Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
29 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน : กุญแจกระจายอำนาจการบริหารจัดการท้องถิ่น



14 มิถุนายน 2550
เรื่องโดย : โอฬาร อ่องฬะ คณะทำงานศึกษาแนวทางการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วม





เป็นระยะเวลาประมาณเกือบอาทิตย์มาแล้ว ที่กระแสข่าวทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ทีวี ต่างๆ ได้นำเสนอมุมมอง ทัศนะของหลายๆภาคส่วน ต่อประเด็นของ ร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... ท่ามกลางความขัดแย้งในแนวคิดจากสองส่วนใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดในส่วนของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ที่เสนอความคิดที่แตกต่างผ่านรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) กับแนวคิดของทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ผ่านมุมมองในการนำเสนอของตัวแทนของตัวแทนผู้นำองค์กรชุมชนรวมถึงองค์กรชาวบ้านที่มีรูปแบบการทำงานเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบต่างๆ

เมื่อย้อนมองกับมาต่อแนวทางในการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการท้องถิ่น ก็จะพบว่ามุมมอง ข้อคิดเห็นต่างๆที่ปรากฏมานั้นเป็นการแสดงทัศนะ วิวาทะมิติทางโครงสร้างอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น การอธิบายถึงความยุ่งยาก ทับซ้อน ในการปกครองในระดับท้องถิ่น การแทรกแซงบทบาทของ อปท. ฯลฯ ในขณะที่องค์กรชุมชน ผู้นำชาวบ้าน ได้อธิบายแนวคิด วิวาทะในการนำเสนอทางเลือก กระบวนการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการท้องถิ่น การวางแผนพัฒนาท้องถิ่น การหนุนเสริมการทำงานในรูปแบบภาคีท้องถิ่น ผ่านแนวทางประชาธิปไตยทางตรง หรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

จากบทเรียนและประสบการณ์ของผมและเพื่อนๆอีกหลายคนที่มีโอกาสเข้าไปเป็นสมาชิกสภา อบต. คณะกรรมการพัฒนาตำบล หรือ ตำแหน่งในฝ่ายบริหารไม่ว่าจะเป็น นายก อบต. รองนายก อบต. รวมไปถึงเป็นตัวแทนประชาคมหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือแม้กระทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวบ้านที่ผ่านกลไกการเลือกตั้ง หรือประชาธิปไตยแบบตัวแทน และได้รวมตัวกันเป็นเครือข่ายเล็กๆ เพื่อเป็นกลไกการทำงานในการตอบสนองแนวทางในการแก้ไขปัญหาของชุมชน เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิเคราะห์การทำงาน ปรากฏการณ์ เงื่อนไข ข้อจำกัดที่ค้นพบในการการบริหารจัดการและการปกครองท้องถิ่น

สิ่งที่ทางเครือข่ายค้นพบจากการแลกเปลี่ยนพูดคุย จัดเวทีวิเคราะห์ข้อมูล การสัมภาษณ์ กระบวนการกลุ่มย่อยต่างๆนั้น พบว่าถึงแม้ทิศทาง แนวทางในการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการท้องถิ่น และการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับ อปท.จะปรากฏอยู่บ้างในเชิงของโครงสร้างรูปแบบตามกฎหมาย

แต่ทว่าในแง่ของความจริงที่ปรากฏ ในการบริหารจัดการและการปกครองท้องถิ่น รวมถึงการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับ อปท.กลับมีเงื่อนไขข้อจำกัด ความซับซ้อนในหลายๆประการด้วยกัน เช่น

ประการที่ 1. ความเป็นอิสระของ อปท.ในการบริหารจัดการท้องถิ่น ได้ถูกกำกับจากทิศทางของกระทรวงมหาดไทยโดยการสร้างเงื่อนไขทางกฎหมาย โดยออก พ.ร.บ.ต่างๆขึ้นมากำกับและควบคุม อปท. เช่น พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล 2537 แก้ไข ปี 2546 ในส่วนที่ 5 ว่าด้วย “การกำกับดูแลองค์การบริหารส่วนตำบล”

“มาตรา 90 ให้นายอำเภอมีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทางราชการในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอตามวรรคหนึ่ง ให้นายอำเภอมีอำนาจเรียกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล พนักงานส่วนตำบล และลูกจ้างขององค์การบริหารส่วนตำบลมาชี้แจงหรือสอบสวน ตลอดจนเรียกรายงานและเอกสารใดๆ จากองค์การบริหารส่วนตำบลมาตรวจสอบก็ได้ เมื่อนายอำเภอเห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบลผู้ใดปฏิบัติการในทางที่อาจเป็นการเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลหรือเสียหายแก่ราชการและนายอำเภอได้ชี้แจงแนะนำตักเตือนแล้วไม่ปฏิบัติตาม ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนที่จะรอช้ามิได้ให้นายอำเภอมีอำนาจออกคำสั่งระงับการปฏิบัติราชการของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลไว้ตามที่เห็นสมควรได้แล้วให้รีบรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดทราบภายในสิบห้าวันเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยสั่งการตามที่เห็นสมควรโดยเร็ว การกระทำของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลที่ฝ่าฝืนคำสั่งของนายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วแต่กรณีตามวรรคสาม ไม่มีผลผูกพันองค์การบริหารส่วนตำบล”

“มาตรา 91 เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม นายอำเภอจะรายงานเสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบลก็ได้เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่งหรือกรณีอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและให้แสดงเหตุผลไว้ในคำสั่งด้วยเมื่อมีการยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือถือว่ามีการยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลขึ้นใหม่”

จะเห็นว่าแค่เฉพาะในมาตราที่ 90 และ 91 ของ พ.ร.บ. นี้ ได้ให้อำนาจแฝงไปอยู่ที่อำนาจของการบริหารราชการส่วนภูมิภาค เช่น อำเภอ จังหวัด ในการควบคุม กำกับ บังคับ อปท.ซึ่งมีลักษณะความสำคัญในแง่ของจิตวิทยาในท้องถิ่นที่ให้อำนาจชี้ขาด หรือให้คุณ ให้โทษได้ถ้าไม่ได้ตอบสนองอำนาจและความต้องการของผู้มีอำนาจ หรือภาษาที่ใช้ในวงการคือ “การขอความร่วมมือ”

ทั้งๆที่ อปท.อยู่ภายใต้แนวทางการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น (อบต. อบจ. เทศบาล กรุงเทพ และ พัทยา) ในมาตรา 43 แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล 2537 แก้ไข ปี 2546 ได้กล่าวไว้ว่า “องค์การบริหารส่วนตำบลมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น”และ เมื่อพิจารณาถึงการตั้งจัดองค์การบริหารส่วนตำบล ตามมาตราที่ 41 จัตวา แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล 2537 แก้ไข ปี 2546 “ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการประกาศยุบสภาตำบลทั้งหมดและองค์การบริหารส่วนตำบลใดที่มีจำนวนประชากรไม่ถึงสองพันคน โดยให้รวมพื้นที่เข้ากับองค์การบริหารส่วนตำบลอื่นหรือหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่มีเขตติดต่อกันภายในเขตอำเภอเดียวกันภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว การรวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหรือหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ใดตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนในเขตตำบลนั้น”

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่ากว่าที่จะจัดตั้ง เปลี่ยนสถานะจากสภาตำบลมาเป็น อบต.ได้นั้น จะต้องใช้มติ ความเห็นชอบจากประชาชน องค์กรชุมชน ในตำบลนั้นๆ แต่ เมือมาวิเคราะห์ การควบคุม จัดการ หรือ แม้แต่ยุบ อบต.ก็ไม่ปรากฏว่ามีกลไกของชุมชนในกระบวนการดังกล่าวเลย

ประการที่ 2. เมื่อมองประเด็นในช่องทางในการในการมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนา ภายใต้ พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล 2537 แก้ไข ปี 2546 ในมาตรา 69/1 การปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของ อบต.ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนา อบต. การจัดทำงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบ การประเมิน ผลการปฏิบัติงาน และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับว่าด้วยการนั้น และหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด

จากเนื้อหาดังกล่าวนั้น ทำให้กระบวนการทำงานขององค์กรชุมชน เสมือนว่าได้มีพื้นที่ในการเข้าไปหนุนเสริมกระบวนการในการทำงาน และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการท้องถิ่นแล้ว ความจริงที่พบคือ “ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับว่าด้วยการนั้น และหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด” สิ่งที่กระทรวงมหาดไทยใช้มาเป็นระเบียบตามมาตรา ที่ 69/1 คือ ระเบียบมหาดไทย “ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548” ชื่อระเบียบ ก็บอกชัดเจนแล้วว่าเป็น ระเบียบมหาดไทย ไม่ใช้ระเบียบที่มาจากการกำหนดเองของท้องถิ่น ในเนื้อหาระเบียบดังกล่าวนี้ได้ให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นด้วยกัน คือ

1) โครงสร้างคณะกรรมการที่จำแนกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

- คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น เป็นโครงสร้างที่มีมาจากการคัดเลือกโดยมาจากนายยก อบต.เสนอจากการคัดสรรภายในสมาชิกสภา อบต. มาจากการผู้ทรงคุณวุฒิ และตัวแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาคม ทำหน้าที่กำหนดแนวทางในการพัฒนาท้องถิ่น ดูแผนงานกิจกรรมให้สอดคล้องกับนโยบาย

- คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น จะเป็นเจ้าหน้าที่ใน อบต. เช่น ปลัด อบต. เจ้าหน้าที่การคลัง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ทำหน้าที่รวบรวมแผนจากเวทีประชาคมในหมู่บ้าน ตำบล

- คณะกรรมการติดตามประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น มาจากการเสนอของนายก อบต. มาจากสภา อบต. และตัวแทนจ้าหน้าที่ใน อบต. รวมถึงตัวแทนประชาคม ทำหน้าที่ กำหนดแนวทางการประเมินผล ติดตามประเมินผล และรายงานต่อผู้บริหาร สภา และ ประชาชน

ดังนั้น ประเด็นต่อโครงสร้างคณะกรรมการเหล่านี้ก็จะพบว่าสัดส่วนขององค์กรชาวบ้านในการเข้าไปจัดทำแผนในระดับท้องถิ่นแทบไม่มีช่องว่างให้กลไกองค์กรชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วม หนุนเสริม ติดตามเลย

2) คำนิยาม“แผนยุทธศาสตร์การพัฒนา”หมายความว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ อปท.ที่กำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาของ อปท.ซึ่งแสดงถึงวิสัยทัศน์พันธกิจ และจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาในอนาคต โดยสอดคล้องกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด อำเภอ และแผนชุมชน

ดังนั้น นิยามของแผนฯ จึงมุ่งเน้นที่การยึดเอาแผนยุทธ์ศาสตร์ในระดับนโยบายและระดับจังหวัดมาเป็นแม่แบบในการวางแผนพัฒนาตำบลโดยไม่สอดคล้องกับเงื่อนไข บริบท วัฒนธรรมที่แตกต่างและหลากหลายในแต่ละตำบล

3) กระบวนการจัดทำแผน มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในมิติประชาคม ในระยะหลังประชาคมกลับกลายเป็นเงือนไขที่ถูกกำกับโดยกระทรวงมหาดไทย มิได้มีความหมายในการเป็นเวทีกลไกการทำงานที่เป็นลักษณะการมีส่วนร่วม แต่กลับกลายเป็นลักษณะปัจเจกบุคคลที่ทำหน้าที่ 2 ลักษณะ คือ 1.เปิดซองประมูลโครงการของ อปท. และตรวจรับการจ้าง คล้ายๆกับกับเป็นตรายางประทับ ให้กับการจัดจ้างในโครงการต่างๆ และ 2. เป็นการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจ ความขัดแย้งในท้องถิ่น

ดังนั้น กลไกเวทีประชาคมจึงมีข้อจำกัดและเนื้อหา การมีส่วนร่วมของประชาคมก็มีแค่ในขั้นตอนแรก คือ เสนอปัญหาความต้องการว่าจะเอาอะไร เท่านั้น แต่กระบวนการในการจัดทำแผน จำเป็นต้องมีกระบวนการมีส่วนร่วมมากกว่า ทั้งการวิเคราะห์ ทบทวน ต้นทุน เชื่อมโยงกระบวนการทำงาน ฯลฯ

พ.ร.บ.การกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ พ.ศ. 2542 ได้ให้น้ำหนักเนื้อหาในการกระจายอำนาจในประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี รายได้ในท้องถิ่น และมุ่งเน้นที่ถ่ายโอนภารกิจให้กับท้องถิ่น โดยต้องถ่ายโอนภารกิจทั้งหมด 250 ภารกิจให้แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ.2550 ทำให้ อปท.ตกอยู่ในสภาวะที่ตั้งตัวเพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจต่างๆไม่ทันและขาดประสิทธิภาพ ในขณะที่แผนกระจายอำนาจดังกล่าวฯไม่ได้มุ่งเน้นในการพัฒนาศักยภาพ อปท.ในการรองรับทิศทางการกระจายอำนาจเลย

ในขณะที่การจัดสรรงบประมาณรายได้ ที่ทางรัฐบาลต้องให้เงินอุดหนุน อปท. 35 % ในปี 2549 (ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ) แต่ในที่สุดกลับเหลือเพียงแค่ 24.1% (ปี 2549) เท่านั้น แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับแก้แนวทางของแผนขั้นตอนการกระจายในด้านงบประมาณโดยที่รัฐจะต้องอุดหนุนให้กับ อปท.ไว้ที่ 35 % แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการให้เงินอุดหนุนให้ชัดเจน

ประการที่ 3.ความบอบช้ำจากการถูกแทรกแซง จากการเมืองในระดับภูมิภาค ชาติ กลุ่มทุนทั้งในระดับท้องถิ่น การเมืองจากส่วนกลาง นักการเมือง ได้เข้ามาแทรกแซง ควบคุมกลไกภายในของอปท.ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการส่งผู้แทนของตนเองลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น หรือการสร้างระบบอุปถัมภ์แบบใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับและแสวงหาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มทุนของตนเอง

จากประเด็นที่วิเคราะห์ดังกล่าวนั้นเองทำให้เห็นว่า อปท.ก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความพยายามในการปลดล็อคปลดปล่อยตนเองเพื่อให้เป็นอิสระ( Autonomy) ในการบริหารจัดการ ทั้งการตัดสินใจ การจัดการงบประมาณ การมีศักดิ์ศรีเป็นของตนเอง ก็เป็นเรื่องยากที่จะผลักดัน เปลี่ยนแปลงต่อสู้กับระบบมหาดไทย ในขณะที่แนวทางในการต่ออายุให้กำนันผู้ใหญ่บ้านให้ถึง 60 ปี ก็เกิดความขัดแย้งระหว่าง อปท.กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการล้ำเส้นบทบาท หน้าที่ การช่วงชิงการนำในระดับพื้นที่ ที่เป็นลักษณะโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจในท้องถิ่น ก็ปรากฏอยู่เสมอๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทิศทางการกระจายอำนาจในการปกครองท้องถิ่น (Local Government) รวมถึงบริหารจัดการท้องถิ่น (Local Governance) จึงมิได้มุ่งเน้นเฉพาะทางใดทางหนึ่งในการกระจายอำนาจเท่านั้น แต่หากต้องกระจายไปสู่ภาคส่วนต่างๆในสังคม ชุมชน ในการกำหนดชะตากรรมของท้องถิ่นร่วมกันด้วย เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิชุมชน การจัดการระบบน้ำและเหมืองฝาย

ในขณะที่แนวทางการผลักดันการมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชนในส่วนต่างๆก็ได้พยายามที่จะเสนอแนวคิดผ่านในรูปแบบของ ร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน..... ซึ่งมีหลักคิดที่มองว่าชุมชนเป็นสังคมฐานรากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมแตกต่างหลากหลายตามภูมินิเวศน์ การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชุมชนอ่อนแอ ประสบปัญหาความยากจน เกิดปัญหาสังคมมากขึ้น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนถูกทำลายจนเสื่อมโทรม

เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ การสร้างระบอบประชาธิปไตยและประชาชนให้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นตามความหลากหลายของวิถีชีวิต วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของท้องถิ่น จึงสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาตำบล แผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในระดับประเทศบทเรียนจากกระบวนการทำงานร่วมกับท้องถิ่น และที่สำคัญจะเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ได้อย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ

ในมาตราที่ 19 ของร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ... นี้เองได้อธิบายบทบาทหน้าที่ของสภาองค์กรชุมชนในระดับตำบล ว่ามีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน (2) เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาตำบล เพื่อพัฒนาท้องถิ่น (3) ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองรวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต การเมืองและสิ่งแวดล้อม

(4) จัดให้มีเวทีสมัชชาชุมชนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ความคิดเห็นต่อการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่มีผลหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นผู้ดำเนินการหรือเป็นผู้อนุญาตให้ภาคเอกชนดำเนินการต้องนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย (5) ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรชุมชนในตำบลเกิดความเข้มแข็งจนสามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน (6) ประสานและร่วมมือกับสภาองค์กรชุมชนตำบลอื่น สภาองค์กรชุมชนจังหวัด และสภาองค์กรชุมชนแห่งชาติ

(7) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ดำเนินการอยู่ในตำบล รวมทั้งตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (8) วางระเบียบและข้อบังคับในการดำเนินกิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบล (9) จัดทำรายงานประจำปีของสภาองค์กรชุมชนตำบล รวมถึงสถานการณ์ชุมชนตำบลด้านต่างๆ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบ (10) เสนอรายชื่อสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลให้เป็นสมาชิกสภาองค์กรชุมชนจังหวัด จำนวนไม่เกินสองคน (11) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่สภาองค์กรชุมชนแห่งชาติ และสภาองค์กรชุมชนจังหวัดมอบหมาย

จะเห็นได้ว่า ทั้ง 11 ประการ ที่เป็นบทบาทหน้าที่ของสภาองค์กรชุมชน มีลักษณะการเข้าไปหนุนเสริมกระบวนการทำงานในระดับท้องถิ่นร่วมกับ อปท. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้อย่างมีเหตุมีผล และไม่มีลักษณะการจัดการเชิงอำนาจที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ในทางกลับกัน ร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ…...นี้เองจะเป็นโอกาสที่จะนำไปสู่การปลดล็อคอีกแบบหนึ่ง ให้ อปท.สามารถมีอิสระในบริหารจัดการตนเอง การวางแผนพัฒนาในระดับท้องถิ่น/ตำบล การสร้างกลไกภาคีในการจัดการท้องถิ่นนอกเหนือไปจากความพยายามในการผลักดัน ปฎิรูป แก้ไขกฎหมายลูกที่เป็นอุปสรรคกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ดังนั้น กุญแจดอกนี้ จึงมีความหมายและความสำคัญต่อท้องถิ่นเป็นอย่างมากในการเปิดประตูไปสู่เส้นทางการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการท้องถิ่น อย่างมีส่วนร่วม.



ที่มา สำนักข่าวประชาธรรม




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2550
1 comments
Last Update : 29 มิถุนายน 2550 13:27:23 น.
Counter : 784 Pageviews.

 


ที่น่าแปลกคือ ไม่สามารถผ่านร่างนี้ ใน ครม.ชุดปัจจุบัน ที่ได้ชื่อว่า ครม.ชุดที่คัดสรรแล้ว ว่าล้วนเป็นคนดี --เพราะอะไร? ความเห็นที่แตกต่าง จะนำไปสู่ความแตกแยกได้หรือไม่ ถ้าจะมีมติ ครม.ในเรื่องนี้ โดยการออกเสียง จะใช้เสียงข้างน้อย หรือเสียงข้างมาก ในการตัดสิน หรือใช้เหตุผลที่ถูกต้องซึ่งจะต้องมีอยู่เพียงเหตุผลเดียว เท่านั้น หรือ?----เราจะจัดการความเห็นที่แตกต่างอย่างไร นี่คือการบ้านของคนไทย ที่ตระหนักและ สำเหนียก และเรียนรู้

 

โดย: เนื่อง มาจากเหตุ 30 มิถุนายน 2550 14:18:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.