Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 

อำนาจตุลาการ คือจุดอ่อนของประชาธิปไตยไทย?


โดย ธงชัย วินิจจะกูล (มติชน วันที่ 18 กรกฎาคม 49)

- ทำไมการใช้การชุมนุมเดินขบวนเป็นมาตรการเด็ดขาดเพื่อกำจัดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้องมาแต่ต้น ?
- ทำไมการปฏิรูปการเมืองตามที่คิดกันอยู่ในขณะนี้จึงอาจพลาดเป้า ?

ตอบ เพราะตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหามาแต่ต้น แต่เรามองข้ามไป

ผู้เขียนขออธิบายตามลำดับเป็น 6 ส่วน ดังต่อไปนี้

1. หมดความชอบธรรม 3 ประเภท
สภาวะหมดความชอบธรรมของอำนาจบริหารมีอย่างน้อย 3 ประเภทหลัก คือ

ประเภทที่หนึ่ง นโยบาย อุดมการณ์ แนวคิด ไม่ได้รับการยอมรับ
ประเภทที่สอง ความนิยมเสื่อม ความน่าเชื่อถือหมดลง
ประเภทที่สาม กระทำความผิด (wrong doing)

มาตรการเพื่อตัดสินประเภทที่หนึ่งและสองคือการเลือกตั้งเท่านั้น ให้ประชาชนเป็นผู้ชี้ขาดว่านโยบายของรัฐบาลได้รับความยอมรับมากหรือน้อยกว่ากัน ความนิยมและความน่าเชื่อถือเสื่อมถอยลงขนาดไหน

ผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไร นั่นคือคำตัดสินของมหาชน เราอาจไม่เห็นด้วยแต่ต้องยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น
(ในที่นี้ถือเอาว่าการทุจริตในการเลือกตั้งมิได้มีมากมายหรือหนักหนาถึงขนาดมีนัยสำคัญต่อผลการเลือกตั้งโดยรวม)

ข้ออ้างว่า ประชาชนไม่ได้รับข่าวสาร ยังขาดการศึกษา ยังโง่อยู่ ล้วนเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น ต่อให้เป็นความจริงก็ตาม เพราะประชาธิปไตยคือระบอบการเมืองของคนส่วนใหญ่ (ไม่ว่าจะรู้ข่าวสารดีพอขนาดไหน โง่หรือฉลาดปานใด) ไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ให้อภิสิทธิ์แก่คนฉลาด ผู้มีการศึกษา หรือคนเมืองเหนือกว่าคนอื่นๆ ที่ด้อยการศึกษาหรือฉลาดน้อยกว่า
(ขอไม่อภิปรายว่า ประชาชนโง่แบบไหน ไม่รู้ข่าวสารจริงหรือไม่)

อย่าลืมว่า ข้ออ้างทำนองนี้เป็นเครื่องมือของอำนาจเผด็จการทุกยุคสมัย ที่จะยึดอำนาจไว้กับพวกของตนผู้อวดอ้างว่ารู้ดีกว่าฉลาดกว่าประชาชน ข้ออ้างพรรค์นี้ยังเป็นเหตุผลของการเซ็นเซอร์ปิดหูปิดตาประชาชนมาตลอดอีกด้วย

อย่าลืมว่า องค์กรภาคประชาชนเองโฆษณามาตลอดว่า ประชาชนฉลาด รู้ดีมีภูมิปัญญาชาวบ้านที่ชนชั้นกลางชาวเมืองไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง เพราะถูกครอบงำจากฝรั่ง มาคราวนี้ภาคประชาชนกลับดูถูกประชาชนเสียเอง และพึงพอใจกับมวลชนของตนซึ่งประกอบด้วยชนชั้นกลางและสูงในเมืองกับผู้ดีมีสกุลทั้งหลายเป็นกำลังสำคัญ

แต่หากอำนาจบริหารสูญเสียความชอบธรรมเพราะกระทำความผิด ใช้อำนาจในทางที่ผิด ต่อให้ได้รับการเลือกตั้งท่วมท้นถล่มทลาย ก็ไม่สามารถอาศัยคะแนนเสียงมากลบล้างการกระทำความผิดได้. สมมุติว่า พรรคการเมืองหนึ่งชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 100% แต่วันถัดมาพบว่าพรรคนั้นกระทำการทุจริต หรือใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมายหรือหัวหน้าพรรคไปฆ่าคนตายมาก่อนการเลือกตั้ง คะแนนเสียง 100% ก็ช่วยพรรคนั้นหรือหัวหน้าพรรคคนนั้นไม่ได้

โดยปกติ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลมักพยายามโมเมตีขลุมว่า ปัญหาที่ตนกำลังประสบเป็นสองประเภทแรกเท่านั้น จึงมักเรียกร้องให้ไปอภิปรายกันในสภา แล้วมักโมเมตีขลุมว่าการเลือกตั้งเป็นมาตรการตัดสินทุกกรณี เพื่อรวบหัวรวบหางกลบการกระทำความผิด ให้กลายเป็นเรื่องของความนิยมและความน่าเชื่อถือไปเสียหมด ทั้งๆ ที่เป็นการเสื่อมความชอบธรรมคนละประเภทกัน

แต่กระบวนการที่จะตัดสินว่า ฝ่ายบริหารกระทำความผิดจริงหรือไม่ คืออำนาจตุลาการตามกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น ประชาชนมีสิทธิป่าวร้องโฆษณาว่ารัฐกระทำความผิด การชุมนุมเดินขบวนอย่างสันติเพื่อป่าวร้องโฆษณาเช่นนั้นจึงเป็นสิทธิอันชอบธรรม การชุมนุมอาจส่งอิทธิพลต่อมติมหาชนและต่อปัจเจกชนผู้ทำหน้าที่ตุลาการ ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พึงกระทำได้

แต่การชุมนุมที่เป็นมาตรการเด็ดขาดในตัวเองเพื่อเอาชนะกำจัดรัฐบาล เท่ากับถือเอาการชุมนุมเป็นกระบวนการตัดสินความผิดของรัฐโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม ยิ่งการชุมนุมที่พยายามอาศัยอำนาจพิเศษมาจัดการกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยถือว่าตนรู้ดีกว่าฉลาดกว่าคนส่วนใหญ่ (ต่อให้เป็นความจริงก็เถอะ) ย่อมเป็นวิธีการที่ผิด

เพราะปฏิเสธทั้งกระบวนการยุติธรรม และเสียงของคนส่วนใหญ่ หันไปสู่ "อภิชนาธิปไตย" อันจะมีผลให้ประชาธิปไตยไทยตาถั่วเสียหายครั้งใหญ่หลวง

2. อำนาจตุลาการในระบบปาลิเมนต์
เราไม่ต้องการระบบการเมืองแบบประธานาธิบดีที่ประชาชนเลือกผู้นำฝ่ายบริหารโดยตรง และเลือกผู้แทนเข้าสภาเป็นอีกกระบวนการต่างหากจากกัน

ระบบปาลิเมนต์ของไทยเลือกผู้แทนเข้าสภา ฝ่ายบริหารมาจากผู้แทนในสภาอีกทอดหนึ่ง การแยกอำนาจบริหารกับสภาไม่เด็ดขาดจากกันอย่างในระบบแรก การตรวจสอบถ่วงดุลโดยสภาในระบบนี้จึงไม่แข็งแรงเท่าระบบแรก แต่เวลาเราคิดถึงระบบตรวจสอบถ่วงดุล เรากลับมักคาดหวังว่าสภาจะทำหน้าที่นี้ได้ดีตามแบบระบบประธานาธิบดี ผิดฝาผิดตัวเป็นประจำ

เพราะในระบบที่ฝ่ายบริหารและสภาต่างมาจากประชาชนโดยตรง สภาย่อมมีอำนาจ โอกาส และความชอบธรรมในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารเต็มที่ โดยมากพรรคที่ชนะในสภา กับพรรคที่ได้อำนาจบริหารจะเป็นคนละพรรคกัน ตัวอย่างเช่น ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา สภากับประธานาธิบดีมาจากคนละพรรคกันเป็นส่วนใหญ่ น้อยครั้งที่พรรคเดียวกันจะคุมอำนาจทั้งสองฝ่าย ประชาชนตั้งใจเลือกให้เป็นแบบนั้น

ในระบบนี้ ยังมีอำนาจตุลาการเป็นอีกกระบวนการต่างหากทั้งจากสภาและฝ่ายบริหาร ศาลหลายระดับในสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ศาลสูงของประเทศทุกระดับมาจากการยอมรับร่วมระหว่างฝ่ายบริหารและรัฐสภา

ระบบตรวจสอบและถ่วงดุลโดยสภา มีพื้นฐานมาจากอำนาจของแต่ละฝ่ายมีแหล่งที่มาคนละกระบวนการกัน ต่างมีแหล่งอ้างอิงความชอบธรรมของตนเอง

ในระบบปาลิเมนต์แบบที่ประเทศไทยใช้อยู่ ฝ่ายบริหารมาจากสภาเสมอ ตามหลักการแล้ว สภาจะไม่พยายามสั่นคลอนฝ่ายบริหาร ไม่มีบทบาทตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารแข็งขันอย่างในระบบแรกเพราะย่อมเป็นพวกพรรคเดียวกัน

ในประวัติศาสตร์สั้นๆ ของระบบปาลิเมนต์ของไทย เราไม่เคยมีพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเด็ดขาดจนกระทั่งพรรคไทยรักไทยนี่เอง ฝ่ายบริหารที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลผสมที่เปราะบาง แตกคอกันง่าย บ่อนเซาะกันเองก็มี ในขณะที่ฝ่ายค้านในสภา มักมีสัดส่วนใหญ่พอที่จะก่อปัญหาแก่ฝ่ายบริหาร บทบาทตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารโดยสภา จึงเกิดขึ้นได้ด้วยภาวะรัฐบาลผสมและฝ่ายค้านที่ใหญ่โตพอ แต่มิใช่ด้วยโครงสร้างตามระบบปาลิเมนต์

เราคาดหวังผิดๆ ว่าสภาต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลได้แข็งขัน เพราะเราเคยตัวกับรัฐบาลผสมตลอดมา จนเราลืมไปว่าตามโครงสร้างของระบบปาลิเมนต์นั้นสภากับฝ่ายบริหารเป็นพวกเดียวกัน

ในระบบปาลิเมนต์แบบนี้ มักออกแบบให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลได้สะดวก โดยไม่ขึ้นต่อจำนวนจนเกินไปนัก แต่ทว่าอำนาจหลักที่จะมาตรวจสอบฝ่ายบริหารมิให้กระทำการฉ้อฉล ใช้อำนาจในทางที่ผิด คือ สื่อมวลชน และอำนาจตุลาการ เรียกว่าเป็นระบบตรวจสอบ (accountability system) แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ถ่วงดุลแต่อย่างใด

ตามระบบนี้ จึงต้องออกแบบและสร้างกฎหมายรองรับการตรวจสอบโดยตรงจากประชาชนและสื่อมวลชนที่สะดวก ไม่ยากจนเกินไป และมีประสิทธิภาพ เช่น สิทธิในการเรียกข้อมูลข่าวสาร สิทธิในการรวมตัวฟ้องร้อง ยื่นเสนอกฎหมาย และถอดถอนบุคคลที่มีอำนาจการเมือง

ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ ตามระบบนี้อำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรมจะต้องพัฒนาให้ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจบริหารด้วย แต่มิใช่ตามกระบวนการทางการเมือง

ประชาธิปไตยแบบปาลิเมนต์ในหลายประเทศ เติบโตมาพร้อมกับการพัฒนากระบวนการยุติธรรมและระบบศาลที่เป็นอิสระ เข้มแข็ง ไม่ขึ้นต่อการเมือง เพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชนพึ่งพิง ตรวจสอบ ดำเนินคดีการใช้อำนาจรัฐฉ้อฉล

แต่ละประเทศพัฒนาระบบตรวจสอบที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ใช่ศาลตุลาการเสมอไป อาทิ คณะกรรมการเฉพาะกรณีเพื่อสอบสวนการกระทำความผิดของรัฐ (และสภา) โดยให้มีอำนาจในการสอบสวนสูงมาก สามารถเรียกเอกสารและบุคคลได้เต็มที่ เช่น ระบบ Royal Commission ในประเทศเครือจักรภพ (พระมหากษัตริย์มิได้ทรงเลือกคณะกรรมการหรือยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่เป็นแหล่งที่มาของอำนาจในการสอบสวน) ระบบ tribunal ในหลายประเทศ หรือผู้สอบสวนอิสระของรัฐสภาในสหรัฐอเมริกา ผู้สอบสวนสูงสุดเหล่านี้ไม่ใช่องค์กรอิสระถาวร มักมีขอบเขตอำนาจจำกัดเฉพาะกรณีและมักไม่มีอำนาจเป็นตุลาการเสียเอง แต่มีอำนาจฟ้องร้องต่อศาลสูง อำนาจตัดสินคดียังคงเป็นของตุลาการ

ฝ่ายตุลาการในระบอบประชาธิปไตยของไทยเป็นอย่างไร

3. อำนาจตุลาการไทยไม่ตรวจสอบรัฐ?
นับจาก 14 ตุลา 2516 จนถึงบัดนี้ สังคมไทยทุ่มเททรัพยากรและพลังมหาศาลลงไปกับการพัฒนารัฐสภาและการเลือกตั้ง หวังขจัดอำนาจเงินและผู้มีอิทธิพลที่จะแสวงประโยชน์ส่วนตัวจากอำนาจทางการเมือง หวังจะได้คนดีวิเศษเข้าสภา เราเขียนรัฐธรรมนูญหลายฉบับเพื่อแสวงหารัฐสภาและรัฐบาลแบบอุดมคติ
แต่เราลืมอำนาจตุลาการ!

เราลืมไปสนิทว่ากระบวนการยุติธรรมมีความสำคัญขนาดไหนในระบบปาลิเมนต์ เราไม่ได้คิดเลยว่า ต้องพัฒนาอำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นฐานของระบบตรวจสอบการใช้อำนาจฉ้อฉล แต่ทว่าจะต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมือง

มิได้หมายความว่า ตุลาการไทยไม่มีการพัฒนาเลยใน 30 ปีที่ผ่านมา เป็นความจริงว่าวงการตุลาการไทยได้บุคลากรระดับยอดเยี่ยมของสังคมเข้าไปเสริมสร้างความเข้มแข็งขึ้นมากตลอดมา แต่ผู้เขียนหมายความว่า สังคมไทยมิได้ให้ความสนใจถกเถียงทุ่มเทพัฒนาตุลาการ และกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐเท่าไรนัก ยกเว้นการสร้างศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ 2540

เราแทบไม่นึกถึงอำนาจตุลาการให้ทำหน้าที่นี้เลย เรานึกถึงแต่สภา

ในวิกฤตคราวนี้ชี้ให้เห็นเด่นชัดว่า ทั้งสองศาลที่เกิดขึ้นใหม่มีความสำคัญขนาดไหน แต่ทว่ายังขาดประสบการณ์อย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ อำนาจตุลาการของไทยไม่เคยมีประวัติว่าทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐสักเท่าไรเลย

ฝ่ายตุลาการถูกมองในเชิงลบว่าอาจเอื้อต่ออำนาจฝ่ายบริหาร มีจารีต ธรรมเนียม และวัฒนธรรมที่เอื้อรัฐมากกว่ารับใช้ประชาชน อาทิ การยอมรับประเทศและอำนาจอธรรมของระบอบเผด็จการทุกชุด และลงโทษผู้ที่ต่อสู้กับรัฐเผด็จการ มีผู้วิจัยพบว่า การตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐเหนือสิทธิของพลเมืองอยู่ในฟากรัฐเกินกว่า 90%

จารีตหรือวัฒนธรรมการใช้กฎหมายเพื่อรับใช้รัฐ เกี่ยวข้องกับประวัติการร่างกฎหมาย และโรงเรียนกฎหมายในประเทศไทยด้วย กล่าวคือ เราผลิต "เนติบริกร" มาแต่ไหนแต่ไร หมายความว่า เราผลิตนักเทคนิคทางกฎหมายที่ขาดความเข้าใจพลวัตของกฎหมายกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งๆ ที่ระบบตุลาการคือการผดุงความยุติธรรมในสังคมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

การปล่อยปละละเลยไม่ต่อสู้เพื่อพัฒนาฝ่ายตุลาการ ทั้งเรื่องระบบโครงสร้างการบริหาร ตลอดจนถึงวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย ตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติลงมาจนถึงโรงเรียนกฎหมายทุกระดับ หมายถึง อำนาจตุลาการไม่ได้รับการพัฒนาให้ทันกับภารกิจในระบอบประชาธิปไตยที่เปลี่ยนไปมหาศาลใน 30 ปีที่ผ่านมา

จึงไม่แปลกที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล จะลืมนึกถึงศาลแทบสนิท (ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีภารกิจเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงกว่าศาลอื่นๆ) จนกระทั่งมีพระราชดำรัสแก่คณะตุลาการเมื่อ 25 เมษายน 2549

4. สมควรมองข้ามอำนาจตุลาการและหลักการประชาธิปไตยหรือไม่?
ท่านทราบไหมว่า ท่ามกลางกระแสเปิดโปงความเลวร้ายของ "ระบอบทักษิณ" นับจากเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อปีที่แล้วจนถึงพันธมิตร ก่อน 25 เมษายนนั้น มีคดีฟ้องร้องเอาผิดกับรัฐบาล และนายกฯ ทักษิณกี่คดี?

ท่านทราบไหมว่า ท่ามกลางการกล่าวโทษเปิดโปงการขายหุ้นไม่เสียภาษีของนายกฯ มีใครไปฟ้องร้องเอาผิดหรือดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมบ้าง ?

ลองหาคำตอบแล้วท่านจะตกใจ

ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลใช้การชุมนุมเป็นมาตรการเด็ดขาด แต่กลับไม่สนใจกระบวนการยุติธรรมเลย ไม่กี่คดีที่มีอยู่ในศาล มิได้ริเริ่มโดยผู้นำของพันธมิตรเลยสักกรณีเดียว. ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามโมเมตีขลุมให้ปัญหาทุกอย่างตัดสินด้วยการเลือกตั้ง ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลรวบหัวรวบหางเอาปัญหาทุกอย่างมาตัดสินด้วยการชุมนุมแสดงพลัง แล้วหวังใช้อำนาจพิเศษเพื่อเอาชนะ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียอนาคตของระบอบประชาธิปไตย

ฝ่ายต่อต้านเองไม่เคยตระหนักว่า การกระทำความผิดของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยต้องตัดสินตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนเรื่องนโยบาย แนวคิด และความน่าเชื่อถือนั้น ต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง

ฝ่ายพันธมิตรอาจให้เหตุผลว่า ทุกอำนาจที่สามารถทัดทาน "ระบอบทักษิณ" ถูกซื้อไปหมดแล้ว หรืออยู่ใต้ความกลัวรัฐบาล จึงหวังพึ่งไม่ได้

ฝ่ายพันธมิตรอาจให้เหตุผลเพิ่มตามที่ผู้เขียนเองให้ไว้ข้างต้นว่า อำนาจตุลาการไทยถูกเข้าใจว่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับอำนาจรัฐฉ้อฉล จึงไม่มีความเชื่อถือศรัทธาพอ (ในความเป็นจริงผู้เขียนเชื่อว่าฝ่ายพันธมิตรมิได้คิดข้อนี้เลย เพราะเขาไม่สนใจอำนาจตุลาการ ไม่สนใจประวัติศาสตร์ และไม่สนใจหลักการของระบอบประชาธิปไตย)

เหตุผลทั้งสองประการมีมูลอยู่ แต่เป็นเหตุผลเพียงพอหรือที่จะใช้การชุมนุมเดินขบวนตัดสินการกระทำความผิดของรัฐแทนกระบวนการยุติธรรม ?

มีความจำเป็นขนาดไหนที่จะต้องต่อสู้กับอำนาจฉ้อฉลด้วยพลังของชนชั้นอภิสิทธิ์ และด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ?

เหตุผลทั้งสองประการเพียงพอที่จะมองข้ามการต่อสู้เพื่อพัฒนาอำนาจตุลาการเชียวหรือ ?

มีตัวอย่างมากมายชี้ว่า อำนาจตุลาการมิได้ย่ำแย่ขนาดพึ่งไม่ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ผลักดันให้ตุลาการแสดงบทบาท และขึ้นอยู่กับการทำสำนวนฟ้องและตีความกฎหมาย

เอาเข้าจริงอำนาจตุลาการหวังพึ่งไม่ได้หรือฝ่ายพันธมิตรเองมักง่าย ต้องการเอาชนะจนไม่สนใจหลักการใดๆ ทั้งสิ้น ?

ฝ่ายพันธมิตรเองตระหนักข้อนี้หลัง 25 เมษายน (แต่กลับ "ใช้" อำนาจตุลาการในทางที่ถูกตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่อยู่ดี - ดังจะกล่าวต่อไป)

ฝ่ายพันธมิตรมักให้เหตุผลอีกชุดว่า สถานการณ์ในวิกฤตคราวนี้เป็นกรณีพิเศษของประเทศไทย จึงต้องใช้มาตรการพิเศษ (ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย) จะมัวอาศัยช่องทางตามกระบวนการปกติไม่ได้ สถานการณ์พิเศษตามที่ฝ่ายต่อต้านมักกล่าวอ้าง ได้แก่ ความเลวร้ายของ "ระบอบทักษิณ" ราวกับประเทศไทยจะถูกธรณีสูบจนมอดไหม้หากปล่อยให้ "ระบอบทักษิณ" ดำรงอยู่นานขึ้นอีกวัน

ผู้เขียนยอมรับว่า การประเมินความเลวร้ายของระบอบที่ฉ้อฉลเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินชัดเจนได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ เพราะข้อมูลท่วมหัวก็ยังขึ้นอยู่กับการประเมินตามจริตวิสัยของแต่ละคน และขึ้นอยู่กับการโฆษณาชวนเชื่อจากทุกฝ่าย ผู้เขียนคงทำได้เพียงฝากให้คิดสัก 3-4 ข้อเพื่อประกอบการประเมินความหายนะอันเกิดจากระบอบทักษิณ ดังต่อไปนี้

1. ทำไมฝ่ายต่อต้านทักษิณจึงไม่รู้สึกถึงหายนะนี้ตั้งแต่คราวที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,000 คน จากการ "ฆ่าตัดตอน" อันเนื่องมาจากมาตรการปราบยาเสพติด?

2. ทำไมฝ่ายต่อต้านทักษิณจึงไม่รู้สึกถึงหายนะ ตั้งแต่คราวที่มีผู้เสียชีวิตมากมายจากความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งกว่า 70 คนที่ตายในรถบรรทุกในโศกนาฏกรรมที่ตากใบ?

3. ทำไมฝ่ายต่อต้านจึงเพิ่งรู้สึกว่าประเทศไทยหายนะแน่หลังจากกรณีขายหุ้นอื้อฉาวโดยไม่เสียภาษี? ถ้ากว่า 2,000 ชีวิตไม่ใช่หายนะ ทำไมภาษีหลายพันล้านที่เก็บไม่ได้จึงเป็นหายนะ?

4. ท่านคิดว่า "ระบอบทักษิณ" ก่อหายนะเท่ากับมาร์คอสและซูฮาร์โตหรือไม่?

ผู้เขียนขอตอบข้อ 4 ว่า ยังห่างไกลลิบลับ และขอเสริมว่า การมุ่งเอาชนะอย่างปราศจากหลักการจนบานปลายเป็นความมั่วเละเทะ เป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์พิเศษที่เลวร้ายอยู่ในขณะนี้. สถานการณ์พิเศษแบบไหนกันถึงขนาดจำเป็นต้องใช้ความมั่ว ทิ้งหลักการและกระบวนการยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตย?

หรือว่าขบวนการสนธิและฝ่ายพันธมิตรเองยึดมั่นผิดๆ มาแต่แรก ว่าจะใช้การชุมนุมเป็นมาตรการเพื่อเอาชนะและใช้อำนาจพิเศษเป็นทางออก จึงต้องสร้างปีศาจขึ้นมาเกินความจริง เพื่ออธิบายว่าเป็นสถานการณ์พิเศษ เพียงเพื่อให้ความชอบธรรมแก่การยึดมั่นผิดๆ ของตนเองแต่ต้น

สถานการณ์พิเศษมิใช่เหตุนำไปสู่มาตรการพิเศษ

แต่การยึดมั่นผิดๆ กับมาตรการพิเศษแต่ต้นต่างหาก เป็นที่มาของการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องสถานการณ์พิเศษ

เหตุผลทั้งหลายเป็นแค่ข้ออ้างให้ความชอบธรรมแก่วิถีทางต่อสู้ผิดๆ ของตนมาแต่ต้น (อย่าลืมว่าขบวนการสนธิปักใจกับการต่อสู้เพื่อถวายพระราชอำนาจคืนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หลายเดือนก่อนกรณีขายหุ้นของทักษิณ)

ข้ออ้างเพื่อละเลยหลักการ คือ การละเมิดหลักการที่ปะหน้าทาแป้งให้ดูดีขึ้นแค่นั้นเอง

5. บทบาทขาดๆ เกินๆ ของฝ่ายตุลาการ ?
ครั้นพระราชดำรัสแก่คณะตุลาการเมื่อ 25 เมษายน กระตุ้นให้วงการตุลาการแสดงบทบาทของตนเพื่อขจัดปัญหา ทั้งฝ่ายพันธมิตรและวงการตุลาการกลับเผชิญปัญหาหนักเข้าไปอีก กล่าวคือ แทนที่จะวินิจฉัยการกระทำความผิดของรัฐบาล อันเป็นมูลเหตุของปัญหาทั้งหมด

กลับไปสะสางปัญหาอันเกิดจากการเลือกตั้ง และการชิงไหวพริบกันทางการเมืองของทั้งสองขั้วคู่ขัดแย้ง

มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปฏิเสธเสียงของประชาชนในการเลือกตั้ง โดยอาจไม่มีหลักฐานชี้ชัดแต่อย่างใดว่าคูหาเจ้าปัญหา ส่งผลต่อการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญอย่างไร

มีคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งหลายร้อยคดี มีคดีฟ้องกันไปมาข้อหาหมิ่นประมาทหลายสิบคดี แต่คดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายกฯ หรือรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งกลับมีอยู่ไม่กี่คดีตามเดิม

ฝ่ายพันธมิตรใช้อำนาจตุลาการจัดการปัญหาการเมือง แต่ยังคงละเลยอำนาจตุลาการในการตรวจสอบการกระทำความผิดของรัฐ ขณะที่วงการตุลาการซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการตรวจสอบฝ่ายบริหารเท่าใดนัก จนถูกนักวิชาการด้านกฎหมายวิจารณ์และท้วงติงว่า ระวังจะเผอเรอแสดงบทบาทเกินขอบเขตของตน

ตุลาการมีอำนาจสูง คำตัดสินถือเป็นสิ้นสุด ทุกฝ่ายยังคงต้องยอมรับคำตัดสินของศาลด้วยเหตุนี้ อำนาจตุลาการทุกแห่งในโลกจึงถูกจำกัดอำนาจไว้อีกแบบ คือ มีอำนาจตัดสินตามคดีที่มีการฟ้องร้องกันขึ้นมาเท่านั้น

เกิดคำถามที่น่าพิจารณาว่า ตุลาการมีหน้าที่จัดประชุมเพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองผ่านสื่อมวลชนในฐานะอำนาจฝ่ายตุลาการหรือไม่ และควรมีขอบเขตเพียงใด การแสดงความเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งๆ ย่อมกระทำได้ แต่ในฐานะผู้ใช้อำนาจตุลาการควรมีหน้าที่วินิจฉัยคดีที่มาสู่ศาลเท่านั้นหรือไม่

ผู้ใดเห็นว่ารัฐบาลใช้อำนาจในทางที่ผิด กระทำความผิด ก็สมควรที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีเอากับรัฐบาลหรือนายกฯ ตุลาการใช้อำนาจตัดสินไปตามกฎหมายตามคดีที่มีขึ้นมา

ตุลาการไม่ควรออกมาแถลงความเห็นทางการเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคดีความในศาลใช่หรือไม่?

ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากในฝ่ายพันธมิตรกำลังฝากความหวังกับอำนาจตุลาการ แต่การแสดงออกของวงการตุลาการกลับมีผู้มองด้วยความห่วงใยว่า มีประสบการณ์เพียงพอหรือไม่กับบทบาทในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร

มีแต่ขาดๆ กับเกินๆ หรือไม่ ???

ฝ่ายพันธมิตรก็ยังคงขาดความเคารพต่ออำนาจตุลาการเช่นเดิม เห็นเป็นแค่เครื่องมือเอาชนะคู่ต่อสู้ อาศัยศาลในการพันตูทางการเมือง แต่ยังคงมองไม่เห็นความสำคัญของอำนาจตุลาการในฐานะอำนาจต่างหาก เพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหารตามกระบวนการประชาธิปไตยแบบปาลิเมนต์

ทั้งวงการตุลาการและสาธารณชนไม่เคยตั้งคำถามว่า ทำไมฝ่ายตุลาการจึงไม่แสดงบทบาทด้วยการเร่งคดีที่เกี่ยวข้องโดยไม่ต้องรอพระราชดำรัส ?

ทั้งหมดนี้สะท้อนการพัฒนาของอำนาจตุลาการของไทย ? และอำนาจตุลาการได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหามาแต่ต้น ?

6. ปฏิรูปประชาธิปไตยไทยที่อำนาจตุลาการ
ผู้อ่านหลายท่านอาจเข้าใจผิดว่าผู้เขียนเชียร์ทักษิณ. ภาวะแยกขั้ว มักทำให้คนที่เลือกข้างทั้งสองขั้วไม่สามารถเข้าใจอะไรได้โดยไม่ชี้ชัดว่าพวกเรา หรือพวกมัน. คนเหล่านี้เกลียดบุช แต่คิดไม่ต่างจากบุช

บทความนี้เขียนขึ้นด้วยความห่วงใยเพียงประการเดียว นั่นคือ เราไม่พึงต่อสู้กับการกระทำความผิดด้วยการทำผิดๆ หนักเข้าไปอีก ผู้เขียนขอย้ำอีกครั้ง (ครั้งแรกเมื่อกันยายน 2548 อีกครั้งเมื่อตุลาคม 2548) ว่าการต่อสู้กับรัฐซึ่งใช้อำนาจในทางที่ผิดไม่ควรใช้วิธีการผิดๆ

- เพราะ ผิด + ไม่ถูก จะกลายเป็นถูกไปได้อย่างไรกัน
- ผิด + ไม่ถูก = มั่ว คือการทำร้ายประชาธิปไตยซ้ำสอง

หลายเดือนที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า การต่อสู้กับอำนาจที่ฉ้อฉลด้วยวิธีการผิดๆ ฉุดรั้งประชาธิปไตยจนอาการเพียบ จนการเมืองน่าเอือมระอา และคงอีกหลายปีกว่าจะฟื้นตัว

วิกฤตคราวนี้ช่วยให้เราเห็นปัญหาที่แฝงตัวอยู่เงียบๆ มานานหลายสิบปี

ทำอย่างไรจะให้อำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรม สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนในการต่อสู้กับอำนาจรัฐฉ้อฉลได้ ถ้าไม่ได้ก็อย่าคาดหวังถึงการปฏิรูปการเมืองเลย

แต่การพัฒนาอำนาจตุลาการเป็นเรื่องใหญ่โตมาก กินความรวมทั้งศาลและกลไกอื่นๆ ในกระบวนการยุติธรรม การจะพัฒนาให้มีความกล้าความสามารถตรวจสอบอำนาจบริหาร และให้สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้สะดวก คงต้องใช้เวลาไม่น้อยไปกว่าที่เราทุ่มเทลงไปกับการพัฒนาสภาและการเลือกตั้งที่ผ่านมา

และคงไม่ใช่แค่การพัฒนาอย่างราบๆ เรียบๆ ตามระบบราชการ
แต่ต้องรวมถึงการต่อสู้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของวงการตุลาการอย่างถึงราก




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2550
5 comments
Last Update : 22 สิงหาคม 2550 18:47:21 น.
Counter : 1314 Pageviews.

 

ต้องนับว่าบทความนี้ทำให้ผมตาสว่างขึ้นมา..ขอบคุณinthedarkครับ

 

โดย: ขามเรียง 29 สิงหาคม 2550 21:19:11 น.  

 

ขอถาม...เป็นสิงห์ดำ หรือเป็นสิงห์ในเงามืดครับ?

 

โดย: ขามเรียง 29 สิงหาคม 2550 21:20:55 น.  

 

ในสองสิ่งที่ไม่พึงจะต้องการมี ย่อมมีช่องว่างตรงรอยต่อ
และคือสิ่งที่เรียกว่า ความว่าง(มันมีอยู่มันจึงมีชื่อเรียกได้)

มองเข้าไปอีก ยังสงสัยอีก คือระหว่างสิ่งที่อยู่ชิดกับความว่าง ตรงนั้น มันจะถูกเรียกว่าอะไร ยังต้องการตรงนี้หรือไม่?

 

โดย: ขามเรียง 29 สิงหาคม 2550 21:46:34 น.  

 

แล้วแต่ขามเรียง จะให้นิยามแหละครับ

 

โดย: Darksingha 31 สิงหาคม 2550 12:59:28 น.  

 

ยอดเยี่ยม

 

โดย: Oh แม่เจ้า IP: 58.9.122.7 16 กุมภาพันธ์ 2555 18:34:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.