ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ...ปลาตายลอยตามน้ำ..
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
การอยู่ก่อนแต่ง กับความหมายที่แท้จริง

อันที่จริงแล้วเรื่องแบบนี้ก็ตอบมาตลอด...ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนก็ทราบดีแต่ไม่อยากจะรับฟังหากว่าปัญหาหรือเหตุการณ์ยังมาไม่ถึง หรือยังไม่เกิดขึ้นกับตัว....





นั้นคือเรื่องของการ "อยู่ก่อนแต่ง"....การอยู่ก่อนแต่งนั้นฐานที่ตั้งของใจมันไม่ได้วางอยู่ที่คำว่า "คู่ชีวิต" หากแต่วางอยู่ที่คำว่า "คู่นอน" เสียเป็นส่วนใหญ่....ฉะนั้นความหนักแน่นมั่นคงในชีวิตคู่จึงต่างกัน....






ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่เวลารักใครก็จะไปอยู่กินกับเค้า....เมื่อพ่อแม่ฝ่ายชายเค้ารับรู้ก็จะเข้าใจว่านี่คือการยอมรับ....แต่จริงแล้วฐานที่ตั้งแห่งใจมันต่างกันเยอะระหว่างการ "อยู่ก่อนแต่ง" กับ "การแต่งงานแล้วอยู่กินกัน" เพราะไม่ว่าคุณจะคบกับผู้ชายคนนั้นมานานเพียงใด....มีความสัมพันธ์กันมากขนาดไหน....สถานะภาพมันก็เป็นได้แค่เพียงคู่นอนเท่านั้นไม่ได้เป็นคู่ชีวิตอย่างที่เข้าใจ.....มันก็ต้องมาลุ้นเอาตอนจบว่าสุดท้ายแล้วชายจะตกลงใจเป็นคู่ชีวิตกับหญิงหรือไม่......




เพราะการอยู่ก่อนแต่งนั้นชายส่วนใหญ่จะหมดแรงจูงใจและความกระตือรือร้นในการที่จะแต่งงานสร้างอนาคตกับหญิงนั้น.....เนื่องจากแต่งหรือไม่แต่งก็มีค่าเท่ากัน....ได้ร่วมหลับนอนเหมือนกัน....ไม่ต่างอะไรเพราะมีสถานะภาพเป็นเพียงคู่นอนอยู่แล้ว.....




ซึ่งเมื่อผู้ชายเค้าเบื่อ...หรือหญิงมีข้อตำหนิ....หรือมีคนใหม่ที่ดีกว่า....คู่ควรกว่า....เค้าก็สามารถทิ้งไปได้อย่างไม่มีเยื่อใย...เพราะผู้ชายเค้ายังไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้คือภริยาอันเป็นคู่ชีวิตของเค้านั้นเอง


อีกทั้งผู้ชายเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนเค้าจะเริ่มดูดีขึ้นเพราะจะเริ่มมีความมั่นคงทางฐานะอาชีพการงาน และเริ่มมีมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป....มันจึงมีคำกล่าวว่าผู้ชายเริ่มต้นชีวิตที่อายุ 30 ปีก็เพราะเหตุนี้....โดยในช่วงเวลานี้เองจะเริ่มมีสาวๆ เข้ามาเป็นตัวเลือกใหม่ๆ ซึ่งชายหลายคนก็ขอใช้สิทธิเลือกใหม่อีกครั้ง





ดังนั้น...ฐานที่ตั้งของใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการใช้ชีวิตคู่.....หากฐานที่ตั้งแห่งจิตใจกับสถานะภาพความสัมพันธ์มันไม่สอดคล้องกันก็อาจจะเกิดปัญหาได้...ซึ่งหากชายยังไม่มีความมั่นคงในจิตใจให้กับหญิงในสถานะภาพที่หญิงนั้นเป็นภริยา.....แต่หญิงกลับให้ความสัมพันธ์กับชายเยี่ยงภริยาปฎิบัติต่อสามี.....เช่นนี้แล้วมันก็ต้องมีลุ่นเอาว่าสุดท้ายชายจะยอมตกลงปลงใจและหยุดความต้องการแสวงหาที่หญิงหรือไม่.....และเลื่อนสถานะภาพจาก "คู่นอน" มาเป็น "คู่ชีวิต" กันต่อไป.......





หรืออาจจะจบลงด้วยคำว่า " ต่างคนต่างไป "....แล้วออกเดินทางแสวงหากันต่อไป...และต่อไป...จนกว่าจะเจอคนที่เค้าคิดจะหยุดใจไว้ที่เธอ....ซึ่งอาจจะเป็น "คุณ" หรือ "ใคร" ไม่มีใครบอกคุณได้....มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ





********************************************************************


อนึ่ง...สาระสำคัญของการแต่งงานมีดังนี้




การแต่งงานนั้นมิได้สำคัญที่การจดหรือไม่จดทะเบียน....ไม่สำคัญว่าจะจัดงานฉลองสมรสหรือไม่จัดงานอะไรเลย....เพราะการจดทะเบียนเป็นเพียงการรับรองสถานะภาพให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย.....ส่วนการจัดงานฉลองต่างๆ ก็เป็นเพียงแบบแผนพิธีการตามประเพณีเท่านั้น....ไม่ได้เป็นสาระสำคัญเท่ากับฐานที่ตั้งแห่งใจที่มีให้ต่อกันในฐานะของความเป็นคู่ชีวิตกัน





แต่การจดทะเบียนและแบบพิธีการต่างๆ มันเป็นการรับรองทางกฎหมายและทางสังคมต่อสถานะภาพของคู่สมรส....ทำให้บุคคลโดยทั่วไปรวมทั้งชายและหญิงยอมรับสถานะภาพของการเป็นคู่สมรสซึ่งกันและกัน.....ซึ่งมันอาจจะทำให้ชายมีจิตสำนึกว่าต่อแต่นี้ผู้หญิงคนนี้คือภริยาเค้า.....การจะไปประพฤตินอกใจหรือไม่ปฎิบัติหน้าที่ดูแลหญิงอันเป็นภริยาจะเป็นสิ่งที่ผิด....เป็นสิ่งที่สังคมตำหนิติเตียน....สังคมประนามไม่ยอมรับ.....เกิดสภาพบังคับตามสังคมและกฎหมายตามมา






แต่หากผู้ชายมีจิตสำนึกที่ดีพอการจดทะเบียนหรือการประกอบพิธีใดก็ไม่มีความสำคัญใดๆ.....เพราะเค้ามีความมั่นคงในจิตใจและพร้อมที่จะยกย่อง ยอมรับ และเชิดชูหญิงนั้นต่อสังคมในฐานะภริยาอันเป็นคู่ชีวิตของเค้า....อันเป็นการรับรองสถานะภาพทางพฤตินัยด้วยใจสมัคร





หัวใจของการแต่งงานจึงเป็นการรับรองสถานะภาพทางสังคม.....จะ จดทะเบียน หรือ ประกอบพิธีการ หรือไม่อย่างไรจึงไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับการที่ชายยอมรับว่าหญิงนั้นเป็นคู่ชีวิตของเค้า....และ ยอกย่อง เชิดชู ให้เกียรติ์ในสถานะภาพที่หญิงเป็น....ทำให้หญิงเกิดความมั่นใจในสถานะภาพของตนเองในสังคมว่าเป็นภริยาของชายผู้นั้น....






ด้วยเหตุดังกล่าว....มันจึงไม่อยู่กับเหตุผลที่ว่าพร้อมหรือไม่พร้อมในการแต่งงาน...หากแต่อยู่ที่ว่าชายผู้นั้นยอมรับหรือไม่ว่าหญิงนั้นเป็นภริยาของเค้าต่างหากที่จะทำให้หญิงเกิดความมั่นใจในสถานะภาพของตนเอง





ดังนั้น...หากมีกรณีที่หญิงร่ำร้องขอให้ชายที่อยู่กินก่อนแต่งนั้นจดทะเบียนหรือจัดพิธีให้แก่ตนเอง.....ให้พึงสันนิษฐานได้เลยว่าเธอเหล่านั้นกำลังไม่มั่นใจในสถานะภาพและอนาคตของตนเอง.....เพราะรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงและความไม่มั่นคงของชาย....เธอจึงร่ำร้องที่จะหาหลักประกันในความสัมพันธ์ให้กับตนเอง....ช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารโดยแท้ที่เอาทุกอย่างของชีวิตมาทิ้งไว้กับความไม่แน่นอนของผู้ชายคนหนึ่ง







หวังว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์...และตอบคำถามของหญิงหลายคนได้....อยู่ที่ว่าเธอเหล่านั้นจะยอมรับความจริงได้มากน้อยเพียงใด....





หมายเหตุ.....งานเขียนชิ้นนี้ไม่มีลิขสิทธิ์....และไม่ขอรับเครดิตในการอ้างอิงใดๆ....ทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ได้ตามอัธยาศัย



Create Date : 15 ตุลาคม 2552
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 13:54:53 น. 3 comments
Counter : 3037 Pageviews.

 
สรุป คือ สำคัญที่จิตใจเป็นหลัก


โดย: บนเส้นทางกลับบ้าน IP: 118.175.86.113 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:16:31:40 น.  

 
good reading.

แต่ไม่เห็นด้วยกับการที่สรุปว่า สาเหตุที่หญิง "ร่ำร้องขอให้จดทะเบียนหรือจัดพิธี" เป็นเพราะว่า"เธอเหล่านั้นกำลังไม่มั่นใจในสถานะภาพและอนาคตของตนเอง"

มีผู้หญิงหลายๆคนในสังคมไทย ที่เห็นว่าการอยู่ก่อนแต่งไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แล้วก็ไม่ได้มองว่าการที่อยู่ด้วยกันแล้วต้องเลิกกันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายเลย เพราะจริงๆแล้ว"ความผิด"ของการอยู่ก่อนแต่งเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่สาเหตุที่ผู้หญิงหลายๆคนเรียกร้องแต่งงานนั้นเป็นเพราะว่าทนความกดดันในสังคมไม่ได้ต่างหาก โดยเฉพาะจากพ่อแม่และญาติ หรือรู้สึกสงสารพ่อแม่เพราะโดนสังคมนินทา ไม่ได้เป็นเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงของสถานภาพ อันนี้ต้องแยกแยะนะคะ

ในสังคมไทย และในหลายๆประเทศทั่วโลก ผู้หญิงถูกกำหนดให้เป็นผู้ถ่ายทอดประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ ถูกมองว่าต้องเป็นคนที่บริสุทธิ์ เหมือนผ้าสีขาว ดังนั้นเขาต้องแบกภาระอันใหญ่หลวงนี้ไว้กับตัว แล้วทำให้ต้องกลายเป็นคนที่แคร์คนรอบข้าง ต้องทนความกดดันต่างๆนาๆ และต้องยอมทำในสิ่งที่ลึกๆแล้วตนเองไม่อาจจะเห็นด้วยเลย สรุปก็คือ ผู้หญิงหลายๆคน โดยเฉพาะที่อยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยจารีตประเพณี ไม่มีเสรีภาพในการกำหนดชะตาชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นต่างหากคือต้นเหตุของการกลัวที่จะต้องเลิกกันหลังจากที่กินอยู่ก่อนแต่ง


โดย: เดินไปเดินมา IP: 58.64.51.196 วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:0:47:37 น.  

 
การสู่ขอจากพ่อแม่ของผู้หญิง ไม่ได้เป็นไปเพื่ออยู่ในกรอบของศีลธรรม และไม่เป็นการผิดศีลข้อ 3 หรอกหรอคะ ??


โดย: แวะมาถาม IP: 110.49.226.34 วันที่: 18 มีนาคม 2556 เวลา:16:10:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อินทร์นิล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชีวิตนี้น้อยนัก...
Friends' blogs
[Add อินทร์นิล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.