|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้ หรือว่าเราจะมีตลาดการเมืองในอุดมคติ ?
Darksingha
จากเมื่อหลายวันก่อนผมได้ฟังผลโพลทางรายการข่าวในโทรทัศน์จากสำนักใดนั้นไม่แน่ใจนะครับ แต่ที่พบคือจากการสำรวจคนกรุงกว่า 70 % ตัดสินใจเลือกที่นโยบาย โหผมยิมในใจเลยครับว่าบ้านเราอย่างน้อยก็กรุงเทพฯใกล้จะมีตลาดปริวรรตสาธารณะในอย่างในอุดมคติแล้ว เพราะการเลือกตั้งถือเป็นตลาดปริวรรตสาธารณะ(Public Exchange Market) ตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญในหนังสือชื่อตามแนวคิดนั้นของ อาจารย์ รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ เล่ม 1 มองว่าตลาดการเมืองซึ่งในที่นี้คงไม่จำกัดเฉพาะการเลือกตั้ง เป็นตลาดปริวรรตสาธารณะ ที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน บริการการเมือง(Political Services) โดยที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้ซื้อ และนักการเมืองผู้ยึดกุมอำนาจการบริหารเป็นผู้ขายบริการทางการเมือง ซึ่งเป็นบริการผลิตความสุขในแก่ประชาชน นั่นคือมาจากนโยบาย ดังนั้นตลาดการเมืองจึงเป็นตลาดนโยบาย (Policy Market) โดย ณ ที่นี้นักการเมืองหรือผู้ผลิตนโยบายเสนอขายนโยบาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับคะแนนเสียงของประชาชนซึ่งเป็นผู้ซื้อนโยบาย ดังนั้นกระบวนการปริวรรต(Exchange Process) จะเป็นเช่นใดก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของตลาด หากตลาดไม่มีการแข่งขันสมบูรร์ประชาชนย่อมไม่ได้ประโยชน์จากกระบวนการปริวรรตในตลาดเท่าที่ควร และตลาดก็จะไม่สามารถผลิต บริการทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพได้ จะเห็นได้ว่าพรรคเล็กๆเราแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาสักเท่าไหร่ด้วยเช่นกัน
ส่วนตลาดการเมืองในอุดมคติ(Ideal Political)ก็อย่าที่กล่าวไว้คือเป็นตลาดที่ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนนโยบาย โดยนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเป็นผู้เสนอขายเมนูนโยบาย(Policy Manu) นั่นคือถ้าผลโพลถูกต้อง 70 % ของกรุงเทพมหานครเข้าสู่ภาวะอุดมคติของตลาดการเมืองตามแนวคิดดังกล่าว(ถ้าไม่มีความผิดพลาดอะไรในการวัดนะครับ) แต่ในความเป็นจริงถามว่าทำไมจึงมีการซื้อเสีย(ซึ่งผมคิดว่ายังไงผู้รับก็ไม่ผิด) เพราะความเสียเปรียบของประชาชนต่อนักการเมืองในตลาดเป็นผลมาจากปัจจัย 2 ปัจจัย ตามแนวคิดของ อาจารย์รังสรรค์ คือ ความไม่สมบูรณของสัญญา(Contract Incompleteness)และสภาวะความไม่แน่นอนทางการเมือง(Political Uncertainty)ครับ
เนื่องจากตลาดดังกล่าวสัญญาการซื้อขายมิใช่สัญญาโดยชัดเจ้งครับ(Explicit Contract)แต่เป็นสัญญาโดยนัย(Implicit Contract) เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกกหมายใดๆบัญญัติให้ต้องปฏิบัติตามที่สัญญาหรือนโยบายนั้นไว้โดยนัย ดังนั้นตลาดดังกล่าวจึงจึงไม่มีลายลักอักษรเป็นสัญญาโดยนัย จึงเป็นสัญญาที่ไม่สมบุรณ์ เพราะไม่มีการกำหนดสิทธิของผู้ซื้อและผู้ขายหรือผู้มิสิทธิเลือกตั้งกับนักการเมือง นั่นเอง ด้วยเหตุนี้การที่ลงคะแนนไปก่อนของประชาชนผู้มีสิทธิจึงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน 3 ระดับเป้นอย่างน้อย
คือระดับ 1 ความไม่แน่นอนที่นักการเมืองและพรรคที่เลือกอาจจะไม่ชนะเลือกตั้ง ถ้าไม่ได้รับเลือกก็ย่อหมดโอกาสที่จะส่งมอบนโยบายหรือบริการทางการเมือง ดังนั้นต่อให้พรรคเล็กนโยบายดีแค่ไหนหากประชาชนจะเลือกที่นโยบายก็คงคิดหนัก
ระดับ 2 คือนักการเมืองหรือพรรคที่เลือกอาจไม่มีโอกาสร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถึงชนะแต่นโยบายที่หาเสียงไว้ก็หมดโอกาสที่จะผลักดัน
ระดับ 3 คือต่อให้เป็นรัฐบาลแต่เขาก็อาจเบี้ยวสัญญา ก็เพราะสัญญามันไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นกลไกเดียวที่นักการเมืองจะส่งมอบนโยบายหาใช่กฏหมายไม่หากแต่เป็นชื่อเสียกิตติคุณเพื่อธำรงไว้ซึ่งตำแหน่งแห่งหนของตนในสังคมการเมือง มิฉนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไปหากใช้สมุติฐานดังกล่าวก็อาจปิ๋วได้
ความยากลำบากในการผลิตและสงมอบบริการทางการเมือง นักการเมืองที่เคยสัญญากับประชาชนโดยนโยบายเริ่มพบว่าการส่งมอบดังกล่าวเป็นเรื่องยาก และหากไม่ส่งมอบก็เป็นผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขา ดังนั้นแทนที่จะเสนอขายนโยบายในตลาดการเมืองกลับเสนอขายเงินในตลาดแทนเพราะเงินสามารถรักษาพันธสัญญาได้ง่ายกว่าการเสนอขายนโยบายและยังสอดคล้องกับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในสังคมไทย เงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อลื่นระบบความสัมพันธ์ดังกล่าว
แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาความสำเร็จในการส่งมอบนโยบาย ดังนั้นการเลือกตั้งที่จะมาถึงพรรคการเมืองแทยทั้งหมดจึงเสนอนโยบายที่ส่วนใหญ่โดนใจกลุ่มฐานลูกค้าใหญ่ไว้ก่อน(ดูนโยบายพรรค) ซึ่งหลายๆนโยบายออกแนวเดียวกัน (จนผู้มีหน้าที่เก็บเงินออกมาระดมความคิดว่าจะเอาอย่างไงกับงบประมาณ) ดังนั้นถ้าเหมือนๆกันแล้วจะเลือกที่อะไรครับ ถ้ามี 2 คนบอกว่าเย็นนี้ไปเอาตังที่บ้านแต่คนหนึ่งให้ตังเรามาก่อน ครึ่งหนึ่งแล้ว หรือว่าคนหนึ่งในนั้นเคยบอกให้ไปแล้วให้เงินจริง แต่ถ้าหากจะดูที่นโยบายจริงๆก็ต้องกลับมาถามว่าคนเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้หรือสิ่งที่เสียมากกว่ากัน จึงไม่แปลกว่าจะมีนโยบายพี่คนนี้นั้นมีแต่ให้ และหลายคนชูรัฐสวัสดิการโดยเฉพาะพรรคใหญ่ๆแต่กลับมาถามว่าถ้ารัฐสวัสดิการจริงคุณที่เป็นพรรคนายทุนยอมหรือครับที่จะต้องยอมถูกควักกระเป้ามาให้คนที่คุณอุตสาเบียดบังเอาส่วนเกินมา ก็คงได้ยินแต่คนร้องว่าพี่คนนี้นั้นมีแต่ให้.....
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2550 18:13:15 น. |
Counter : 2010 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: bench 19 พฤศจิกายน 2550 19:50:55 น. |
|
|
|
|
|
|
|