมัยเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี) และไม่ว่าสมาชิกในวัฒนธรรมเองจะอยาก "อนุรักษ์" มันไว้หรือไม่
Kwame Anthony Appiah - โสกราตีสโพสต์โมเดิร์น ในขณะที่นักคิดส่วนน้อยอย่าง เอ็ดวาร์ด ซาอิด ยืนหยัดต่อต้านวาทกรรมเหมารวมของฝ่ายขวาตกขอบ, นักปรัชญายุคโลกาภิวัตน์นาม ควาเม่ แอนโธนี อัปไปอาห์ (Kwame Anthony Appiah) ก็กำลังต่อต้านตรรกะอันตรายของกลุ่มนักคิดฝ่ายซ้ายผู้อุปโลกน์ตนเองเป็น "นักอนุรักษ์วัฒนธรรม" ของประเทศกำลังพัฒนา อยู่อย่างแข็งขันเช่นเดียวกัน
ในโลกที่วัฒนธรรมต่างๆ ผสมผสานปนเปกัน และบางครั้งก็กระทบกระทั่งกันอย่างไม่หยุดหย่อนจนดูเหมือนจะไม่มี "คุณธรรม" หรือคุณค่าทางสังคมใดๆ ที่เป็น "สัจธรรมสากล" แน่นอนตายตัวอีกต่อไป อัปไปอาห์เปรียบเสมือน "โสกราตีสโพสต์โมเดิร์น" ผู้ท้าทายให้เราทุกคนวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนตัวตนหรือ "อัตลักษณ์" ระดับปัจเจกที่เราสร้างขึ้น (โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) จากปฏิสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนอื่นและสังคมภายนอก อย่างสม่ำเสมอและเปิดกว้าง
ในฐานะนักปรัชญาผู้เจนจัดกับการใช้ตรรกะเชิงอนุมานแบบโสกราตีส นักปราชญ์ชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่, อัปไปอาห์ชี้ให้เราเห็นทั้งโอกาสและอันตรายของกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ในโลกยุคปัจจุบัน คำถามที่เขาตั้ง และบทสรุปที่เขาใช้ตรรกะสืบสาวไปจนเจอนั้น เปิดโปงให้เห็นทั้งสมมุติฐานที่ไม่เป็นจริง อคติ และความผิดพลาดของสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดว่าเป็นสัจธรรม. อัปไปอาห์วิเคราะห์แนวคิดในวัฒนธรรมต่างๆ เกี่ยวกับสีผิว, เชื้อชาติ, เพศ, ชนชั้น, ศาสนา, สมาชิกภาพของรัฐ, และพบว่าแนวคิดบางอย่างไม่เป็นความจริง บางอย่างไม่มีเหตุผล และทั้งหมดไม่สามารถสรุปได้ว่า "ถูก" หรือ "ผิด"
อัตลักษณ์ที่เคร่งครัด หรือจริยธรรมสากล อัปไปอาห์วิพากษ์วิจารณ์ "อัตลักษณ์ระดับสังคม" ทั้งหลาย (เช่น "คนไทย" ในบริบทของเรา) ไม่ใช่เพราะเขาต้องการบอกว่าความคิดเช่นนั้นปราศจากความชอบธรรม แต่เพราะเขาต้องการชี้ให้เห็นว่าความคิดนั้นมีอันตรายต่อเสรีภาพและสันติภาพของชุมชนอย่างไรบ้าง เมื่อใดก็ตามที่สังคมเรียกร้องให้สมาชิกแสดงความจงรักภักดีต่ออัตลักษณ์กลุ่มโดยไร้ข้อกังขา และบังคับให้ดำเนินชีวิตตามแบบแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด อัตลักษณ์แบบนี้จะสุ่มเสี่ยงต่อการนำสังคมไปสู่ภาวะไร้ความยุติธรรม และความรุนแรง
อัปไปอาห์เสนอว่าสิ่งที่เราต้องการที่สุดในโลกยุคนี้ไม่ใช่อัตลักษณ์ที่เคร่งครัด หากเป็น "จริยธรรมสากล" (ethical universal) ที่ข้ามพ้นความแตกแยกทางสังคม และเชื่อมความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ จริยธรรมสากลนั้นน่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ความมีเหตุมีผล" (reasonableness) ที่ยอมรับความเชื่อและพฤติกรรมที่แตกต่างกันได้ โดยไม่ขับเน้นความแตกต่างให้กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
อัปไปอาห์เชื่อว่า การยอมรับความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมที่ถูกปลดปล่อยจากมโนคติทั้งมวล (pluralism liberated from ideology) เท่านั้นที่จะนำมนุษยชาติไปสู่สังคมแบบ "มนุษยนิยม" (humanism) ที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ (นั่นคือ มีความเป็นโพสต์โมเดิร์น) แต่ในขณะเดียวกันก็มีจุดยืนที่เด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่งพอที่จะประณามความโหดร้ายและการทรมานทุกแห่งในโลก
ความสำเร็จของอัปไปอาห์เองในการ "ข้ามพ้น" พรมแดนทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มักจะนำมาซึ่งความขัดแย้ง (นอกเหนือจากดีกรีปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเคมบริจ และประวัติการสอนปรัชญาตามมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อของอเมริกาหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น เยล, คอร์เนล, ฮาร์วาร์ด, จนถึงพริ้นซ์ตันในปัจจุบัน) ในฐานะลูกครึ่งที่พ่อเป็นชายผิวดำชาวกานา (Ghana) แม่เป็นหญิงผิวขาวชาวอังกฤษ เกิดในอังกฤษแต่โตในกานา และการที่ตัวเขาเองเป็นเกย์โดยเปิดเผย, มีส่วนช่วยทำให้แนวคิดเรื่อง "จริยธรรมสากล" ฟังดูหนักแน่นและเป็นไปได้จริง ไม่ได้เป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอยเท่านั้น
Cosmopolitanism ในหนังสือของอัปไปอาห์สองเล่มคือ "จริยธรรมแห่งอัตลักษณ์: หลากหลายนิยมที่ฝังราก" (The Ethics of Identity: A Rooted Cosmopolitanism) และ "หลากหลายนิยม: จริยธรรมในโลกแห่งคนแปลกหน้า" (Cosmopolitanism: Ethics in a World of Strangers) เขาตั้งคำถามว่า "พลเมือง" หมายความว่าอะไรในโลกที่แคบลงเรื่อยๆ ทุกวัน. โลกที่เบลอเส้นแบ่งระหว่างอัตลักษณ์ต่างๆ และให้เราสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆ อย่างรวดเร็วจนไม่มีใครตามทัน (เช่น เราสามารถสร้างแอคเค้าท์ใหม่บนเว็บไซด์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที)?
อัปไปอาห์เสนอว่า ในโลกยุคนี้ เราทุกคนควรวางตัวเป็น "นักหลากหลายนิยม" (cosmopolitan) ผู้แสวงหาสมดุลระหว่างการฉลองความเหมือนระหว่างคนเราในฐานะมนุษย์ด้วยกัน กับความเคารพในความแตกต่างทั้งหลาย. อัปไปอาห์ชี้ว่า หลากหลายนิยมแตกต่างจากแนวคิดในอดีตที่มีความเป็นสากล เพราะ "ความเป็นสากล" ของแนวคิดเหล่านั้นคือความพยายามที่จะทำให้ทุกคนเชื่อเหมือนกันหมด เช่น กลุ่มคาทอลิกผู้เคร่งครัด หรือมาร์กซิสต์หัวรุนแรง ที่คิดแบบคนมีปมเด่นว่า ใครไม่คิดเหมือนกับตนแปลว่าเป็นคนโง่ คนเห็นแก่ตัว หรือมิฉะนั้นก็ต้องตกนรกแน่ๆ
อัปไปอาห์บอกว่า การเป็นนักหลากหลายนิยมนั้นไม่ง่าย แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะเป็น เพราะเราทุกคนเป็นทั้งพลเมืองโลก และสมาชิกชุมชนย่อยระดับต่างๆ เช่น ครอบครัว, โรงเรียน, ละแวกบ้าน, และประเทศ ในเวลาเดียวกัน
บทความต่อไปนี้เป็นงานชิ้นเอกของอัปไปอาห์ เกี่ยวกับคุณค่าของความหลากหลาย วิธีการใช้ "ความมีเหตุผล" เพื่อตีกรอบลักษณะของ "จริยธรรมสากล" และเหตุผลหนักแน่นที่ชี้ให้เห็นว่า การปกป้องวัฒนธรรมใดๆ ให้รอดพ้นจาก "การปนเปื้อน" จากวัฒนธรรมอื่นนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างเดียว แต่ยังเป็นความคิดที่หลงผิดและดูถูกมนุษย์ด้วยกันอีกด้วย. การผสมปนเประหว่างวัฒนธรรมนั้นนอกจากจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยังน่าชื่นชมและน่าติดตามอีกต่างหาก
การที่หนุ่มสาวชนชั้นกลางทั่วโลกกำลังใช้วิถีชีวิตเหมือนกัน กินแม็คโดนัลด์, นุ่งกางเกงยีนส์, ฟังเพลงฮิปฮอปจากเครื่องไอพ็อต, ไม่ได้แปลว่าพวกเขากำลังคิดเหมือนกันหมดทั้งโลก และก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรตำหนิติเตียน. "ผู้ใหญ่" ทั้งหลายในประเทศน่าจะเลิกเป็นห่วงว่าวัยรุ่นไทยกำลังสูญเสีย "ความเป็นไทย" ได้แล้ว มาเป็นห่วงว่าพวกเขากำลังสูญเสีย "จิตสำนึกสาธารณะ" กันดีกว่า เพราะนั่นคือหนึ่งใน "จริยธรรมสากล" ที่สมควรปลูกฝัง ไม่ว่าคนเราจะ "กลายพันธุ์" เป็นอะไรก็ตาม
ที่มา //www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999745.html
Create Date : 29 มีนาคม 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 14:34:05 น. |
Counter : 3254 Pageviews. |
|
|
|
สฤณี อาชวานันทกุล : แปลและเรียบเรียงบางตอนจาก The Case for Contamination
1.
ผมกับแม่นั่งอยู่บนระเบียงของพระราชวัง รับลมเย็นๆ ที่โชยมาจากสวน บัลลังก์ตั้งเด่นอยู่บนเวทีตรงหน้าเรา ขาและแขนของมันทำจากทองเหลือง พนักและเก้าอี้ทำจากผ้าไหมสีดำขลิบทอง ข้างล่างเวที คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายนั่งเรียงกันสองแถวบนม้านั่งที่ทำจากไม้แกะสลัก หันหน้าเข้าหากัน พวกเขาห่มผ้าคาดอกเปลือยไหล่ทั้งสองข้าง คุยซุบซิบกันเงียบๆ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องลั่นของนกยูงในสวน
ในที่สุด เสียงแตรเขาแกะส่งสัญญาณว่ากษัตริย์แห่งอาซันเต้ (king of Asante) ได้เสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนลุกขึ้นยืนรอพระองค์ทรงขึ้นประทับบนบัลลังก์ เมื่อเรานั่งลง คณะนักร้องประสานเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีคลอไปกับเสียงขลุ่ย วันนี้เรากำลังชมเทศกาลวันพุธในคูมาสี (Kumasi) เมืองเกิดของผมในกานา
คุณคงคิดว่าผมกำลังอธิบายโลกที่คุณไม่คุ้นเคยเลย ยกเว้นว่าคุณจะเป็นหนึ่งในพลเมืองกานาไม่กี่ล้านคน คุณอาจคิดว่าเทศกาลวันพุธนี้หลุดออกมาจากอดีตของแอฟริกา แต่ก่อนที่กษัตริย์จะเสด็จมาถึง หลายคนคุยโทรศัพท์มือถือ และในหมู่คนที่ซุบซิบกันอยู่นั้นก็รวมตัวแทนจากบริษัทประกันประมาณ 12 คนที่มาในชุดสูทเต็มยศ การประชุมเกี่ยวกับประเด็นร่วมสมัยกำลังดำเนินไปในสำนักงานข้างๆ ระเบียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคเอดส์, ความต้องการด้านการศึกษาของเด็กในศตวรรษที่ 21, และหลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยท้องถิ่น
เมื่อคิวเข้าเฝ้ามาถึงผม พระราชาตรัสถามเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตันที่ผมสอนอยู่ ผมถามว่าพระองค์จะทรงเยือนอเมริกาเมื่อไหร่ ทรงตอบอย่างอารมณ์ดีว่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์ พระองค์มีนัดประชุมกับธนาคารโลก
ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่ไหนในโลกนี้ในปัจจุบัน คุณจะเจอพิธีกรรมแบบที่ผมเล่า ไม่ต่างจากในอดีตที่ผ่านมา หลายพิธีเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีเก่าแก่หลายร้อยปี แต่ปรากฏการณ์ใหม่ที่คุณจะเผชิญก็คือ ทุกแห่งหนที่คุณไปเยือนมีความเกี่ยวโยงอันลึกซึ้งกับสถานที่อันห่างไกล อาทิเช่น กรุงวอชิงตัน, มอสโคว์, เม็กซิโกซิตี้, หรือปักกิ่ง
ตรงข้ามบ้านที่ผมเคยอยู่ตอนเด็กๆ เคยเป็นที่อาศัยของครอบครัวหลายครอบครัวภายใต้ชายคาเดียวกัน ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายหลายคน คนหนึ่งที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมตอนนี้ทำงานในลอนดอน น้องชายของเขาอยู่ที่ญี่ปุ่น บ้านเกิดของภรรยา น้องชายอีกคนเคยอยู่สเปน น้องชายอีกสองคนเท่าที่ผมรู้อยู่อเมริกา ที่เหลือยังอยู่คูมาสี หรือไม่ก็ในอัคครา (Accra) เมืองหลวงของกานา, เอ็ดดี้ น้องคนที่อยู่ญี่ปุ่น ตอนนี้พูดภาษาของภรรยาเขาได้แล้ว เพราะเขาจำเป็นต้องหัด แต่เอ็ดดี้ไม่เคยชอบพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาราชการของรัฐบาลและโรงเรียน เวลาเขาโทรหาผมทีไร เขาชอบใช้อาซันเต้-ทวี (Asante-Twi) ภาษาท้องถิ่นของเรา
หลายปีผ่านไป อาคารต่างๆ บริเวณพระราชวังในอาซันเต้ขยับขยายขึ้นตามเวลา ตอนผมยังเด็ก เราเคยไปเข้าเฝ้าพระราชาองค์ก่อน ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของผม ในตึกหลังเล็กๆ ที่พวกอังกฤษยอมให้บรรพบุรุษของพระองค์สร้างเมื่อเสด็จกลับจากการถูกเนรเทศในเมืองเซเชลล์ (Seychelles) เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์อาซันเต้. ตึกหลังนั้นตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ดูเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับบ้านหลังมหึมาข้างๆ ที่ลุงผมสร้าง ที่ประทับของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
พวกอังกฤษ ชนชาติของแม่ผม พิชิตอาซันเต้เมื่อต้นคริสตศตวรรษที่ 20 แต่พอผ่านไปหนึ่งร้อยปี พระราชวังกลับมีกลิ่นอายเดียวกันกับก่อนที่พวกอังกฤษจะบุก - กลิ่นอายของศูนย์รวมแห่งอำนาจ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของกานามาจากโลกใบนี้เหมือนกัน เขาเกิดอีกฟากหนึ่งของถนนหน้าพระราชวัง ในตระกูลโอโยโก้ (Oyoko) ที่มีชื่อเสียง แต่เขาก็เป็นสมาชิกของโลกใบอื่นด้วย - ประธานาธิบดีคนนี้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในอังกฤษ และนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และมีรูปถ่ายของเขาเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาประดับห้องรับแขกในบ้าน
เราจะทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างไร? ในงานเทศกาลวันนั้น ผมเห็นผู้มาเยือนจากอังกฤษและอเมริกานิ่วหน้าใส่สิ่งที่เขามองว่า เป็นการบุกรุกของความสมัยใหม่บนพิธีกรรมเก่าแก่ สิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นหลักฐานอีกชิ้นของการที่โลกสมัยใหม่กำลังกดดันให้ทุกคนคิดและทำเหมือนกันหมด (uniformity) พวกเขาทำตัวราวกับเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลให้ตัวประกอบทั้งหลายถอดนาฬิกาข้อมือออกก่อนเข้าฉากหนังโบราณ ผู้นิยม "ของแท้" เหล่านี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
ในสองสามปีที่ผ่านมา สมาชิกของยูเนสโกใช้เวลามากมายไปกับการร่างปฎิญญาว่าด้วย "การปกป้องและส่งเสริม" ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (ซึ่งในที่สุดก็ถูกประกาศใช้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548) ผู้ยกร่างหลายคนกังวลว่า "กระบวนการของโลกาภิวัตน์... นับเป็นความท้าทายต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในแง่ของความเสี่ยงที่มากับความไม่สมดุลระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศยากจน" พวกเขากลัวว่า จริยธรรมและภาพพจน์ต่างๆ ของวัฒนธรรมกระแสหลักในโลกตะวันตก จะบีบเค้นวัฒนธรรมท้องถิ่นให้สำลักอากาศตาย ไม่ต่างจากวัชพืชที่แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว
ความขัดแย้งกันเองในความคิดแบบนี้หาเจอได้ไม่ยาก เอกสารยูเนสโกชิ้นเดียวกันนี้ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการตอกย้ำความสำคัญของการแลกเปลี่ยนความคิดโดยเสรี เสรีภาพในการแสดงความเห็น และสิทธิมนุษยชน ซึ่งล้วนเป็นคุณธรรมที่เราทุกคนรู้ว่าจะ "เป็นสากล" ได้ก็ต่อเมื่อเราทำให้มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉะนั้นแปลว่าอะไรสำคัญกว่ากันเล่า - วัฒนธรรม หรือคน?
ในโลกที่คูมาสี, นิวยอร์ค, ไคโร, ลีดส์, และอิสตันบูล กำลังถูกเชื่อมให้ใกล้ชิดกันขึ้นทุกที จริยธรรมของโลกาภิวัตน์เป็นเรื่องที่ลื่นไหลไม่แน่นอนเอาเสียเลย
ผมคิดว่า วิธีที่ถูกต้องคือเราต้องตั้งต้นที่ปัจเจกชนก่อน ในฐานะศูนย์กลางของจริยธรรม ไม่ใช่ตั้งต้นที่ประเทศ เผ่าพันธุ์ หรือ ชาติพันธุ์ มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเรียกแนวคิดแบบนี้ว่าอะไร แต่เพื่อเป็นการระลึกถึง ไดโอจีนีส (Diogenes) นักปรัชญาชาวกรีกสมัยศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งเป็นคนแรกในโลกที่เรียกตัวเองว่า "พลเมืองโลก" เราอาจเรียกแนวคิดนี้ว่า "หลากหลายนิยม" (cosmopolitan) นักหลากหลายนิยมคิดว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพวกเขาเชื่อว่าการตัดสินใจของปัจเจกชนแต่ละคนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้กังวลเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว พวกเขาจึงสงสัยว่านักวิจารณ์วัฒนธรรมผู้ต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์หลายคน กำลังเล็งผิดเป้า
ใช่ โลกาภิวัตน์สามารถหลอมรวมวัฒนธรรมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน (homogeneity) ได้ แต่มันก็เป็นอันตรายต่อความเป็นเนื้อเดียวกันนั้นเหมือนกัน คุณจะพบความจริงข้อนี้ในคูมาสี ไม่ต่างจากที่อื่นๆ ทั่วโลก ผมสามารถแนะนำให้คุณรู้จักกับครอบครัวในคูมาสีที่มีเชื้อชาติเหล่านี้ได้ - อังกฤษ, เยอรมัน, จีน, ซีเรีย, เลบานอน, เบอร์กินาเบ้, ไอวอรี, ไนจีเรีย, และอินเดีย. ผมสามารถแนะนำให้คุณรู้จักกับชาวอาซันเต้ เผ่าพันธุ์ที่บรรพบุรุษของเขาอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาหลายร้อยปีแล้ว แต่ชาวฮอซา (Hausa) ก็อยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้วเช่นกัน
ประชากรของเมืองนี้มาจากทั่วทุกภาคของประเทศ พูดภาษาท้องถิ่นต่างกันหลายสิบภาษา แต่ถ้าคุณขับรถออกไปนอกตัวเมืองคูมาสีเล็กน้อย ประมาณ 20 ไมล์ และเลี้ยวออกจากถนนใหญ่ไปตามถนนฝุ่นสีแดงเส้นเล็กๆ ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณจะพบหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรมเดี่ยว (monocultural) ค่อนข้างง่ายตามสองข้างทาง ชาวบ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยไปคูมาสี เคยเห็นเมืองใหญ่ที่คนมาจากหลายเชื้อชาติ พูดกันหลายภาษา หมู่บ้านที่พวกเขาอยู่ใช้ภาษาเดียว (ยกเว้นภาษาอังกฤษที่สอนในโรงเรียนรัฐ) และมีวิถีชีวิตแบบเกษตรกร ปลูกทั้งพืชโบราณ เช่น มันหวาน และพืชเศรษฐกิจใหม่ๆ เช่นโกโก้ ที่นำเข้ามาในศตวรรษที่ 19 ให้ชาวบ้านปลูกเพื่อส่งออก
บ้านส่วนใหญ่น่าจะมีไฟฟ้าใช้แล้ว เพราะอยู่ใกล้กับคูมาสี แต่บางบ้านอาจยังไม่มี เวลาเราได้ยินคนพูดกันเรื่องความเป็นเนื้อเดียวกันที่เป็นผลผลิตของโลกาภิวัตน์ พวกเขากำลังคุยกันเรื่องนี้ - แม้แต่ในหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านจะฟังวิทยุ คุยกันเรื่องคนดังระดับโลกอย่างโรนัลโด้, ไมค์ ไทสัน, หรือทูแพค, และคุณคงเห็นขวดเบียร์ยี่ห้อกินเนส หรือขวดโค้ก (นอกเหนือจากสตาร์หรือคลับ เบียร์ดีของกานา) การที่ชาวบ้านเข้าถึงสิ่งเหล่านี้แปลว่าหมู่บ้านของเขาเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น หรือน้อยลง? และคุณจะบอกอะไรได้บ้างเกี่ยวกับจิตวิญญาณของพวกเขา จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาดื่มโค้ก?
จริงอยู่ ชุมชนที่เป็นเนื้อเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะในอาซันเต้หรือรัฐเพนซิลวาเนียของอเมริกา ไม่แตกต่างกันมากเท่ากับเมื่อร้อยปีที่แล้ว แต่เหตุผลส่วนใหญ่คือข่าวดี คนจำนวนมากขึ้นสามารถเข้าถึงยาดี น้ำดื่มที่สะอาด และไปโรงเรียน ชุมชนไหนไม่มีสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราควรเสียใจ ไม่ใช่เฉลิมฉลอง และไม่ว่าแต่ละชุมชนจะสูญเสียเอกลักษณ์อะไรไป พวกเขาก็คิดค้นเอกลักษณ์ใหม่ๆ เองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นทรงผมใหม่ๆ คำสแลงใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งศาสนาใหม่ๆ ไม่มีใครพูดได้ว่าหมู่บ้านต่างๆ ในโลกนี้กำลังกลายเป็นหมู่บ้านแบบเดียวกันหมด
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดบางครั้งสมาชิกชุมชนหลายคนจึงรู้สึกว่าอัตลักษณ์ของพวกเขากำลังถูกคุกคาม?
เพราะโลกของพวกเขากำลังเปลี่ยนแปลง และคนบางคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แรงดึงดูดของระบบเศรษฐกิจโลก ดังที่เราเห็นจากต้นโกโก้ วัตถุดิบของช็อกโกแลตที่คนบริโภคทั่วโลก มีส่วนสร้างวิถีชีวิตของพวกเขาในปัจจุบัน ถ้าราคาช็อกโกแลตตกต่ำอีกครั้งเหมือนเมื่อประมาณปี 2533 เกษตรกรชาวอาซันเต้อาจต้องหาพืชเศรษฐกิจใหม่ หรือไม่ก็เปลี่ยนอาชีพ ความเสี่ยงข้อนี้ทำให้หลายคนไม่สบายใจ แต่อีกหลายคนก็ตื่นเต้น มิชชันนารีมาเผยแพร่ศาสนาแถบนี้นานแล้ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนนับถือคริสต์ แม้ว่าพวกเขาจะยังประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อโบราณอยู่ ตอนนี้นักสอนศาสนานิกายเพ็นทาโคสตัล (Pentecostal) กำลังท้าทายโบสถ์ และหาว่าพิธีกรรมของชาวบ้านลบหลู่ศาสนา เรื่องนี้ชาวบ้านบางคนเห็นด้วย แต่บางคนก็ไม่เห็นด้วย
เหนือสิ่งอื่นใด ความสัมพันธ์ต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไป สมัยพ่อผมยังเด็ก ผู้ชายจะทำการเพาะปลูกบนที่ดินที่หัวหน้าเผ่ามอบให้ และครอบครัวทางแม่ (รวมทั้งน้องชายด้วย) จะช่วยเขาทำนา ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อเติมบ้าน หาอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้กับลูกๆ ส่งลูกไปโรงเรียน และจ่ายค่าจัดงานแต่งงานและงานศพ รุ่นลูกหลานจะสืบทอดที่นาและความรับผิดชอบต่างๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าราคาโกโก้ ราคาก๊าซทำให้ค่าขนส่งพืชผักแพงกว่าเดิม และคนรุ่นใหม่มีโอกาสมากมายในเมือง
ในภาคอื่นๆ ของประเทศ และในประเทศอื่นๆ บางทีสมัยก่อนคุณอาจสั่งให้ลูกหลานอยู่ในหมู่บ้านได้ แต่ตอนนี้พวกเขามีสิทธิย้ายออก อาจไปหางานทำที่ศูนย์ประมวลข้อมูลเปิดใหม่ในเมืองหลวงทางตอนใต้ และจริงๆ แล้วคุณก็อาจหาเงินไม่พอสำหรับค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย และค่าเล่าเรียนของลูกๆ ทุกคนอยู่ดี ทั้งหมดนี้หมายความว่า หมดยุคของครอบครัวเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จแล้ว คนที่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบนั้นย่อมรู้สึกเสียใจที่เห็นมันหายไป ไม่ต่างจากครอบครัวชาวนาในอเมริกาที่เห็นที่ดินของพวกเขาถูกบริษัทอาหารเกษตรยักษ์ใหญ่ดูดกลืนไป เราเห็นใจพวกเขาได้ แต่เราไม่สามารถบังคับให้ลูกหลานของพวกเขาอยู่ทำนาต่อไปเพียงเพื่อ "อนุรักษ์วัฒนธรรมของแท้" ของพวกเขา และเราก็ไม่มีเงินพอที่จะอุดหนุนชุมชนเนื้อเดียวกันเป็นพันๆ ชุมชน ที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับอีกต่อไป และเราก็ไม่ควรจะอยากทำอย่างนั้นด้วย
นักหลากหลายนิยมมองความหลากหลายของมนุษย์ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทุกคนมีสิทธิเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง. สิ่งที่จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) กล่าวในหนังสือเรื่อง "ว่าด้วยเสรีภาพ" (On Liberty) กว่าร้อยปีที่แล้ว เกี่ยวกับความหลากหลายของสังคม ใช้เป็นข้อสนับสนุนความหลากหลายของโลกได้ด้วย
"ถ้าคนเรามีเพียงความชอบเท่านั้นที่ต่างกัน นั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่เราไม่ควรพยายามปั้นพวกเขาให้ออกมาเป็นโมเดลเดียวกันหมด แต่คนเรายังต้องการเงื่อนไขที่แตกต่างกันในการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ พืชพันธุ์ต่างๆ ไม่สามารถเติบโตในสภาวะแวดล้อมและสภาพอากาศเดียวกันได้ฉันใด มนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขในกรอบศีลธรรมเดียวกันได้ฉันนั้น อะไรก็ตามที่ช่วยให้คนพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น อาจเป็นเครื่องกีดขวางสำหรับอีกคนหนึ่ง ...มนุษย์ไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพ หรือพัฒนาจิตใจ มโนธรรม และอารมณ์สุนทรียะ ได้อย่างเต็มศักยภาพของเขา หากพวกเขาไม่มีความหลากหลายในวิถีชีวิตที่สอดคล้อง[กับความหลากหลายของปัจเจกชน]"
หากเราต้องการอนุรักษ์เงื่อนไขต่างๆ ของการดำรงชีวิต เพราะเงื่อนไขเหล่านั้นมอบโอกาสที่ดีที่สุดให้กับเสรีชน ในการใช้ชีวิตแบบที่พวกเขาต้องการ เราก็ไม่สามารถบังคับให้เกิดความหลากหลายด้วยการกักขังผู้คนไว้ในความแตกต่างที่พวกเขาต้องการหลบหนีไปให้พ้น
2.
แม้คุณอาจเห็นด้วยว่าเราไม่ควรบังคับใครให้อนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่ คุณอาจคิดว่านักหลากหลายนิยมควรเข้าข้างนักกิจกรรมที่กำลังง่วนอยู่กับการเดินสายรณรงค์ให้คน "อนุรักษ์วัฒนธรรม" และต่อต้าน "ลัทธิจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม" (cultural imperialism) แต่ภายใต้สโลแกนเหล่านี้ เรามักจะพบสมมุติฐานอันน่ากังขา ขอให้เราลองมาดูการรณรงค์เรื่อง "อนุรักษ์วัฒนธรรม" กันก่อน
การอนุรักษ์วัฒนธรรม
เป็นเรื่องดีถ้าเราจะช่วยคนให้อนุรักษ์ศิลปะที่พวกเขาต้องการจะอนุรักษ์ ผมสนับสนุนศูนย์วัฒนธรรมประจำชาติแห่งกานาในคูมาสี (Ghana National Cultural Center) ที่ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเต้นรำและรำกลองพื้นเมืองของเผ่าอาคาน โดยเฉพาะเมื่อท่วงท่าเหล่านั้นมีชีวิตชีวาและน่าตื่นตาตื่นใจมาก หรือถ้าเราพูดถึงการฟื้นฟูแผ่นฟิล์มเก่าเก็บของหนังฮอลลีวู้ดให้คืนสู่สภาพเดิม การอนุรักษ์ต้นฉบับเอกสารจีน นอร์เวย์ หรือเอธิโอเปียโบราณ การจดบันทึกและวิเคราะห์ตำนานที่เล่ากันปากต่อปากของชาวมาเลย์ มาไซ และเมารี เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดมีคุณค่าอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่การอนุรักษ์วัฒนธรรมในแง่ของการอนุรักษ์วัตถุทางวัฒนธรรม แตกต่างจากการอนุรักษ์วัฒนธรรมในตัวของมันเอง นักอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมมักจะเน้นอย่างหลัง เช่น ด้วยการรณรงค์ให้ชนเผ่าฮูลีในปาปัวนิวกินี (หรือแม้แต่ชาวซิกข์ในกรุงโตรอนโต้) อนุรักษ์วิถีชีวิต "ของแท้" ของพวกเขาเอาไว้. แต่ "ของแท้" ทางวัฒนธรรมหมายความว่าอะไร? เราควรจะหยุดการนำเข้าหมวกเบสบอลในเวียดนาม เพื่อชนเผ่าเซา (Zao) จะได้ใส่เครื่องประดับศีรษะหลากสีของพวกเขาต่อไป อย่างนั้นหรือเปล่า? ทำไมเราไม่ถามชาวเซา? สิทธิข้อนี้เป็นของพวกเขามิใช่หรือ?
"พวกเขาไม่มีทางเลือกที่แท้จริง" นักอนุรักษ์วัฒนธรรมจะตอบอย่างนี้ "เราทุ่มเสื้อผ้าถูกๆ จากโลกตะวันตกลงไปในตลาดท้องถิ่น และผ้าไหมที่พวกเขาเคยใส่ก็แพงเกินกำลังซื้อไปแล้ว ถ้าพวกเขาเลือกสิ่งที่ต้องการได้จริงๆ พวกเขาก็จะยังใส่ชุดพื้นเมืองอยู่เหมือนเดิม" แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นเรื่อง "ของแท้" เลย การที่ชาวเซาไม่มีกำลังซื้อสิ่งที่พวกเขาต้องการ สิ่งที่เป็นเครื่องแสดงอัตลักษณ์ที่พวกเขาให้คุณค่าและต้องการอนุรักษ์เอาไว้นั้น เป็นปัญหาจริงๆ ที่หลายชุมชนกำลังประสบอยู่ กล่าวคือ สมาชิกในชุมชนยากจนเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตแบบที่พวกเขาต้องการ แต่ถ้าพวกเขามีรายได้ดีขึ้น และยังใส่เสื้อทีเชิ้ตวิ่งไปมา นั่นก็เป็นสิทธิของพวกเขา การอ้างประเด็นเรื่อง "ของแท้" ตอนนี้ไม่มีอะไรมากกว่าการบอกคนอื่นว่า พวกเขาควรให้คุณค่ากับอะไรบ้างในประเพณีของตัวเอง
นอกจากนั้น ความพยายามที่จะหา "วัฒนธรรมของแท้ดั้งเดิม" อาจไม่ต่างจากการปอกเปลือกหัวหอม เมื่อไหร่คุณคิดว่าพบแล้ว คุณก็จะพบว่ามีชั้นที่ลึกลงไปกว่านั้นอีก ผ้าที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นลายแอฟริกาตะวันตกดั้งเดิมนั้น จริงๆ แล้วมาจากผ้าบาติกของเกาะชวาในคริสตศตวรรษที่ 19 ที่หลายครั้งผลิตในโรงโม่ของชาวดัทช์ ชุดพื้นเมืองของหญิงชาวเฮเรโร่ (Herero) ในประเทศนามิเบีย ดัดแปลงมาจากชุดของมิชชันนารีเยอรมันในศตวรรษที่ 19 แต่ดูเป็นเฮเรโร่ของแท้ เพราะสีสันที่ใช้ไม่ใช่สีของนักบวชนิกายลูเธอร์แน่ๆ
ผ้าเก็นเต้ (kente) ของกานาเองก็เหมือนกัน - ผ้าไหมผลิตโดยชาวเอเชีย นำเข้าโดยชาวยุโรป ประเพณีนี้เคยเป็นนวัตกรรมในอดีต เราควรปฏิเสธมันตอนนี้ว่า "ไม่เป็นของแท้" ด้วยเหตุผลนั้นหรือเปล่า? เราจะต้องย้อนเวลากลับไปนานขนาดไหน? เราควรต่อว่าบัณฑิตหนุ่มสาวจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่กี่ไมล์นอกเมืองคูมาสี เพราะพวกเขาใส่เสื้อครุยแบบยุโรป ผูกแถบผ้าเก็นเต้เป็นริ้วๆ หรือไม่? วัฒนธรรมประกอบด้วยความต่อเนื่องและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ. อัตลักษณ์ของสังคมสามารถรอดพ้นความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้, สังคมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ "ของแท้" แต่เป็นสังคมที่ตายแล้วต่างหาก